ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ – ตอนที่ 57 สัปดาห์ที่ 22 โอโตเมะ อามายะ (3)

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

            ขอบคุณทุกท่านที่เข้าสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคตตรืดดดด….

 

            สัญญาณรอสายที่แสดงให้รู้ได้ว่าโทรติดแล้วดังอยู่นานจนฉันเกือบจะยกเลิกการโทรแล้วแต่มีคนกดรับสายซะก่อน

            [“สวัสดีค่ะ?”]

            [“อ๊ะ พี่ นี่หนูเองนะ”]

            [“อามายะหรอ?!”]

            เสียงพี่สาวแสดงออกถึงความตกใจปนประหลาดใจ พี่คงสงสัยว่าทำไมฉันถึงโทรมา

            [“หนูเองค่ะ”]

            [“อ้าว โทรศัพท์ของเธออยู่นี่? แล้วนั่นใช้ของใครโทรมาล่ะ?”]

            [“นี่โทรศัพท์เพื่อน ช่างเรื่องนั้นก่อนค่ะ นี่พี่อยู่ไหนแล้ว ยังคุยงานกันไม่เสร็จหรอ?”]

            ถามจบพี่สาวเงียบไปแปบนึงก่อนจะพูดสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจออกมา

            [“คุยเสร็จแล้ว ตอนนี้มีงานด่วน พี่ต้องกลับไปทำตอนนี้เลยกลับมาก่อนแล้ว”]

            [“ห๊ะ!! กลับไปแล้ว??”]

            [“อือออ… พี่ขอโทษ พี่ส่งข้อความให้เธอแล้ว…”]

            [“แล้วหนูจะไปรู้ได้ยังไง โทรศัพท์หนูอยู่ในรถนะ”]

            [“พี่ขอโทษ พี่ไม่รู้จริงๆ ถ้ายังไงเธอเดินเที่ยวกับเพื่อนไปก่อนแล้วค่อยนั่งรถไฟกลับมาได้มั้ย?”]

            [“แล้วหนูจะเอาเงินที่ไหนกลับ กระเป๋าตังค์ก็ทิ้งไว้ที่บ้าน ตอนนี้หนูไม่มีเงินแล้ว”]

            [“ถ้างั้นยืมเพื่อนก่อนได้มั้ย เดี๋ยวพี่ใช้คืนให้นะ พี่ขอโทษจริงๆ”]

            [“พี่ก็พูดได้ซิคะ พี่ไม่ได้โดนทิ้งแบบหนูนิ”]

            [“พี่ขอโทษ พี่ไม่คิดว่าเธอจะลืมทั้งเงินทั้งโทรศัพท์แบบนี้ กลับมาแล้วพี่จะชดเชยให้นะ”]

            [“คิดง่ายไปแล้วนะคะ”]

            [“พี่ขอโทษจริงๆ อ๊ะ… พี่ต้องวางแล้วนะ พี่ขอโทษจริงๆ”]

            [“ดะ… เดี๋ยวพี่”]

            สายถูกตัดไปแล้ว

            ฉันจ้องมองโทรศัพท์ในมือด้วยอารมณ์หลากหลายที่อธิบายไม่ถูก

            …โกรธหรอ โกรธซินะ

            …เสียใจ ก็เสียใจแหละ

            …น้อยใจ ของมันแน่อยู่แล้วนิ

            ฉันโดนพี่ทิ้งให้อยู่คนเดียวโดยที่ไม่รู้ตัวสักนิดว่าโดนทิ้งนะ จะให้ไม่รู้สึกอะไรเลยได้ยังไงเล่า

            ดวงตาเริ่มร้อนผะผ่าว รู้สึกเหมือนจะแสบแน่นโพรงจมูก

            ฉันรู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้

            น้ำตาเหมือนจะไหล… แต่ยังให้ไหลออกมาตอนนี้ไม่ได้

            “โอเคมั้ย?”

            ข้างๆ ฉัน อาคิยามะยืนอยู่ตรงนั้น ถามกันด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มแบบที่ฉันชอบ

            …ไม่โอเค

            อยากจะตอบเขาไปแบบนั้น แต่ถ้าฉันพูดอะไรสักอย่างออกมาตอนนี้ฉันคงจะพรั่งพรูมันออกมาทั้งหมด

            …ทั้งคำพูด …ทั้งน้ำตา

            ฉันเม้มปากและกะพริบตาถี่เพื่อไล่ละอองฝ้าให้ออกไปจากดวงตา

            อาคิยามะยืนมองฉันเงียบๆ เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองมาเฉยๆ

            [‘ตาบ้า ทำหน้าอะไรของนายเนี่ย แบบนี้ฉันก็ยิ่งร้องไม่ได้กันพอดีน่ะซิ’]

            ฉันสูดลมหายใจลึกๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้มากที่สุด

            ฉันก้มมองโทรศัพท์ในมือแล้วเริ่มพูด

            “ฉันโดนพี่ทิ้งซะแล้ว”

            “…”

            “พี่มีงานด่วนเลยกลับไปก่อนแล้ว”

            “…”

            “แล้วฉัน…”

            จู่ๆ ก็มีมือยื่นมาตรงหน้า อาคิยามะที่ยืนเงียบมาตลอด ยื่นฝ่ามือแบมาตรงหน้าฉัน

            [‘อ่า นั่นซินะ ยืมของเขาแล้วยังจะมาพูดโน่นพูดนี่ให้ฟัง แถมยังไม่ยอมคืนของเขาอีก แย่จริงๆ เลยฉัน’]

            “ขอโทษที ฉันลืมไปเลย”

            ฉันคืนโทรศัพท์ให้อาคิยามะ เขารับไปเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร ฉันเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่มองออกไปยังทางเดินของงานเทศกาลเท่านั้น

            ทั้งที่ก่อนมายังมีความสุขมากขนาดนั้นแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกหมดเรี่ยวแรง

            ฉันเหม่อมองผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมากันด้วยสีหน้าท่าทางยิ้มแย้มสนุกสนาน บางคนมากับคู่รัก บางคนมากับเพื่อน บางคนก็มากับครอบครัว เป็นทิวทัศน์ที่ชวนให้คิดถึงความสุข

            [‘ปีนี้ก็คงมีความสุขได้แค่นี้ละนะ ยังไงก็ต้องหาทางกลับบ้านก่อน คงต้องพึ่งหมอนี่เท่านั้นแหละ’]

            ฉันหันกลับมาที่อาคิยามะเห็นเขายืนจ้องฉันอยู่เหมือนเดิมไม่ได้ขยับไปไหน

            ความอุ่นใจเล็กๆ ก่อเกิดขึ้นมา

            ยังไงก็คงต้องขอความช่วยเหลือจากเขาก่อน แต่จะเริ่มพูดยังไงดี แค่ไม่กี่นาทีที่เจอกันนี่เขาก็ให้ฉันมากแล้ว ถ้าขออะไรเขาอีกเขาว่ามองว่าฉันเป็นคนได้คืบจะเอาศอกหรือเปล่านะ

            “นี่…”

            อาคิยามะเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน

            “ถ้าไม่รังเกียจ ไปเดินเที่ยวงานด้วยกันมั้ย?”

            [‘เอ๊ะ? เที่ยวงาน? หมายความว่าไง?’]

            ฉันที่กำลังกังวลว่าจะขอความช่วยเหลือจากอาคิยามะอย่างไร แต่กลายเป็นว่าอาคิยามะมาชวนฉันไปเดินเที่ยว แบบนี้มันก็ยิ่งพูดยากไปอีกซิ

            “เอ่อออ… ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรหรอกนะ คือ… ก็แค่แบบว่า… นี่ไง ฉันเองก็หนีพวกรุ่นพี่มาคนเดียวเหมือนกันน่ะ อืมม… ก็ประมาณนั้นแหละ”

            เห็นอาคิยามะทำท่าทางเลิ่กลั่กไปไม่เป็นอยู่ตรงหน้ามันก็น่ารักดีอยู่หรอก แต่พอคิดว่าตัวเองจะขอยืมเงินเขาเพื่อกลับบ้านแต่ตอนนี้กลับทำให้เขาลำบากใจเพิ่มขึ้นมาอีก แล้วแบบนี้เขาจะเต็มใจช่วยตัวเองหรือเปล่าเนี่ย

            เราทั้งคู่เงียบกันอยู่แบบนั้นราวสามลมหายใจ สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจบอกความจริงเขาก่อนแล้วค่อยขอความช่วยเหลือจากเขา

            แน่นอนว่าถ้าเขาไม่ช่วยก็คงขอยืมโทรศัพท์อีกครั้งเพื่อโทรหาที่บ้าน

            “ขอโทษนะ… คือ… คือว่า ฉะ… ฉันไม่มีเงินเลย”

            พูดไปแล้ว ฉันพูดออกไปแล้ว เหลือบมองอาคิยามะนิดนึงเห็นเขายิ้มเจื่อนๆ

            [‘อาาา… คงคิดว่าฉันจะหลอกกินฟรีซินะ’]

            “งั้นหรอกหรอ ช่วยไม่… เอ๊ะ?!”

            รอยยิ้มเจื่อนเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าประหลาดใจ ราวกับว่าคำพูดของฉันไม่ตรงกับที่เขาคิดไว้

            “ขอบคุณที่ชวนนะ แต่ฉันไม่มีเงินติดตัวเลยน่ะ คงไปเดินเที่ยวเล่นด้วยไม่ได้หรอก แล้วก็อีกอย่างฉันมีเรื่องจะรบกวนนายด้วยน่ะ”

            …ขอยืมเงินเป็นค่ารถไฟกลับบ้านหน่อยได้มั้ย

            [‘พูดไปแล้ว ฉันพูดออกไปอีกอย่างแล้ว แบบนี้เขาจะคิดว่าฉันบ้าหรือเปล่านะ’]

            ฉันก้มหัวขอความช่วยเหลือจากผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า คนที่เป็นเหมือนความอบอุ่นเดียวของฉันในตอนนี้

            แต่แล้วก็มีเสียงถอนหายใจดังขึ้น

            [‘คงไม่ได้ซินะ งั้นขอแค่ยืมโทรศัพท์อีกครั้งก็พอ แค่นั้น…’]

            “เธอรังเกียจที่จะไปเดินเที่ยวงานเทศกาลกับฉันหรอ?”

            [‘เอ๊ะ?’]

            ฉันเงยหน้าขึ้นมามองอาคิยามะอีกครั้ง ไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาพูดเรื่องเดียวกันกับฉันอยู่มั้ย

            นอกจากจะไม่บอกว่ายอมช่วยฉันมั้ย ยังมาถามคำถามเดิมที่ฉันตอบแล้วอีก

            “ฉันไม่ได้ถามเธอว่ามีเงินไปเดินเที่ยวกับฉันมั้ย แต่ถามเธอว่ารังเกียจมั้ยถ้าจะเดินเที่ยวด้วยกัน”

            “เอ๋?… อ่ออ… กะ.. ก็เปล่า… ฉันแค่ไม่อยากรบกวนนายมากจนเกินไป คือ.. อย่างที่บอก ฉันต้องรบกวนยืมเงินนายเป็นค่ารถไฟกลับบ้านด้วย”

            “งั้นไปเดินเที่ยวกันนะ”

            [‘เอ๊ะ? ไปเที่ยว? ไหงเป็นงั้นล่ะ? แล้วเรื่องของฉันล่ะ? เดี๋ยวๆ …’]

            อาคิยามะยกมือขึ้นมาเหมือนจะบอกว่าให้ฉันหยุดคิดอะไรวุ่นวาย

            “หยุด ฟังฉันแล้วตอบคำถามพอ เข้าใจ๊?”

            “อ๊ะ… อื้มม…”

            “เธออยากเดินเที่ยวงานมั้ย?”

            “ก็… อยาก”

            “แล้วถ้าเดินกับฉัน จะโอเคมั้ย?”

            “กะ… ก็… ได้แหละ”

            “ดูดอกไม้ไฟเสร็จแล้วค่อยกลับได้หรือเปล่า?”

            “ก็ได้…”

            “ขากลับฉันไปส่งที่บ้านนะ?”

            “ได้… เอ๊ะ?! ดะ… เดี๋ยวซิ…”

            เผลอฟังเขาแปบเดียวก็โดนเขาชักจูงไปเสียแล้ว ฉันดึงเสื้ออาคิยามะที่หันหลังออกเดินไว้ก่อนที่เขาจะทันได้เดินไปไหนไกล

            “นายเดินหนีฉันอีกแล้วนะ ทำไมชอบเดินหนีตลอดเลย”

            ฉันต่อว่าเขา รู้สึกไม่ชอบเลยเวลาที่คุยๆ กันแล้วเดินหนีแบบนี้ หมอนี่เป็นแบบนี้ตลอดเลย

            “ก็เราคุยกันรู้เรื่องแล้วนิ ถ้าไม่รีบเดินเที่ยวเดี๋ยวก็ไม่ทันดูดอกไม้ไฟหรอก”

            “ก็รู้ แต่เรื่องที่จะไปส่งที่บ้านน่ะ…”

            “ไม่ใช่ครั้งแรกนิ ไม่สะดวกหรอ?”

            สะดวกมากๆ เลยหละ สบายใจเรื่องเงินค่ารถไฟด้วย แต่จะให้ช่วยถึงขนาดให้ไปส่งก็รู้สึกว่ารบกวนเกินไป ฉันอ้ำอึ้งๆ ก่อนจะบอกความคิดตัวเองไปตรงๆ

            “ฉันเกรงใจน่ะ”

            อาคิยามะทำตาโตกับคำตอบของฉันราวกับมันเป็นเรื่องแปลก

            “เธอนี่ขี้เกรงใจผิดกับตอนที่เจอกันครั้งแรกลิบลับเลยนะ”

            “อันนั้นขอโทษได้ปะล่ะ ก็คนมันไม่รู้นิ”

            [‘แกล้งกันซินะ แกล้งยั่วโมโหฉันอีกแน่ๆ แกล้งแบบเถียงไม่ได้ด้วย ฮึ่มมม…’]

            อาคิยามะหัวเราะที่กวนประสาทฉันได้สำเร็จ เห็นแล้วหมั่นไส้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาเองก็แค่แหย่เล่นเล็กน้อยๆ และยอมถอยในจังหวะที่พอดี

            “งั้นเรามาคุยกันให้ชัดเจนก่อนนะ…”

            อาคิยามะหยุดหัวเราะแล้วกลับมาทำหน้าจริงจัง เขาพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มนุ่ม แต่ก็ดูเด็ดขาดชัดถ้อยชัดคำ ดูเป็นการเป็นงานแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าถูกบีบคั้นบังคับ

            เป็นโหมดใหม่ที่ฉันเพิ่งเคยเห็น

            “เดี๋ยวเราเดินเที่ยวงานเทศกาลกัน ระหว่างนี้ถ้าเธออยากได้อะไรฉันจะออกเงินให้ก่อนแล้วค่อยคืนทีหลัง หลังดูดอกไม้ไฟจบแล้วฉันจะไปส่งเธอที่บ้าน แบบนี้โอเคมั้ย?”

            “ก็ได้ แต่…”

            “ไม่มีแต่ มีให้เลือกแค่ตกลงหรือไม่ตกลง”

            เป็นถ้อยคำที่บีบบังคับให้ต้องเลือกแค่ตัวเลือกที่อีกฝ่ายกำหนด ตัวเองไม่มีสิทธิ์เลือกทางเลือกของตัวเอง

            แต่น่าแปลกฉันไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองกำลังโดนบังคับ กลับรู้สึกว่าตัวเองอาจจะต้องรู้สึกแย่ถ้าตอบปฏิเสธเขาไปในตอนนี้

            เป็นความรู้สึกที่คลุมเครือ แต่ฉันก็ตอบตกลงเขาไปแล้ว

            อาคิยามะที่ได้ยินคำตอบส่งยิ้มกว้างมาให้ฉัน เขายื่นมือมา ฉันมองมันก่อนจับยื่นมือไปจับ

            “ดีลล~~”

            “ดีล…”

            ข้อตกลงบรรลุผล

                                                                        —

            “อย่าเผลอปล่อยเชียวล่ะ หลงกันขึ้นมาเธอแย่แน่”

            เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงที่เดินนำหน้าฉันอยู่ตอนนี้คืออาคิยามะ เออิชิ และตอนนี้ฉันกำลังจับชายเสื้อของเขาอยู่

            ที่มาที่ไปของสถานการณ์นี้มันเริ่มจากการที่ฉันหลวมตัวไปจับมือตกลงยอมรับข้อเสนอของอาคิยามะก่อนหน้านี้

            ทันทีที่ข้อตกลงบรรลุผล อาคิยามะที่ยิ้มกว้างหันตัวแล้วเริ่มออกเดินทันที

            เดินโดยไม่ปล่อยมือฉันด้วย

            “เหลือเวลาไม่มากแล้ว เราคงเดินเที่ยวทั้งงานไม่ได้ เธออยากไปไหนมั้ย?”

            อาคิยามะถามขณะที่จูงมือฉันไปด้วย ท่าทางเขาเหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่กลับเอาใจใส่ถามความเห็นฉันก่อน

            แต่ฉันคงต้องวางความประทับใจนั่นไว้ก่อน เพราะตอนนี้ตัวเองกำลังโดนจูงไปในท่าเดินที่มันเดินลำบาก

            – “อาคิยามะ รอเดี๋ยว” –

            ฉันเรียกเขาพลางดึงมือเขาไว้

            – “ปล่อยมือก่อน ฉันเดินลำบาก” –

            เป็นอีกครั้งที่เห็นอาคิยามะทำหน้าตกใจ เป็นอารมณ์เหมือนเพิ่งนึกอะไรออก เขาปล่อยมือฉันก่อนจะกล่าวขอโทษ

            – “คนเยอะ ฉันแค่กลัวเธอจะหลง…” –

            เห็นเขาเกาแก้มพูดแก้ตัวเก้ๆ กังๆ ก็อดขำไม่ได้

            บางครั้ง อาคิยามะก็แสดงด้านที่เงอะๆ งะๆ ออกมาให้เห็น มันไม่ได้ดูแย่แต่กลับทำให้บุคลิกที่ปกติแล้วดูแข็งกระด้างดูอ่อนลงและเข้าหาง่ายขึ้น

            – “ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ” –

            – “งั้นเธอมั่นใจมั้ยว่าจะไม่หลงกันน่ะ” –

            – “อึก…” –

            [‘ไม่มั่นใจจริงๆ นั่นแหละ’]

            เหมือนอาคิยามะจะรู้ รอยยิ้มยั่วปรากฏบนใบหน้าคมเข้ม ดูชั่วร้ายแต่ก็ล่อลวงให้ลุ่มหลงอยู่ในที

            ตึกๆๆๆ …

            หัวใจเต้นเร็วขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ฉันกลบเกลื่อนความผิดปกติในอกซ้ายด้วยการทุบอาคิยามะไปนึงแล้วผลักให้เขาเดินไปข้างหน้า

            – “ฉันหิวแล้ว ไปหาของกินก่อน” –

            อาคิยามะไม่สะทกสะท้านกับแรงทุบของฉัน เขาหัวเราะ ยอมเดินไปข้างหน้าแต่โดยดี

            – “น้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง” –

            ที่แรกที่เราสองคนแวะคือร้านทาโกะยากิ กลิ่นหอมของมันทำเอากระเพาะอาหารของฉันส่งเสียงร้อง

            อาคิยามะเหล่มองฉันแว่บนึงก่อนจะสั่งทาโกะยากิมาสองกล่อง

            เขาส่งมาให้ฉันกล่องนึง ตัวเองกล่องนึง เราเดินไปกินไปเพราะไม่อยากเสียเวลาที่มีอันน้อยนิดก่อนถึงเวลาจุดดอกไม้ไฟ

            ฉันก้มหน้าเป่าทาโกะยากิที่ส่งควันฉุยๆ แล้วเอามันเข้าปาก รสชาติของซอสเข้มข้นผสมกับเนื้อทาโกะยากิที่กรอบนอกนุ่มในกระจายไปทั่วปาก

            ฉันเงยหน้า เป่าลมร้อนออกจากปากตัวเอง แล้วก็ต้องชะงัก

            อาคิยามะที่ฉันมั่นใจว่าเดินตามเขามาตลอด หายไปแล้ว

            ใจฉันกระตุกวูบ รีบมองหาอาคิยามะทันที

            [‘หายไปไหนแล้ว…’]

            อารามร้อนใจฉันหยุดยืนอยู่กับที่ มองซ้ายมองขวาเพื่อจะหาเขาจนโดนคนที่เดินอยู่ชนจนเซไปเซมาชนเข้ากับคนอื่นๆ ในงาน

            – “เป็นอะไรหรือเปล่าสาวน้อย ให้ช่วยอะไรมั้ย?” –

            ผู้ชายคนหนึ่งจับไหล่ฉันไว้จากด้านหลัง อีกคนที่เป็นคนพูดน่าจะเป็นเพื่อนกัน พวกเขามองฉันแล้วยิ้มเล็กน้อย แต่เป็นรอยยิ้มที่เห็นแล้วรู้สึกขนลุก

            แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้มีปฏิกิริยาตอบโต้อะไรออกไป แขนข้างที่ไม่ได้ถือกล่องทาโกะยากิก็ถูกดึงเสียก่อน

            ฉันเซวูบตามแรงดึงเข้าสู่อ้อมแขนของผู้มาใหม่ ตอนแรกก็ตกใจที่ถูกดึงออกมาแต่พอสัมผัสได้ว่าคนคนนี้สวมชุดจิมเบอิสีน้ำเงินเข้ม ความรู้สึกโล่งใจก็เข้ามาแทนที่

            – “ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ขอโทษด้วยที่รบกวน” –

            น้ำเสียงสุภาพแต่ไม่อ่อนโยนดังออกมาจากริมฝีปากหนาที่อยู่เหนือหัวฉัน อาคิยามะยืนมองผู้ชายสองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าอ่านอารมณ์ไม่ออก

            งั้นหรอ…

            สองคนนั้นมองฉันกับอาคิยามะสลับกันก่อนจะเดินเลี่ยงออกไป จากนั้นอาคิยามะจึงได้พาฉันหลบฝูงชนออกมาด้านข้าง

            – “ไหนใครเป็นเด็กหลง?” –

            อึก… เถียงไม่ออก

            – “เธอเนี่ยน้า เผลอแปบเดียวเดินตามใครไปแล้วก็ไม่รู้” –

            โอ๊ยย… โดนอีกดอกแล้ว

            อาคิยามะเห็นฉันเงียบก็ไม่ว่าอะไรต่อ เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะแย่งกล่องทาโกะยากิของฉันไปเทรวมกันกับของตัวเอง

            – “อ๊ะ? ทำอะไรน่ะ ฉันเพิ่งกินไปได้สองลูกเองนะ” –

            เขามองฉันที่ร้องโวยวายด้วยหางตาก่อนส่งส้อมสำหรับจิ้มทาโกะยากิมาให้ฉันอันนึง

            – “เดี๋ยวฉันถือเอง… ป่ะ” –

            …เธอคงไม่อยากจูงมือใช่มั้ยล่ะ งั้นก็จับเสื้อฉันไว้ก็แล้วกัน

            พออาคิยามะพูดแบบนั้นฉันถึงได้เข้าการกระทำแปลกๆ ของเขา

            ถ้าไม่อยากพลัดหลงกันก็ต้องจับมือกันไว้ แต่ถ้าทำแบบนั้นคนอื่นอาจจะเข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเราผิดไปเลยให้จับเสื้อแทน

            ส่วนเรื่องที่ต้องเอาทาโกะยากิไปรวมกันเพราะว่าถ้าถือกันคนละกล่องก็จะเดินจูงกันไม่ได้

            [‘อะไรกันหมอนี่ ดูช่ำชองในการใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จนไม่น่าเชื่อ เสือผู้หญิงจริงๆ ซินะนายน่ะ?’]

            คิดแบบนั้นแต่ก็เดินตามเขาไปแต่โดยดี มือซ้ายกำชายเสื้อไว้หลวมๆ มือขวามีส้อมอยู่หนึ่งอัน และตรงหน้าก็มีทาโกะยากิเต็มกล่อง ฮิๆๆ …

            ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน ตอนนี้ฉันกับอาคิยามะกำลังยืนอยู่หน้าร้านตักปลาทอง และอาคิยามะกำลังกุมปากของเขาไว้ส่วนฉันก็พยายามแงะมือที่กุมอยู่เพื่อเปิดดูปากของเขา ท่ามกลางสายตาของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา

            “ขอโทษ เจ็บมากมั้ย? ไหนขอดูหน่อย”

            ถ้าถามว่าทำไมเราถึงได้อยู่ในสภาพนี้ก็คงต้องย้อนกลับไปสักนิดนึง

            คือในตอนที่เรากำลังเดินผ่านร้านตักปลาทองอาคิยามะก็ชี้ให้ฉันดูเด็กคนนึงที่กำลังตักปลาทองอยู่

            เด็กคนนั้นตักได้เก่งมาก เก่งซะจนฉันสงสัยว่าหรือจริงๆ แล้วการตักปลาทองมันไม่ได้ยากเย็นอะไร

            ดังนั้นแล้วพอพูดคุยตกลงกับอาคิยามะแล้วเราก็ได้ข้อสรุปว่าฉันจะได้ลองตักปลาทองดู แต่ถ้าตักได้เราจะไม่เอากลับเพราะไม่มีใครอยากเลี้ยง

            หลังจากนั้นฉันก็นั่งลงตรงหน้าอ่างปลาขนาดใหญ่ อาคิยามะจ่ายเงินแล้วส่งที่ตักปลาทองมาให้สองอัน เขาบอกวิธีตักง่ายๆ ให้ฉันก่อนจะให้ลองด้วยตัวเอง ปรากฏว่าอันแรกขาดตั้งแต่ตักตัวแรก

            อาคิยามะเห็นฉันทำท่าเสียดายก็หัวเราะ แล้วก็บอกเทคนิคเพิ่มให้ฉันอีกหน่อย

            พอลองครั้งที่สองตามเทคนิคที่เขาบอกก็ปรากฏว่าฉันตักได้จริงๆ ตอนนั้นแหละที่เผลอดีใจไปหน่อย

            ฉันชูมือร้องเฮดีใจที่ตักได้ แต่โชคไม่ดีที่ตรงนั้นมีอาคิยามะอยู่ด้วย ฉันไม่รู้ว่าเขายืนดูฉันอยู่ท่าไหน รู้แค่เพียงว่าหมัดของฉันที่ชูขึ้นเพราะความดีใจเข้าหน้าเขาเต็มๆ

            “ไหนน… เอามือออกซิ ขอฉันดูหน่อย…”

            “อืมมม… ไม่เป็นไรแล้ว”

            อาคิยามะยอมปล่อยให้ฉันดูปากที่โดนหมัดฉันเข้าไปเต็มๆ

            ฉันจับหน้าเขาโยกซ้ายขวาไปมาเพื่อดูว่ามีบาดแผลมั้ย

            “โอโตเมะ…”

            “หืม…?”

            “เสร็จยัง?”

            “จะเสร็จแล้ว อ้าปากหน่อยซิ”

            “เอ่ออ… ไม่ดีมั้ง”

            “อะไรไม่ดียะ”

            “มัน… ใกล้ไปนิด…”

            “หืมมม…?”

            รู้ตัวอีกทีฉันก็ดึงอาคิยามะให้โน้มตัวลงมาตรงหน้าเสียแล้ว ท่าทางแบบนี้ ระยะแบบนี้

            [‘ยังกับจะจูบเขางั้นแหละ’]

 

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

Status: Ongoing
อาคิยามะ เออิชิ เด็กหนุ่มที่เคยมีชีวิตที่ยอดเยี่ยม… วันแรกของชีวิต ม.ปลาย เขาถูกรุ่นพี่ลากไปพัวพันกับการมีเรื่องทะเลาะวิวาทและจบลงด้วยการพาไปเลี้ยงอาหารขอโทษ ที่นั่นเขาได้เจอกับเด็กสาวผู้มีนัยน์ตางดงาม โอโตเมะ อามายะ แต่เธอกลับมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร “นี่ นายน่ะ เป็นเด็กเกเรใช่ไหม?” ประโยคเปิดตัวที่ไม่ธรรมดา จะนำพาความสัมพันธ์ของพวกเขาไปในทิศทางใด…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท