บทที่ 12 รวมตัวในรัฐติง-2
ในจุดพักม้าทางการ รัฐติง
“ข้าต้องไปแล้ว แม้สำนักปากสอบไม่ยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทั้งมวลในใต้หล้า แต่ไม่ได้แปลว่าพวกเขาใจกว้างพอจะอดทนต่อการหักหลัง”
บัณฑิตจางทิ้งกล่องเล็กใบหนึ่งไว้ข้างหัวเตียง
ในนั้นมีที่ทับกระดาษสองอันกับจดหมายสองฉบับนอนแน่นิ่งอยู่
ฉบับหนึ่งให้เหยียนจื่อ ฉบับหนึ่งให้ทังจงซง
จดหมายที่ให้เหยียนจื่อหนาทีเดียว กระดาษทุกหน้าล้วนซับน้ำหมึกไว้เต็ม ซองจดหมายพองนูนขึ้น
จดหมายที่ให้ทังจงซงมีแค่ประโยคเดียวสั้นๆ ‘เจ้ากับข้าไม่ติดค้างกัน’
“คนฝึกนกอินทรีมักถูกนกกระจอกจิกตา[1] สำนักปากสอบคิดเอาว่าสืบทอดมายาวนานจนสามารถอ่านคนทะลุปรุโปร่ง รู้แจ้งในเรื่องหลอกลวง ที่จริงชื่อเสียงของท่านบัณฑิตกระดูกขาวแต่ไรมาข้าไม่เคยกลัว ข้าแค่เห็นท่านเป็นอาจารย์ของข้าจริงๆ เท่านั้น”
ทังจงซงใส่จดหมายลงในกระถางไฟ มองขี้เถ้ากระจายขึ้นพลางกล่าวพึมพำ
ในความนิ่งขรึมของเผียวเจิ้งหงที่อยู่ด้านข้างมีความเสียดายและปวดใจอยู่เล็กน้อย ไม่เห็นเป็นสุนัขอาศัยบารมีเจ้าของ[2]เช่นตอนอยู่ข้างนอกเลย
บัณฑิตจางออกจากจุดพักม้าทางการแล้วมุ่งตรงไปเมืองจี๋อิง
จบทุกสิ่งในจุดที่ทุกอย่างเริ่มต้น
ย่อมไม่มีที่ใดเหมาะกว่าเมืองจี๋อิงอีกแล้ว
เขาเดินช้ามาก ทุกย่างก้าวล้วนมั่นคง
เดินเตร่ลำพังบนพื้นหิมะอันทอดยาวเหมือนสุนัขป่าหลงฝูงตัวหนึ่ง
เขาหยิบขวดสุรากับพัดพับออกจากกลางอกที่ใส่ที่ทับกระดาษไว้ จากนั้นเทสุราใส่ปากหลายอึกใหญ่
ดื่มสุราหมดแล้ว เขาก็เริ่มโบกพัด
ใครจะโบกพัดนอกบ้านในแดนพายัพช่วงเดือนสามกัน
ย่อมไม่ใช่คนทั่วไป แล้วก็ไม่ใช่พัดธรรมดา
ด้านหน้าพัดวาดฉากเขตการค้าอันคึกคักไว้ภาพหนึ่ง ดูสงบกลมกลืน
แต่พอเข้าไปมอง คนบนเขตการค้าล้วนไม่ได้สวมเสื้อผ้า
แล้วก็ไม่มีเลือดเนื้อสักนิด
ทั้งหมดล้วนเป็นกระดูกขาวหลายๆ โครง
บัณฑิตจางยิ่งเดินยิ่งช้า พัดเร็วขึ้นทุกที
กระดูกขาวบนภาพวาดพัดคล้ายเริ่มมีชีวิต
“อวี่ซู ไม่พบกันนาน ทำไมแก่ขึ้นปานนี้”
บัณฑิตจางเก็บพัดในมือดังพั่บ ยิ้มพลางหันกลับมา
เขาเกลียดการรอคอยมาตลอด
พยายามชะลอฝีเท้าเพื่อเอ่ยคำกับเขาถือเป็นการประนีประนอมที่สุดแล้ว
“อากาศหนาวเหน็บ ไม่ต้องคุยเรื่องอดีตกันหรอก”
“ไม่มีสุราไม่มีกับแกล้ม ก็เอ่ยคำไม่ออกอยู่แล้ว”
“เจ้าสำนักไม่ได้ให้ข้าลงมือถึงชีวิต”
“ข้าก็ไม่ได้เตรียมตัวตายไปพร้อมกับเจ้า”
อีกฝ่ายยังอยากพูดบางอย่าง บัณฑิตจางยื่นฝ่ามือขวาผลักไปข้างหน้า
เขามองออกว่าบัณฑิตจางไม่ได้ออกแรงกับฝ่ามือนี้ เพียงห้ามไม่ให้ตนพูดต่อไปเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงหุบปาก หยิบไม้เท้ายาวที่คาดไว้บนหลังลงมา
แม้ห่อผ้าอยู่ แต่บัณฑิตจางก็จำได้จากเค้าโครงภายนอกตั้งแต่แวบแรก
เป็นไม้เท้าสำนักของสำนักปากสอบ
………………………..
เมืองจี๋อิง ในกองบัญชาการทัพกลาง
หลิวรุ่ยอิ่งขอเฮ่อโหย่วเจี้ยนติดตามกองทัพไปออกรบด้วยหลายครั้งหลายหน แต่ล้วนถูกเขาปฏิเสธด้วยเหตุผล ‘ความปลอดภัยของใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบสำคัญกว่า’
แม้เฮ่อโหย่วเจี้ยนคัดลอกรายงานการรบทั้งหมดให้หลิวรุ่ยอิ่งฉบับหนึ่งแล้ว แต่อย่างไรอยู่หลังกระดาษชั้นหนึ่งก็ไม่สู้ความจริงที่ได้เห็นกับตา
เขาเฝ้ามองเหล่าทหารที่มาสั่งการและเข้าออกค่ายด้วยความตระหนกทุกวันเช่นนี้ บางคืนยังเห็นแสงไฟกับเสียงร้องสังหารทอดมาจากขอบฟ้า
“เชิญท่านลองขึ้นหอหลิงเยียน[3] ปัญญาชนคนใดได้เป็นโหว[4]ศักดินาหมื่นครัวเรือน” ลองถามมีชายคนใดไม่เฝ้ารอการออกรบทำสงคราม สร้างคุณูปการตอนจิตใจกำลังฮึกเหิมบ้างเล่า
เหมือนกับทังจงซง หลิวรุ่ยอิ่งก็อยากไปรบเช่นกัน
แต่เขากลัวอีกว่าตนเองจะหนีทัพ ไม่ใช่เพราะกลัวตาย แต่เขาตายตอนนี้ไม่ได้จริงๆ
หลังเที่ยงวันนี้ จู่ๆ ทหารที่ปฏิบัติการลาดตระเวนอยู่นอกกองบัญชาการบอกเขาว่ามีคนอยากพบเขา
หลิวรุ่ยอิ่งแอบแปลกใจว่าเป็นใคร คนแรกที่เขานึกถึงกลับเป็นทังจงซง
“เจ้าหมอนี่ ยังอดใจร้อนมาสนามรบไม่ไหวงั้นหรือ…แต่ด้วยฐานะของเขาคงไม่ถูกห้ามอะไรหรอก”
ยังไม่ทันออกประตูกองบัญชาการ ฝีเท้าของหลิวรุ่ยอิ่งก็หยุดชะงัก
แม้ทังจงซงเอาแต่เล่นสนุกเอ้อระเหย แต่ยังห่างไกลจากขั้นวิปริต เขาไม่มีทางสวมกระโปรงยืนอยู่หน้าทางเข้ากองบัญชาการอย่างมั่นอกมั่นใจเป็นแน่
ในใจหลิวรุ่ยอิ่งมีเงาร่างคนหนึ่งแวบเข้ามา แต่เขาไม่กล้าเงยศีรษะมองหน้าของอีกฝ่ายเพื่อยืนยัน
เขาอยากหยุดร่างกายแล้วตั้งสติ แต่ฝีเท้ากลับก้าวขึ้นไปโดยไม่ฟังคำสั่ง ถึงขั้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ
เขาจ้องเท้าของอีกฝ่ายตลอด
รองเท้าสอยรังไหมคู่อันประณีตคู่หนึ่งซ่อนอยู่ใต้ชายกระโปรงเป็นส่วนใหญ่ มีแค่ปลายรองเท้าเผยออกมาเล็กน้อย
ลมพัดผ่าน
ชายกระโปรงไหวเป็นคลื่น
ส่วนหลังของรองเท้าปรากฏเป็นระยะ
เขาจำรองเท้าคู่นี้ได้ แล้วก็จำเท้าคู่นี้ได้ ย่อมรู้ว่าเจ้าของพวกมันคือใคร แต่เขากลับเอ่ยคำไม่ออก
หลิวรุ่ยอิ่งแยกไม่ออกว่านี่เป็นเพราะรักหรือรู้สึกผิด หรืออาจเป็นรักมากกว่าหรือรู้สึกผิดมากกว่ากัน
หากต้องบอกคำจำกัดความ หลิวรุ่ยอิ่งยอมพูดว่า ‘นี่คือเจ้านายของข้า’ เสียดีกว่า คิดแบบนี้อยู่ครู่หนึ่ง ในใจถึงค่อยๆ ผ่อนคลาย
เขาออกแรงยืดคอ เงยหน้าขึ้น
“เจ้า…”
เพิ่งเอ่ยคำเดียวก็หยุดกึก
“ได้ยินว่าสุดยอดมือกระบี่คนหนึ่งปรากฏตัวในอาณาเขตติ้งซีอ๋อง และส่งสารท้ารบผู้ใช้กระบี่ทั่วหล้า”
“เจ้าก็รวมตัวเองเป็นผู้ใช้กระบี่ด้วยหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดออกมาครบประโยคในที่สุด
“ไม่ได้ตรงไหน”
“ย่อมได้อยู่แล้ว…”
“แต่ด้วยกระบี่ของเจ้าอาจจะ…ยังห่างชั้นเกินไป”
“ตราบใดที่ข้ายังไม่วางกระบี่ ก็ย่อมมีวันตามทัน”
“…ถึงตอนเจ้าใช้กระบี่ฆ่าคนที่เจ้าอยากฆ่าได้ เจ้าก็เข้าใกล้อันดับหนึ่งในใต้หล้าแล้ว”
“อ้อ? เจ้ายังมั่นใจเช่นนี้อยู่อีก?”
“ไม่ ข้าไม่เคยมีความมั่นใจอะไรทั้งนั้น…แต่ข้ากลับเชื่อมั่นในตัวใต้เท้าผู้บังคับการกรม”
“ในเมื่อเก่งกาจขนาดนั้นทำไมไม่ตั้งตนเป็นอ๋อง ในเมื่อตำแหน่งนี้เป็นยากนักแล้วเจ้ารับรองได้อย่างไรว่าจะเป็นได้แน่”
“ข้าไม่อาจตอบคำถามแรกของเจ้าได้ แต่คำถามที่สองเจ้าเคยบอกว่าเจ้าเชื่อ”
“ทหารหมาป่ารุกรานพรมแดนมีบางอย่างแอบแฝง เจ้ารักษาตัวให้ดี”
เขาคิดว่าสิ่งที่ตนทำพลาดที่สุดไม่ใช่การรวบรวมหลักฐานเพื่อช่วยใส่ร้ายแม่ทัพหยวน
แต่เป็นการใช้ ‘ความรู้สึก’ ผิดไป
ความรู้สึกต่อกรมสอบสวนที่เลี้ยงดูเขา
ความรู้สึกต่อการโอบอุ้มของใต้เท้าทุกคนในกองสัคคะเนตร
รวมถึง
ความรู้สึกรักและชื่นชมที่เขามีต่อหยวนเจี๋ย
เขากลับมาในกระโจมของตนแล้วเห็นบนโต๊ะมีจดหมายลับกรมสอบสวนที่ส่งมาเพิ่มอีก ตรงปากซองทาด้วยรอยชาดสีแดงสด
“รอยชาดแดง วิญญาณเรียกเอาชีวิต เข้าคุกหลวงคนเป็นเหมือนคนตาย ขาขาดแขนขาดเต็มพื้น ยมบาลมาก็รับไม่ได้…”
บนทางหลวง
ชายวัยกลางคนหมวกไหมเสื้อขนเพียงพอนยังคงคารวะด้วยความนอบน้อม
เขาจะไม่ลุกขึ้นก่อนได้รับการตอบคำจากเริ่นหยาง แต่เหมือนว่าเริ่นหยางไม่ได้คิดจะตอบ ยังถือถ้วยชาดื่มอย่างมั่นคงเช่นเดิม
มือกระบี่อายุน้อยห้าหกคนนั้นตกใจจนขาทั้งคู่สั่น ไปก็ไม่ใช่จะอยู่ก็ใช่ที่
พวกเขาจำได้ว่าชายวัยกลางคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนผู้นี้คือสืออีเฟิงในเขตผิงหนานอ๋องผู้เลื่องชื่อด้วยกระบี่เร็ว
ฝึกตนถึงขอบเขตปรมบุคคลขั้นสูงสุด ยอมรับกันว่าเป็นมือกระบี่ผู้แข็งแกร่งที่สุดรองจากขอบเขตบรมภูมิ
“คนหนุ่มสาวสมัยนี้ไม่มีสัมมาคารวะเอาเสียเลย สวรรค์แก่ลง[5]แล้วแผ่นดินจะอยู่นานสักแค่ไหน…เจ้าหนู เจ้าโตไปอย่าได้เลียนแบบเชียว”
เริ่นหยางลูบหัวเด็กซนข้างกายเบาๆ เจ้าหนุ่มน้อยทำหน้ารำคาญใจ
“ข้าน้อยทราบแล้ว”
สืออีเฟิงตอบประโยคหนึ่ง
เวลานี้ท้องฟ้ายังไม่สาง
ร่วมด้วยลมพัดหิมะ
ตรงหน้าผู้คนทั้งหลายพลันมืดอย่างไร้สาเหตุ
ผู้เดินทางคนอื่นในเพิงขายชาต่างรู้สึกเปียกชุ่มและเหนียวเหนอะหลังจากหิมะนี้พัดมาละลายบนหน้า พอยื่นมือไปลูบ ฝ่ามือเป็นสีแดงฉาน
รู้สึกตัวอีกที ไม่มีร่องรอยเริ่นหยางกับเด็กน้อยแล้ว
สืออีเฟิงค่อยๆ หยัดกายขึ้น
“อ๊าก!”
มือกระบี่อายุน้อยที่พูดจาสามหาวเมื่อครู่เหล่านั้นร้องโหยหวนเป็นเสียงเดียวกันทันใด ปิดปากลงไปกลิ้งบนพื้น แต่ความเจ็บปวดยังคงทะลักดั่งกระแสน้ำ พุ่งขึ้นมาคลื่นแล้วคลื่นเล่า ตามด้วยชักกระตุกสองสามทีก็นอนแน่นิ่งไม่ขยับอีกเลย
ปากที่ปิดไว้กลายเป็นอุโมงค์เลือดอันน่าสยดสยอง
กลางถ้วยชาบนโต๊ะมีลิ้นห้าชิ้นเรียงอยู่เท่ากัน ปะปนกับเลือดสีม่วงดำกึ่งแข็งตัว มันยังปล่อยไอร้อนอยู่
“ท่านปู่ ท่านก็อยากประลองฝีมือกับมือกระบี่ลึกลับนั่นด้วยหรือ”
“ไม่ละ ให้พวกเขาไปสู้กันเถอะ เดี๋ยวอายุเท่าปู่พวกเขาก็รู้เองว่าสุดท้ายกระบี่เป็นของนอกกาย สุดท้ายชื่อของกระบี่เป็นชื่อเสียงจอมปลอม สิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นผู้ใช้กระบี่ เรามาติ้งซีเพื่อเยี่ยมสหายเก่าสองสามคนของปู่เท่านั้น ได้ยินว่าพวกเขาไม่ค่อยสุขสบายกันนัก”
“เช่นนั้นพวกเราไม่ไปรัฐติงหรือ”
“พวกเราไปวังติ้งซีอ๋อง”
………………………………………
[1] คนฝึกนกอินทรีมักถูกนกกระจอกจิกตา หมายถึง คิดว่าตัวเองเก่งมากความสามารถ ที่จริงแล้วไม่ใช่
[2] สุนัขอาศัยบารมีเจ้าของ หมายถึง อาศัยอำนาจรังแกคนอื่น หรืออวดเบ่งไปทั่ว
[3] หอหลิงเยียน หอเกียรติคุณที่สร้างให้ขุนนางผู้มีคุณูปการในสมัยราชวงศ์ถัง
[4] โหว ในที่นี้หมายถึงเลี่ยโหว บรรดาศักดิ์สูงสุดรองจากอ๋องในช่วงต้นราชวงศ์ฮั่นตะวันตก
[5] สวรรค์แก่ลง หมายถึง เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน