บทที่ 5 ท่านอาจารย์!
ทุ่งร้างตามป่าแห่งหนึ่งในรัฐติง
“เจิ้งหง! ตกลงเจ้ารู้ทางหรือเปล่าเนี่ย!”
“รู้ขอรับๆ รู้แน่นอนขอรับคุณชาย ท่านดู ตอนกลางวันเราเดินตามทิศทางดวงอาทิตย์ตก พอย่ำค่ำแล้วย่อมต้องมองดาววิเคราะห์ตำแหน่ง ตอนนี้ดาวเหนืออยู่บนศีรษะพอดี ดังนั้นเดินไปทางนี้ไม่ผิดแน่ขอรับ”
เผียวเจิ้งหงกำลังบังคับรถม้าบรรทุกทังจงซงตะบึงไปชานเมืองไร้ผู้คน
เขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าอะไรคือการมองดาววิเคราะห์ตำแหน่ง กระทั่งคำนี้เขายังได้ยินจากปากคนอื่นอย่างไม่ใส่ใจโดยบังเอิญ แต่มาถึงจุดนี้ก็ไม่มีวิธีอื่น ทำได้เพียงยืนยันสุดชีวิตว่าตนรู้ทาง จากนั้นก้มหน้าก้มตาไปต่อเงียบๆ พอออกจากป่าผืนนี้แล้วค่อยคิดแผน
มุ่งหน้าไปได้ไม่นานนัก ตรงหน้าก็เป็นพื้นที่โล่งกว้างผืนหนึ่ง น้ำแข็งและหิมะที่ยังไม่ละลายสะท้อนแสงจันทร์สาดส่องรอบด้านจนสว่างไสวถ้วนทั่ว
ทังจงซงส่งสัญญาณให้หยุดรถพักผ่อนสักพัก แม้ไม่ใช่การขี่ม้า แต่การกระเทือนระหว่างรถม้าตะบึงก็ทำให้เขาผู้สุขสบายมาตั้งแต่เด็กรับไม่ไหวอยู่หน่อยๆ
เขามองโดยรอบ ว่างเปล่าจนไม่มีแม้แต่แมลงวันสักตัว แสงจันทร์กับสีหิมะย้อมฟ้าดินทั้งผืนให้สลัวและวังเวง
บนพื้นไม่มีรอยล้อรถสักเส้น ไกลออกไปไม่มีแสงดาวสักดวง ทังจงซงลงรถคว้าหิมะมากำมือหนึ่ง ใต้ชั้นหิมะบางๆ มีหญ้าขึ้นแล้ว
“เจ้าว่า ที่นี่มีไส้เดือนหรือไม่”
ทังจงซงถาม
“ไส้เดือน???”
“คุณชาย ฤดูนี้จะมีไส้เดือนได้อย่างไรขอรับ ถึงท่านจะเห็นหญ้าเขียวบ้างแล้ว แต่ดินยังแข็งอยู่เลย”
เผียวเจิ้งหงไม่เข้าใจว่านายน้อยทังท่านนี้คิดจะทำอะไร
แต่เขาชินแล้ว
อย่างไรคุณชายก็ฉลาดซุกซนตั้งแต่เด็ก เขามีความคิดพิสดารที่เล่าทั้งวันจนค่ำก็ไม่หมด
เขาเข้าจวนที่ว่าการหลังคุณชายเกิดไม่นาน ตอนนั้นก็เป็นเด็กคนหนึ่ง แต่ในความทรงจำของเขา ที่ว่าการรัฐติงในตอนนั้นจึงจะเรียกว่าคฤหาสน์หลังโตอันมีจิตวิญญาณ
ใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐฝึกกองทัพขยันว่าราชการ ดูน่าเกรงขามแม้ไม่ได้โกรธ ฮูหยินดูแลส่วนในเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ทั้งหมดนี้ล้วนหายไปหลังจากคุณชายค่อยๆ เติบใหญ่
เพราะคุณชายเปลี่ยนความคิดพิสดารตอนเขายังเด็กเหล่านั้นให้กลายเป็นความจริงทีละอย่าง จากนั้นทั้งที่ว่าการตั้งแต่บนลงล่างก็ไม่มีผู้ใดไม่เคยเป็นทุกข์เพราะคุณชายสักคน
“เจ้าบอกว่าตอนนี้ในดินนี่ไม่มีไส้เดือน ทำไมเข้าหน้าร้อนแล้วก็มีเลยล่ะ พอฟ้าดินผืนนี้เข้าหน้าร้อนแล้วก็ไม่ใช่ฟ้าดินผืนนี้ในตอนนี้แล้วอย่างนั้นหรือ”
ทังจงซงเอ่ยถาม
“นี่… ผู้น้อยไม่ทราบขอรับ แต่ยังไม่เคยเห็นไส้เดือนก่อนเข้าฤดูใบไม้ผลิมาก่อน”
ทังจงซงหมุนกายกลับไปบนรถ ตอนกลับมาอีกรอบในมือถือดาบยาวเล่มหนึ่งมาด้วย
“นี่คือ…”
เผียวเจิ้งหงมองดาบยาวบนมือคุณชายแล้วตกใจจนพูดไม่ออก
ดาบตะขอคมเขี้ยวสามหอรบ
อาวุธสร้างชื่อของทังหมิงผู้ควบคุมรัฐแห่งรัฐติง
ตอนนั้นทังหมิงถือดาบตะขอคมเขี้ยวสามหอรบเล่มนี้ หนึ่งคนหนึ่งม้าสังหารผู้นำทั้งสามของหน่วยกลืนจันทราจนตายสองบาดเจ็บหนึ่ง
ถึงขนาดสิบกว่าปีให้หลังหน่วยกลืนจันทราก็ยังหายใจไม่ทั่วท้อง
รวมทั้งกองกำลังฝ่ายซ้ายของราชสำนักทุ่งหญ้าก็ถูกกองกำลังฝ่ายขวาควบคุม
แม้ขุนพลกองกำลังฝ่ายซ้ายขวาเป็นคนร่วมชาติกัน แต่เจอเรื่องเช่นนี้เข้าใครจะไม่ประชันขันแข็งเล่า
ทังจงซงและเผียวเจิ้งหงกลับไม่รู้ว่าทหารหมาป่าที่รุกรานพรมแดนเป็นการใหญ่ครั้งนี้ก็คือสังกัดกลืนจันทรา กองกำลังฝ่ายซ้ายที่ถูกบิดาเขาสังหารจนเกือบสิ้นหน่วยเมื่อสิบกว่าปีก่อน
ลมน้ำหมุนเวียนสับเปลี่ยน[1] ไหลฝั่งตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำอย่างละครึ่ง[2]
บิดาเจ้าสังหารผู้นำรุ่นก่อนของบ้านผู้อื่น ก็ไม่อาจโทษที่ผู้นำคนใหม่เดินทางมาแก้แค้น
แต่แล้วลูกชายก็ขโมยดาบที่เจ้าสังหารคนเมื่อปีนั้นแล้วยังจะไปรบให้ได้
นี่ก็คือชะตา
“เรามาพนันกัน! หากขุดไม่เจอ เช่นนั้นหลังจากข้าตัดหัวหลางอ๋องหมิงเย่าแล้ว บำเหน็จที่ติ้งซีอ๋องแล้วก็ตาเฒ่าของข้าให้มา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แต่ถ้าขุดเจอละก็ เช่นนั้นข้าขุดออกมากี่ตัวเจ้าก็ต้องกินเข้าไปเท่านั้น!”
“พนันหรือไม่”
สมองเผียวเจิ้งหงก็แล่นเร็วนัก ตอบตกลงทันที
เขาคิดในใจว่าเรื่องทิศทางก็ไม่แน่ชัด กลางคืนดึกดื่นยิ่งเดินยิ่งหลง หายากที่คุณชายจะมีอารมณ์สนใจ เล่นเป็นเพื่อนเขาฆ่าเวลาหน่อยก็แล้วกัน อย่างไรไส้เดือนก็ขุดไม่ได้แน่นอน หัวของหลางอ๋องก็ไม่มีทางถูกเขาตัดทิ้ง ตนไม่มีอะไรเสียหายสักนิด แล้วยังลดการถูกด่าเรื่องหาทางไม่เจอด้วย ทำไมจะไม่เห็นดีด้วยเล่า
“แต่คุณชายขอรับ ไส้เดือนนี้ต้องให้ข้าขุด”
เผียวเจิ้งหงรู้ว่าคุณชายบ้านเขาผู้นี้อุบายเยอะนัก ในแขนเสื้อเขาอาจจะซ่อนไส้เดือนไว้โหลหนึ่งแต่แรกแล้วก็ได้ แค่รอเบื่อตอนกลางดึกแล้วค่อยวางกับดักใส่ตน
ทังจงซงตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด งานใช้กำลังเช่นนี้เขาขี้เกียจจะทำอยู่แล้ว
เผียวเจิ้งหงออกแรงไปมากโขกว่าจะถือดาบตะขอคมเขี้ยวสามหอรบเล่มนี้ไว้มั่น เขาคิดไม่ตกว่าคุณชายซงที่ปกติดูจะสนใจแต่สุรานารีนั้นยกขึ้นด้วยมือข้างเดียวได้อย่างไร
‘ช่างเป็นมังกรให้กำเนิดมังกร หงส์ให้กำเนิดหงส์ ลูกหนูขุดหลุมเป็น[3]จริงๆ’
………………
จุดพักม้าทางการห้าเมืองของชายแดนรัฐติง
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นแสงโคมไฟสว่างจ้าในพื้นที่ภูเขาโอบล้อมที่อยู่ไม่ไกล เขามาถึงจุดพักม้าทางการแล้ว
เดินถนนยามกลางคืนมาเนิ่นนาน พอเห็นแสงโคมไฟอย่างฉับพลันจึงทิ่มตาจนลืมไม่ขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาพลันรู้สึกว่าไหล่ซ้ายของตนมีคนดึงไว้ ขณะกำลังจะชักกระบี่ ทว่าเสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่งสะท้อนเข้าหู
“แหม เจ้าใจแคบเพียงนี้เชียวหรือ… เรียกเจ้าว่าน้องชายคำเดียวก็จะฆ่าแกงกันเลย…”
หลิวรุ่ยอิ่งปรับสายตามองให้ชัด ใบหน้าแย้มยิ้มของหลี่อวิ้นสะท้อนอยู่ใต้แสงไฟอย่างอบอุ่นและใจดี ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกสบายใจ
“เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“ทุกคนถอนกำลังมาที่นี่ตามคำสั่งของใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐกันหมดไม่ใช่หรือ”
“ไม่ ข้าหมายถึงเจ้ามาถึงก่อนพวกเราได้อย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งชี้บัณฑิตจางและเหยียนจื่อที่ข้างกายตนเอง
ว่าตามเหตุผลด้วยการเดินทางของพวกเขา ต่อให้พาคนชรา เด็ก และสตรีจำนวนหนึ่งในเมืองจี๋อิงมาด้วยก็ไม่ได้ช้าขนาดนั้น หรือว่า…
“เจ้าเป็นใครกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งลอบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เอ่ยถามอย่างระวังยิ่ง
“ฮ่าๆๆ ข้าเป็นใครหรือ คนที่เคยเจอข้าครั้งหนึ่งต่างรู้ว่าข้าคือผู้ใด น้องชาย เจ้ามาจากเมืองหลวงที่ครึกครื้นปานนั้นกลับไม่รู้หรอกหรือ”
“ฝีเท้าเจ้าเร็วเช่นนี้ ต่อให้ข้าขี่ม้าเร็วของกรมสอบสวนก็เท่านั้น จะไม่ให้ข้าสงสัยได้อย่างไรล่ะ”
“แม่นางหลี่อวิ้นมาพร้อมกับข้า ใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบไม่ต้องสงสัย ข้าน้อยเจียงเหิงเจียว ผู้สั่งการหัวเมืองรัฐติง”
สตรีรูปร่างซูบผอมใบหน้าเคร่งขรึมคนหนึ่งก้าวเข้ามาแล้วเอ่ย
ในผู้สั่งการหัวเมืองทั้งสามแห่งหัวเมืองรัฐติงนั้น สองคนล้วนนำทัพตามผู้ว่าการหัวเมืองไปต้านศัตรูที่ชายแดน คนที่เหลือก็คือเจียงเหิงเจียวผู้นี้
นางเป็นสตรี ทว่าแต่ไรมาผ้าโพกศีรษะล้วนไม่เป็นรองหนวดเครา[4] นางช่ำชองการขี่ม้ายิงธนู เชี่ยวชาญการจัดวางกองทัพ เพียงแต่ครั้งนี้เพราะประชาชนทุกคนในห้าเมืองเขตชายแดนต้องลี้ภัยทั้งหมด จำนวนคนมีมาก เกี่ยวข้องกันเป็นพื้นที่กว้าง ต้องให้ขุนนางผู้มีความสามารถคนหนึ่งมารับผิดชอบ
เพื่อการนี้ เจียงเหิงเจียวถึงขั้นมีปากเสียงกับเฮ่อโหย่วเจี้ยนผู้ว่าการหัวเมืองไปยกใหญ่
นางที่อารมณ์ไม่ดีเป็นทุนเดิมเห็นหลิวรุ่ยอิ่งซักถามหลี่อวิ้น เพิ่มฐานะกรมสอบสวนของเขาเข้าไปอีก นางจึงเกิดความรู้สึกรังเกียจเขาอย่างไร้ที่มา
เจียงเหิงเจียวมีนิสัยเปิดเผยกล้ารักกล้าชังมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยเห็นชื่อเสียงของกรมสอบสวนเป็นเรื่องสำคัญ ในเมื่อหลี่อวิ้นคือเพื่อนสนิทที่นางยอมรับ เช่นนั้นเจ้าสงสัยนางก็คือกำลังสงสัยข้า
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้ารับรู้อย่างกระอักกระอ่วน อยากเปิดปากถามสถานการณ์ของที่นี่สักหน่อยกลับรู้สึกเกรงใจไม่น้อย จึงจนใจทำได้เพียงเดินไปด้านข้าง แล้วเรียกเหล่าชาวบ้านเมืองจี๋อิงที่มาพร้อมกับตนให้หยุดพัก
ทหารใต้บังคับบัญชาของเจียงเหิงเจียวต้มโจ๊กร้อนหนึ่งหม้อใหญ่ ทุกครั้งที่มีชาวบ้านมาใหม่ก็ต่อแถวตักได้ถ้วยหนึ่ง
แม้ไม่ใช่อาหารชั้นยอดเลิศรสอะไร แต่ในใจผู้คนที่มีความทุกข์เรื่องบ้านเกิดเมืองนอนอยู่เต็มอกนั้น โจ๊กร้อนถ้วยนี้ก็คือความหวังของการกลับบ้านในวันหน้า คือเจตจำนงที่รัฐติงจะต่อสู้กับทหารหมาป่าจนตัวตาย ทำให้พวกเขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยวระหว่างพลัดพรากจากถิ่นที่อยู่ขนาดนั้น
หลิวรุ่ยอิ่งก็หยิบมาถ้วยหนึ่ง เขาเตรียมต่อแถวไปตักโจ๊ก แต่กลับถูกหลี่อวิ้นลากออกมา
“คิดไม่ถึงเลยว่าใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบของพวกเราจะติดดินเช่นนี้”
หลี่อวิ้นหยอกเย้าพลางลากหลิวรุ่ยอิ่งเข้าไปในกระโจมด้านหลัง
เข้ากระโจมแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเจียงเหิงเจียวนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน นอกนั้นยังมีขุนนางรัฐอีกหลายคน สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจคือบัณฑิตจางกับเหยียนจื่อก็อยู่ที่นี่ด้วย
“ใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบเชิญนั่ง สองท่านนี้ข้าฟังแม่นางหลี่อวิ้นเล่าว่าล้วนเป็นยอดฝีมือ ตอนนี้เรื่องสงครามชายแดนคับขัน ข้าจึงตั้งใจเชิญพวกเขาสองคนมาร่วมกินอาหาร ใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบคงไม่ถือสากระมัง”
แม้ใช้คำให้เกียรติทั้งยังเป็นน้ำเสียงซักถาม แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้สึกถึงบรรยากาศผ่อนคลายแม้แต่น้อย
บัณฑิตจางลูบเครายิ้มมองเขา เหยียนจื่อก็เพียงพยักหน้าเล็กน้อย ถือว่าเป็นการทักทายกันแล้ว
บอกว่ากินอาหาร แต่ก็แค่บะหมี่ผักชามหนึ่งและเพิ่มเครื่องเคียงสองสามจาน
“ชายแดนความเป็นอยู่ลำบาก หวังว่าใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบจะอยู่ง่ายและไม่รังเกียจ”
“ไม่หรอกๆ เมื่อครู่ใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบของพวกเรายังเตรียมต่อแถวตักโจ๊กอยู่เลย ติดดินทีเดียวละ”
ไม่รอหลิวรุ่ยอิ่งตอบ หลี่อวิ้นก็แย่งหัวข้อไปพูดแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งเองก็หิวแล้วจริงๆ เขาหยิบตะเกียบคีบบะหมี่ในชามทันที แต่เส้นบะหมี่ต้มไว้นานจึงเริ่มเหนียว ยากจะคีบด้วยตะเกียบ
หลิวรุ่ยอิ่งคีบติดกันหลายครั้งก็ยังไม่ได้กินสักเส้นจนอดร้อนใจไม่ได้
“ที่คีบขึ้นมาก็ใช่ว่าจะกินเข้าปากได้ ทั้งใจร้อนทั้งละโมบ ทุกครั้งล้วนอยากคีบให้ได้เยอะๆ แต่เจ้ากินอิ่มได้ในตะเกียบเดียวหรือ ไม่สู้คีบน้อยลงหน่อย ค่อยเป็นค่อยไป ที่กินใส่ปากได้จึงจะเป็นผลลัพธ์ของการกระทำ”
หลี่อวิ้นนั่งกลั้นหัวเราะอยู่ข้างหลิวรุ่ยอิ่ง บัณฑิตจางกลับทนดูไม่ได้จึงเอ่ยปากพูดประโยคหนึ่งอย่างสงบนิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่ายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาตนยังไม่เคยทุกข์ใจ เสียเปรียบ และขายหน้ามากเท่าคืนนี้ อยู่กรมสอบสวนอย่างมากก็ไม่อาจใช้ชีวิตอิสระทุกวัน แต่อยู่ที่นี่กลับถูกคนมองเหมือนเป็นสัตว์ประหลาดในภูเขา ทุกการกระทำทุกคำพูดของตนล้วนเป็นสิ่งที่ให้คนด้านข้างหัวเราะเยาะ ทำเอาเขารู้สึกพ่ายแพ้อย่างมาก
‘ข้าก็ทำตามอย่างที่เขียนไว้ในสมุดหมดเลยแท้ๆ ทำไมคลาดเคลื่อนมากขนาดนี้ล่ะ อีกอย่างในเมื่อผู้สั่งการหัวเมืองผู้นี้รู้ฐานะของข้าแล้ว เช่นนั้นในหัวเมืองรัฐติงก็ต้องรู้กันหมดแล้วแน่นอน ก่อนเดินทางใต้เท้าผู้สั่งการกองกำชับกับข้าว่าให้ข้าตรวจสอบอย่างลับๆ คราวนี้วุ่นวายกันไปหมด ข้าควรทำเช่นไรดี…’
………………
ทุ่งร้างชายป่าแห่งหนึ่งในรัฐติง
“ฮ่าๆๆ ข้าก็ว่าฤดูนี้จะไม่มีไส้เดือนได้อย่างไรกัน ลองนับดูเร็ว นี่มันเท่าไร หนึ่ง… สอง… สาม…”
เผียวเจิ้งหงมองไส้เดือนกองหนึ่งที่บิดตัวอยู่บนพื้นดินที่มีสีหญ้าเขียวอยู่หรอมแหรมตรงหน้า เขาตกใจจนพูดไม่ออกสักประโยค
หลักเหตุผลของคุณชายนั้นไม่ผิด แต่อากาศเช่นนี้ต่อให้มีไส้เดือนก็ควรอยู่ใต้ดินลึกมากถึงจะถูก เป็นไปได้อย่างไรที่ตนแค่ขุดเบาๆ ก็เหมือนแทงเข้าไปในรังไส้เดือนเลย
ตนเป็นคนเลือกพื้นดินแล้วก็ขุดด้วยตนเอง ถึงคุณชายจะเจ้าเล่ห์เพียงใดก็ไม่มีทางมาที่นี่ก่อนแล้วเตรียมการฝังไส้เดือนไว้ใต้ดินทั้งผืนนี้ล่วงหน้าหรอกกระมัง
“สามสิบหก! ทั้งหมดมีสามสิบหกตัว! เร็ว สุภาพบุรุษชายชาตรียอมพนันต้องยินดีรับผล!”
ทังจงซงตื่นเต้นอย่างยิ่ง ดีใจจนกระโดดโลดเต้น
“ข้า… คุณชาย ขอไม่…”
“ไม่ได้!”
ทังจงซงตัดบทเขาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ในภาพจำของเผียวเจิ้งหง คุณชายยังไม่เคยจริงจังเช่นนี้มาก่อน
“แต่ก็ได้ ข้าถามเจ้าคำถามหนึ่ง”
“เจ้าคิดว่าข้าสามารถตัดหัวของหลางอ๋องหมิงเย่าได้หรือไม่”
ทังจงซงเอ่ยถาม
“สามารถอยู่แล้ว ด้วยฝีมือคุณชายท่านทำได้แน่นอนขอรับ!”
คำสอพลอบนเนินเขาก่อนหน้านี้ตนพูดโดยขัดกับความรู้สึกอย่างแท้จริง แม้ครั้งนี้ก็มีเจตนาเอาใจเพื่อไม่ต้องกินไส้เดือนอยู่ แต่ไม่รู้ทำไม เผียวเจิ้งหงรู้สึกว่าคุณชายนี่แหละที่จะตัดหัวของหลางอ๋อง และต้องเป็นเขาเท่านั้น
“ฮ่าๆๆ ข้าว่าไส้เดือนนี่ไม่ต้องกินแล้ว จะได้ไม่ท้องร่วงระหว่างทางแล้วเสียเวลา มุ่งหน้าต่อเถอะ!”
เมื่อเผียวเจิ้งหงเห็นว่าไม่ต้องกินไส้เดือนแล้วเขาก็ทิ้งความรู้สึกเมื่อครู่ไว้ข้างหลังทันที ‘ตัดหรือไม่ตัดหัวหลางอ๋องก็ช่างเถอะ ข้าไม่ต้องกินไส้เดือนถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ’ พอคิดเช่นนี้เขาก็มีแรงทำงานเต็มเปี่ยมทันที และไม่ได้สนใจหาเส้นทาง สุ่มมั่วๆ มาทิศหนึ่งแล้วมุ่งหน้าไปโดยไม่สนใจสิ่งใด
คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ยังโชคดีอยู่มาก ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็เห็นแสงไฟแล้ว
“นี่คือที่ไหน”
“เหมือนจะเป็นจุดพักม้าทางการของหัวเมืองรัฐติงเราขอรับ”
เผียวเจิ้งหงรู้ว่าคุณชายแอบหนีออกมา เขาคิดว่าคุณชายไม่มีทางเข้าสถานที่ของขุนนางนี้แน่นอน
คาดไม่ถึงว่าคุณชายจะกระโดดลงจากรถอย่างรวดเร็วแล้วถือดาบเดินไปภายใน
“คุณชายท่านจะไปไหนขอรับ”
“ข้าจะฉี่ ข้าอั้นมาแทบตายแล้ว ข้างนอกอากาศหนาวจนข้าฉี่ไม่ออก!”
เมื่อทังจงซงเข้าไปก็เห็นกระโจมใหญ่หลังหนึ่ง ตอนเลิกม่านกระโจมขึ้นเขานิ่งอึ้งอยู่กับที่ทันที
พวกหลิวรุ่ยอิ่งที่กำลังกินบะหมี่ถูกลมหนาวซึ่งมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้พัดใส่จนพากันหันหน้าไปมอง พอเห็นผู้มาเยือนถือดาบมาด้วยในใจยิ่งตกใจ โชคดีเจียงเหิงเจียวจำได้ว่าเขาคือคุณชายของผู้ควบคุมรัฐทัง จึงบอกให้ทุกคนไม่ต้องตระหนก ไม่เช่นนั้นหลิวรุ่ยอิ่งกับเหยียนจื่อคงลงมือไปแล้ว
“ท่านอาจารย์!”
…………………………………..
[1] ลมน้ำหมุนเวียนสับเปลี่ยน หมายถึง ความโชคดีไม่อาจอยู่กับเราตลอดไป
[2] ไหลฝั่งตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำอย่างละครึ่ง หมายถึง เรื่องราวในโลกล้วนไม่แน่นอน
[3] มังกรให้กำเนิดมังกร หงส์ให้กำเนิดหงส์ ลูกหนูขุดหลุมเป็น หมายถึง บิดามารดาเป็นเช่นไรลูกก็เป็นเช่นนั้น ใช้กับอาจารย์และศิษย์ได้เช่นกัน
[4] ผ้าโพกศีรษะล้วนไม่เป็นรองหนวดเครา หมายถึง สตรีไม่เป็นรองบุรุษ