เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา – ตอนที่ 29

เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา

The Demon Prince goes to the Academy

ตอนที่ 29

 

นักเรียนส่วนใหญ่มีความถนัดและความสามารถเฉพาะตัว ดังนั้นไม่ต้องบอกก็ได้ว่าต้องเรียนอะไร หน้าที่ของครูคือการดูรายชื่อหลักสูตรที่นักเรียนเลือกและให้คำแนะนำไม่กี่คำ

 

อย่างไรก็ตาม จากมุมมองของเขา นี่คงเป็นครั้งแรกที่มีนักเรียนอย่างฉัน นักเรียนประหลาดที่ทำได้ทุกอย่างแต่ไม่ได้เก่งอะไรเลย

 

“คุณสามารถทำอะไรก็ได้ภายในหลักสูตรที่วิหารรองรับ แต่ถ้าคุณพยายามทำทุกอย่าง คุณจะไม่สำเร็จอะไรเลย”

 

ดังนั้น คุณเอพินเฮาเซอร์จึงพาฉันไปที่ห้องทำงานของอาจารย์เผื่อว่าฉันจะโลภมากเกินไปและพยายามทำอะไรไร้สาระ เพื่อป้องกันสถานการณ์อย่างการฉันที่พยายามเรียนรู้ทุกอย่างแต่กลับไม่ได้อะไรเลย

 

ช่างเป็นครูที่ดี

 

“ความถนัดและพรสวรรค์ไม่ได้เป็นตัวกำหนดเสมอไปว่าเหมาะสมกับสิ่งนั้นหรือไม่ ฉันเคยเห็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์แต่เกลียดเวทมนตร์อย่างยิ่ง และก็มีคนที่มีพรสวรรค์ด้านการใช้ดาบเป็นเลิศ แต่จะสลบไสลทันทีที่ดาบชี้มาที่พวกเขา”

 

พรสวรรค์ในการฟันดาบไม่ได้ให้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้โดยอัตโนมัติ และพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ไม่ได้ทำให้ผู้คนมีความปรารถนาที่จะค้นคว้าและวิจัยเวทมนตร์โดยอัตโนมัติ

 

นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าจุดบอดของพรสวรรค์

 

คุณเอพินเฮาเซอร์ได้บอกฉันถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในส่วนเริ่มต้น

 

ในท้ายที่สุด สิ่งสำคัญคือความคิดของตัวเอง ความสนใจในสิ่งนั้น หากมีใครถูกบังคับให้ฝึกในสาขาใดสาขาหนึ่งเพราะมีคนพบพรสวรรค์ในตัวคุณตั้งแต่เนิ่นๆ เขาอาจรู้สึกรังเกียจพรสวรรค์นั้นและอาจจบลงด้วยการตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน

 

การมีพรสวรรค์ในการใช้ดาบจะมีประโยชน์อะไรหากคุณกลัวความรุนแรง

 

นั่นคือสิ่งที่เขาหมายถึง

 

“อย่างน้อยคุณก็ดีกว่าพวกนั้น คุณไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเองให้ทำอะไรเพราะคุณไม่มีพรสวรรค์ที่เป็นข้อจำกัดของคุณ คุณสามารถทำทุกอย่างที่คุณต้องการได้”

 

ในที่สุดเขาก็ถามฉันว่าฉันต้องการทำอะไร ฉันตัดสินใจเมื่อวานนี้

 

“ฉันต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติ”

 

“…….”

 

เป็นครั้งแรกในวันนี้ ที่ใบหน้าของเขาแสดงอารมณ์บางอย่างออกมา

 

เห็นได้ชัดว่าเขาสงสารฉัน

 

เขาดูโปรไฟล์ของฉันและนิ่งไปชั่วขณะ

 

“ฉันได้ยินมาว่าคุณมีความถนัดมากมายจนจำเป็นต้องตัดออกให้เหลือแค่บรรทัดเดียว”

 

พวกเขาไม่สามารถเขียนความถนัดทั้งหมดของฉันลงบนกระดาษได้ นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาสรุปเป็นบรรทัดเดียว: ‘มีความถนัดในทุกด้าน’ หากพวกเขาพยายามจัดทำเอกสารทั้งหมดจริงๆ พวกเขาจะสิ้นเปลืองกระดาษจำนวนมาก

 

“คุณมีความสามารถพลังเหนือธรรมชาติด้วยเหรอ?”

 

“อาจจะครับ?”

 

บางทีฉันอาจจะเคยหรืออาจจะไม่มี ฉันไม่สามารถอธิบายให้เขาฟังได้จริงๆ

 

“เอาเป็นว่าคุณคิดแล้ว คุณวางแผนจะปลุกพลังเหนือธรรมชาติเช่นนั้นอย่างไร?”

 

“…ด้วยการพยายามให้ถึงที่สุด?”

 

ฉันไม่สามารถบอกเขาได้ตรงๆ ว่าฉันสามารถใช้คะแนนความสำเร็จเพื่อปลุกพวกเขาได้ ดังนั้นฉันจึงพูดแบบนั้น แต่นั่นทำให้เขามองฉันราวกับว่าฉันกำลังพยายามทำลายก้อนหินด้วยไข่

 

“ไม่มีอะไรที่คุณอยากจะโฟกัสนอกเหนือจากพลังเหนือธรรมชาติเหรอ? พูดง่ายๆ ก็คือคนที่ไม่มีความสามารถเหนือธรรมชาติไม่สามารถเข้าร่วมการบรรยายพิเศษเหล่านั้นได้”

 

“ฉันเข้าไม่ได้เหรอ?”

 

“……มันแตกต่างออกไปเล็กน้อยสำหรับนักเรียนของรอยัลคลาส แต่อาจารย์ที่รับผิดชอบจะพบว่ามันแปลกมาก อาจมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะไล่คุณออกมา”

 

ฉันพยักหน้าและบอกเขาว่าฉันจะรับผิดชอบเองหากฉันถูกไล่ออกมา

 

เขาทนเครียดเป็นเวลานานและในที่สุดก็เริ่มเขียนบางอย่างลงบนกระดาษ

 

“สมัครคลาสนี้เดี๋ยวฉันจะแจ้งอาจารย์ให้”

 

ดูเหมือนเขาจะคิดว่าฉันควรรู้ด้วยตัวเองว่าฉันพยายามทำอะไรไร้สาระ

 

“แต่ฉันจะให้แค่บรรยายเดียว”

 

เขาเขียนสิ่งนี้และสิ่งนั้นโดยบอกว่าเขาจะไม่แนะนำการบรรยายเกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติอื่นใดให้ฉัน

 

หลังจากเขียนบางสิ่งลงในพริบตาเขาก็ส่งกระดาษให้ฉัน

 

“นี่คือกำหนดการของคุณสำหรับภาคการศึกษานี้ ถ้าคุณใส่อย่างอื่นลงไปฉันจะไม่ยอมรับ”

 

เห็นได้ชัดว่าเขาจัดตารางเวลาให้ฉันแทน

 

“นี่คือการบรรยายอะไร?”

 

“แทนที่จะมุ่งความสนใจไปที่เรื่องนั้นเพียงอย่างเดียว ฉันอยากให้คุณทำแบบนี้ คุณจะสามารถหาสิ่งที่เหมาะสมได้”

 

เขาบอกฉันว่าฉันสามารถทำอะไรก็ได้ที่ฉันต้องการในตอนแรก

 

เมื่อเขารู้ว่าฉันอยากจะมุ่งเน้นไปที่บางสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างพลังเหนือธรรมชาติ เขาขอให้ฉันเลือกสิ่งที่ฉันอยากทำนอกเหนือจากนั้น ดังนั้น แทนที่จะใช้ภาคการศึกษานี้ไปกับพลังเหนือธรรมชาติเพียงอย่างเดียว เขาบอกฉันว่าฉันควรลองวิชาอื่นด้วยเพื่อหาสิ่งที่ฉันชอบ เป็นเรื่องธรรมดาที่เป็นไปไม่ได้ที่จะปลุกพลังเหนือธรรมชาติด้วยความพยายาม

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง นั่นคือการตัดสินที่ถูกต้องที่นี่ ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้

 

* * *

 

การเข้าร่วมชั้นเรียนพลังเหนือธรรมชาติทั้งหมดไม่ใช่ความคิดที่ดี อันที่จริง มันอาจจะเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะเรียนทั้งภาคการศึกษาด้วยการบรรยายเกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติเพียงอย่างเดียว และฉันก็อยากจะดูว่าการบรรยายของแต่ละวิชาเอกที่ฉันอธิบายเพียงคร่าว ๆ ในนิยายของฉัน

 

ดังนั้นฉันจึงกลับไปที่ห้องเรียนของคลาส A ซึ่งไม่มีครูอยู่ ที่นั่นฉันพบเด็กเกือบทุกคน ยกเว้นสองสามคน รวมตัวกันรอบกระดานข่าว

 

ทันทีที่ฉันเดินผ่านประตูทุกสายตาก็หันมาที่ฉัน

 

“……”

 

“……”

 

ทำไมพวกเขาถึงจ้องมองมาที่ฉันแบบนั้น?

 

สายตาจากคนที่รวมตัวกันรอบกระดานข่าวนั้นดูอบอุ่น แทนที่จะเต็มไปด้วยความเกลียดชัง การจ้องมองของพวกเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความไม่เข้าใจ

 

“เฮ้ นายไม่มีพรสวรรค์เลยเหรอ?”

 

เลขที่ 10 เคเยอร์ วอยเดน เป็นคนพูดคำเหล่านี้ ตอนนั้นเองที่ฉันรู้ว่าทำไมเด็ก ๆ ถึงไปเบียดเสียดกันบนกระดานข่าวแบบนั้น

 

คุณเอพินฮาวเซอร์ ติดประวัตินักเรียนแต่ละคนบนกระดานข่าว โดยตั้งใจให้รู้จักความสามารถของกันและกันเพื่อให้ทุกคนรู้ว่าควรระวังอะไรบ้าง

 

แน่นอนว่าความสามารถอันล้นเหลือของเอลเลนไม่ได้ถูกเขียนลงไปทั้งหมด ดังนั้นเธอจึงไม่ได้รับความสนใจมากนัก

 

อาจมีเด็กบางคนที่สงสัยว่าความสามารถพิเศษของคนอื่นๆ มีอะไรบ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงพบว่าอันดับที่ 11 ล่างสุดมีเพียงความถนัดและไม่มีพรสวรรค์

 

พวกเขาจึงพบว่ามันแปลก

 

“ใช่ แล้วไง”

 

มันเป็นความจริง ดังนั้นฉันจึงไม่มีอะไรจะพูดกับเขาอีก ฉันเพิ่งกลับไปที่ที่นั่งของฉันและนั่งลง ที่นั่งของฉันอยู่ทางซ้ายสุดในแถวที่สองใกล้หน้าต่าง เนื่องจากโต๊ะถูกจัดเรียงตามลำดับตัวเลข ห้องเรียนกว้างขวาง จึงไม่มีความจำเป็นที่เราจะใช้โต๊ะร่วมกัน ฉันมีโต๊ะตัวใหญ่นี้เป็นของตัวเอง

 

ฉันพยายามกำจัดพวกมัน แต่สายตาแปลกๆ เหล่านี้ดูเหมือนจะตามฉันมา เบอร์ทัสก็มองมาที่ฉันด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ บนใบหน้าของเขา

 

“ไม่เดี๋ยวก่อน มันจะสมเหตุสมผลได้ยังไง”

 

เคเยอร์มาหาฉันที่นั่งราวกับว่าเขาไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย

 

“นี่คือรอยัลคลาสสถานที่ที่ทุกคนไม่สามารถเข้าได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีพรสวรรค์ก็ตาม นายเข้ามาที่นี่ได้ยังไง ที่ที่ซึ่งต้องมีพรสวรรค์เป็นพิเศษ? แถมยังอยู่ในคลาส A? อย่างน้อยนายก็ควรจะอยู่ในคลาส B ไม่ใช่เหรอ?”

 

ฉันตั้งค่าให้เขาเป็นคนที่มีบุคลิกก้าวร้าว แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะมาหาฉันแบบนั้นตั้งแต่วันแรกที่เปิดเรียน

 

เคเยอร์ไม่เข้าใจจริงๆ และสำหรับเขา การดำรงอยู่ของฉันดูไร้สาระ ดูเหมือนเขาจะโกรธมาก ฉันควรตอบสนองต่อสิ่งนี้อย่างไร เขาพร้อมที่จะคว้าคอเสื้อของฉันและไม่มีใครอยากจะหยุดเขา

 

เบอร์ทัสดูเหมือนจะแค่เฝ้าดูสถานการณ์

 

“ฉันไม่เข้าใจอย่างจริงจัง? คนอย่างนายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

 

“นี่ นาย”

 

“…..…อะไร?”

 

ฉันอยากจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ พูดตามตรง ฉันอายุเท่าไหร่ถึงแสดงอาการเกินเหตุเหมือนเด็กมารังแกฉัน

 

ฉันไม่ได้ต้องการที่จะโดดเด่น

 

ฉันไม่ได้ตั้งใจ

 

แต่แล้วไงล่ะ

 

“อย่ามายุ่งกับฉัน สงสัยมากก็ไปถามสำนักงานรับสมัครเอาเองดิ”

 

เมื่อเห็นสถานการณ์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาฉัน ฉันจึงตะคอกกลับไปเล็กน้อย

 

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของฉันไม่เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ สีหน้าของเคเยอร์ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

 

“หมอนี่ เมื่อกี้นี้…. มันอะไรกัน…. นายกล้าดียังไงทั้งที่ไม่มีพรสวรรค์และ….”

 

“ทำไมนายถึงถามฉันเกี่ยวกับการตัดสินใจของสำนักงานรับสมัคร? นายคิดว่าฉันติดสินบนเข้ามาเหรอ? ฮะ? ฉันมาที่นี่เพราะพวกเขาส่งฉันมาที่นี่ แล้วนายล่ะ นายคิดว่านายเป็นใคร? และคุณหมายถึงอะไรกับ ‘กล้าดียังไว’? นายเป็นผู้ตรวจสอบการรับสมัครหรือหัวหน้าสำนักงานรับสมัครงั้นเหรอ?”

 

“ไม่ นี่….”

 

“ฮะ นายเป็นหัวหน้าสำนักงานรับสมัครหรือเปล่า”

 

“นั่นไม่ใช่….”

 

“ฮะ นายเป็นหัวหน้าสำนักงานรับสมัครหรือเปล่าล่ะ? ไอเวรเอ้ย! ใช่หรือไม่ใช่ฮะ?”

 

– เสียงดัง!

 

เขาตกใจเมื่อฉันลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินเข้าไปหาเขา เขาเริ่มถอยทีละก้าว

 

“เป็นหรือไม่เป็นหื้ม? อะไรทำให้นายใช้เวลาคิดนานจัง? ฮะ?”

 

“ไม่…. ฉันไม่ได้เป็น”

 

“แล้วทำไมนายต้องมายุ่งเรื่องนี้ด้วย”

 

เขากลัวมากจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน

 

“เฮ้ นายเลขที่ 10 ผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านปริมาณเวทมนตร์ที่มากมาย แต่ไม่สามารถรู้สึกถึงมานาได้แม้แต่นิดเดียว”

 

“อาา….”

 

ไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์เพื่อที่จะเป็นอันตพาล คุณหลีกเลี่ยงขี้เพราะกลัวมันหรือเปล่า? ไม่ คุณหลีกเลี่ยงเพราะมันสกปรก ตอนนี้ฉันกลายเป็นคนน่ากลัวไม่ได้ ฉันจึงต้องกลายเป็นคนสกปรก เพื่อไม่ให้ใครมายุ่งกับฉัน

 

ผู้ชายคนนั้นที่อยู่ตรงหน้าฉันไม่มีพรสวรรค์ในการต่อสู้เลยด้วยซ้ำ

 

“ทำไมเราไม่ดีดีกันไว้ล่ะ?”

 

“จะไม่ตอบเหรอ?”

 

เมื่อฉันลืมตาและจ้องไปที่เขา ผิวของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวราวกับแผ่นกระดาษ จากนั้นเขาก็พยักหน้าเล็กน้อย

 

“อา….”

 

ฉันตบแก้มไอ้ตัวแสบนั่นแล้วนั่งลง บรรยากาศรอบ ๆ เพื่อนร่วมชั้นของฉันดูฉากนั้นรู้สึกหนาวขึ้นมา

 

เหนื่อยจริงๆ

 

เหมือนว่าฉันจะถูกตราหน้าว่าไอ้อันตพาลที่ไม่มีแม้แต่ความสามารถด้วยซ้ำ

 

แต่ฉันไม่ผิดนะ ฉันถูกส่งมาที่นี่โดยสำนักงานรับสมัครรู้มั้ย?

 

หลังจากนั้น

 

จริงๆ ฉันไม่ได้อยากโดดเด่นเลย แต่มันกลับโดดเด่นเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ

 

ฉันเริ่มมองเห็นอนาคตที่มืดมนสำหรับชีวิตวัยเรียนของฉัน

 

* * *

 

ต้องขอบคุณเลขที่ 10 ที่ทำให้สิ่งต่างๆ พลิกผันในขณะที่เขาพยายามจะหาเรื่องกับฉัน พวกเขาต้องตกใจที่เห็นคนบ้าๆ บอๆ ทำตัวอันตพาล ไม่กลัวเลยแม้แต่น้อยที่เขาไม่มีพรสวรรค์

 

พวกเขาเพิ่งได้ยินจากอาจารย์ว่าอาจถูกฆ่าตายได้หากพวกเขาใช้ความสามารถของพวกเขา ดังนั้นคนบ้าๆ บอๆ เท่านั้นจึงจะกล้าทำอะไรแบบนั้น หากเขาไม่เป็นเช่นนั้นแสดงว่าเขาไม่รู้อะไรเลย อะไรแบบนั้นจะเกิดขึ้นอีกแน่นอนในอนาคต

 

คลาส B เป็นคลาสที่เป็นมิตรมาก บางครั้งใคร ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาจากที่นั่น แต่คลาส A กลับเงียบกริบ นอกจากเสียงปากกาขยับ การบรรยายของอาจารย์และคำถามที่ถามเป็นระยะๆ ก็ปราศจากเสียงหัวเราะโดยสิ้นเชิง

 

เดิมทีสถานที่นี้ควรจะเป็นที่ชุมนุมของคนประเภทนั้นเท่านั้น แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อคิดว่าบรรยากาศสยองขวัญที่ฉันสร้างขึ้นโดยไม่มีเหตุผลมีส่วนในเรื่องนี้

 

ให้ตายเถอะ ฉันโกรธเด็กคนหนึ่งอย่างจริงจัง ฉันเป็นมนุษย์ประเภทที่เลวร้ายที่สุด

 

ฉันนั่งอยู่ในชั้นเรียนด้วยความรู้สึกอับอาย

 

ชั้นเรียนก็เหมือนชั้นเรียนทั่วไปที่ทุกคนต้องเรียน

 

ตัวอย่างเช่น วิชาประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ คณิตศาสตร์ วรรณคดี และจริยธรรม ครูแต่ละคนรับผิดชอบวิชาที่แตกต่างกัน บางทีอาจถูกกำหนดว่าครูประจำชั้นไม่ได้ดูแลวิชาใดๆเลย

 

ในช่วงพักสั้น ๆ ระหว่างคาบเรียนจนถึงช่วงเลิกเรียน ดูเหมือนเด็ก ๆ จะคุยกันและทำความรู้จักกันอย่างช้า ๆ

 

– คุณมีความสามารถด้านเวทมนตร์มั้ย? คุณจะเรียนวิชาอะไร

 

-อืม…. ฉันยังไม่แน่ใจเลย

 

– ถ้างั้นลองถามครูเราซิว่าจะเอายังไง?

 

-อืม? นั่นน่าจะ…. ดี….

 

-รอยัลคลาสดูเหมือนจะมีการบรรยายพิเศษที่แตกต่างจากคลาสทั่วไป บางทีเราอาจจะได้ฟังบรรยายแค่สองคนก็ได้

 

-โอ้…. จริงเหรอ

 

เด็กที่มีความสามารถใกล้เคียงกันดูเหมือนจะต้องการสมัครเรียนในชั้นเรียนเดียวกัน ในวันที่คุณสมัครเรียนด้วยตัวเอง คุณต้องไปฟังการบรรยายร่วมกับนักเรียนทั่วไป พวกเขาจึงอยากได้คนที่เขารู้จักมาเป็นไม้ค้ำยันทางจิตใจเพิ่มอีกหนึ่งคน

 

ดังนั้นในวันอังคาร วันพุธ และวันศุกร์ ผู้ที่มีพรสวรรค์ในการต่อสู้จะเข้าร่วมชั้นเรียนการต่อสู้ ผู้ที่มีพรสวรรค์ในเวทมนตร์จะเข้าเรียนในชั้นเรียนเวทมนตร์ และผู้ที่มีความสามารถเหนือธรรมชาติจะเข้าร่วมชั้นเรียนสำหรับผู้ใช้ความสามารถเหนือธรรมชาติ ในกรณีของผู้ที่มีพรสวรรค์ในพลังศักดิ์สิทธิ์ พวกเขามักจะเข้าร่วมการบรรยายการต่อสู้ เนื่องจากพวกเขามักมีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้อีกแบบ

 

ดังนั้น ทุกคนจึงคุยกันว่าจะสมัครอะไรดี คนอื่นๆ คิดไปเอง นั่นคือวิธีที่เวลาในชั้นเรียนผ่านไป

 

เวลาอาหารกลางวัน

 

เนื่องจากมีเพียงประมาณ 100 คนในรอยัลคลาสจึงรับประทานอาหารกลางวันในร้านอาหารขนาดใหญ่ทุกปี ไม่จำเป็นต้องยืนต่อแถวโดยมีจานอยู่ในมือ และใคร ๆ ก็หยิบอะไรก็ได้ที่อยากกิน

 

เป็นเรื่องปกติที่นักเรียนรุ่นพี่จะปะปนกันในฝูงชน แต่โซนถูกแบ่งโดยปริยาย บางที่นั่งถูกจองไว้สำหรับปีแรก บางที่นั่งสำหรับปีที่สองเป็นต้น แน่นอนว่าทั้งคลาส A และ B ผสมกัน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องกินในที่เดียวกัน

 

คลาส A รวมตัวกันรอบๆเบอร์ทัสและรับประทานอาหาร เขาดูเป็นคนนิสัยดี บางทีเขาอาจจะมีผู้ติดตามบ้างแล้ว

 

คลาส B ก็ไม่ต่างกัน

 

-เฮ้ ชาร์ลอตต์ ลองนี่สิ มันอร่อยมาก

 

-อา…. อา ไม่ ขอบคุณ ฉันไม่ชอบของที่มันๆ

 

คลาส B มีศูนย์กลางอยู่ที่ชาร์ลอตต์ แต่เหตุผลดูเหมือนจะแตกต่างออกไป

 

– คุณต้องกินให้มากเพื่อสุขภาพที่ดี!

 

– คุณไม่ชอบผักเหรอ?

 

เธอถูกลักพาตัวไปที่ปราสาทของราชาปีศาจและเข้าไปในวิหารหลังจากกลับมาได้ไม่นาน ดูเหมือนว่าทุกคนจะกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของชาร์ลอตต์ ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่รุ่นพี่ของเธอก็ยังมองเจ้าหญิงด้วยความสงสาร

 

พวกเขาโห่ร้องให้ดูแลชาร์ลอตต์โดยมีลุดวิกอยู่แถวหน้า ในขณะที่ชาร์ลอตต์ดูเหมือนจะลำบากในการจัดการกับสถานการณ์นี้

 

ฉันจัดคลาส B ให้มีบรรยากาศที่เป็นมิตร แต่ถึงแม้จะมีชาร์ลอตต์เพิ่มเข้ามา บรรยากาศก็ยังคงเป็นมิตร และเหตุผลก็คือลุดวิกนั่นเอง เขาเป็นตัวละครประเภทตัวเอกของมังงะทั่วไปที่มีบุคลิกที่มองโลกในแง่ดี เป็นมิตร และเปี่ยมไปด้วยพลังงาน

 

ฉันไม่ได้ติดต่อกับคนแบบนั้นมากนัก แต่ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ชอบคนแบบนั้นจริงๆ

 

แม้ว่าจะมีที่นั่งว่างมากมาย แต่คลาส A ก็มารวมตัวกันรอบๆ เบอร์ทัส และคลาส B ก็มารวมตัวกันรอบๆ ชาร์ลอตต์

 

แล้วก็มีห้าคนนั่งกินข้าวคนเดียวเหมือนพยายามรักษาระยะห่าง รวมทั้งตัวผม ที่มีเรื่องเมื่อเช้านี้ด้วย

 

A-2 เอลเลน อาร์โทเรียส

 

A-5 คลิฟฟ์แมน

 

A-11 ฉันเอง

 

B-2 หลุยส์ อังค์ตัน

 

B-3 สการ์เล็ต

 

ทุกคนเป็นคนนอกหรือคนเก็บตัวที่พยายามรักษาระยะห่างงั้นเหรอ?

 

คนนอกทั้งหมดรวมถึงฉันกำลังกินอย่างเงียบ ๆ

 

-ฉันรู้สึกปวดท้องแล้ว….

 

เสียงที่เศร้าโศกของชาร์ลอตต์ฟังดูซาบซึ้งอย่างน่าประหลาด

เพจผู้แปล Lemon FT ถึงจะไม่ค่อยได้โพสต์อะไรแต่ก็ขอฝากไว้ก่อน

เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา

เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา

Status: Ongoing
หลังจากที่ตายนักเขียนนิยายสุดห่วยได้ถูกส่งไปเป็นหนึ่งในตัวละครของนิยายของเขา “ให้ตายเถอะ!! ทำไมฉันถึงต้องมาเกิดเรื่องแบบนี้ด้วย!” ด้วยความโชคร้าย ตัวละครที่ได้จากการสุ่มนั้นคือเจ้าชายปีศาจ ตัวละครที่ไม่มีในเรื่อง ไม่ใช่แม้กระทั่งตัวประกอบด้วยซ้ำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน