ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 21 ลิขิตสวรรค์ขัดต่อผู้ใด-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 21 ลิขิตสวรรค์ขัดต่อผู้ใด-1

กลางวันของราชสำนักทุ่งหญ้ามักยาวนานกว่าปกติ

พวกเขาเกลียดกลางวันมาก

เรื่องที่รอคอยมากที่สุดในหนึ่งวันก็คือช่วงเวลาที่จุดกองไฟบริเวณค่ายหลังดวงอาทิตย์ตกดิน

ว่าไปแล้วก็แปลก

พวกเขาเกลียดแสงมากแท้ๆ กลับชื่นชอบไฟเป็นพิเศษ

ถึงขั้นมีกฎชัดเจนว่าห้ามชาวเผ่าทุกคนเขี่ยไฟด้วยเครื่องใช้เหล็กแข็งกล้า ยังห้ามใช้น้ำ ดินทรายและอื่นๆ ดับไฟ

กองไฟหน้ากระโจมหลางอ๋องแห่งราชสำนักทุ่งหญ้า ตั้งแต่จุดขึ้นก็ไม่เคยดับมาก่อน อย่างน้อยคนที่มีชีวิตอยู่ในวันนี้ก็ไม่มีใครเคยเห็นมันดับ

เด็กที่เกิดในเขตอ๋องทั้งห้า เมื่อถึงวัยหนึ่งไม่ว่าเรียนตำราหรือฝึกยุทธ์มักต้องคำนับอาจารย์ แต่ชนรุ่นหลังของราชสำนักทุ่งหญ้าไม่ว่าทำงานอาชีพใดล้วนคารวะกองไฟนี้เหมือนกันหมด

แผ่นดินทุ่งหญ้าอยู่ตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นที่ที่หนาวเหน็บยิ่ง

ตอนแรกเริ่มพวกเขาไม่ต่างอะไรจากสัตว์ และภัยคุกคามใหญ่สุดที่พวกเขาเผชิญก็คือสหายผู้ซื่อสัตย์ที่สุดของพวกเขาในปัจจุบัน หมาป่าใต้หว่างขา

ในยุคหิมะปกคลุมทั่วปฐพีและต้องกินเนื้อสัตว์ดิบนั้น ทุกครั้งที่ราตรีมาเยือน ชนรุ่นแรกจำนวนมากถูกฝูงหมาป่ากินทั้งเป็น เหลือเพียงเศษกระดูกฟองโลหิตแดงฉานเป็นกองๆ

พวกเขาค่อยๆ เริ่มโกรธแค้นดวงอาทิตย์

โกรธแค้นว่าเหตุใดมันต้องจากไปเร็วเพียงนั้น เหตุใดถึงให้การคุ้มครองพวกเขามากอีกหน่อยไม่ได้…

ดังนั้น พวกเขาจึงคุ้นชินกับการกอดกันก่อนดวงอาทิตย์ตกดินทุกวัน และกล่าวคำพูดในใจอันจริงแท้ที่สุดของทั้งสองฝ่ายออกมา

มีเด็กหนุ่มและเด็กสาวมากมายใช้โอกาสนี้บอกความในใจ สัญญาว่าหากได้เห็นดวงอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้ด้วยกัน เช่นนั้นก็ผูกใจเป็นดวงเดียว อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า

หลังบอกลา ผู้คนทั้งหลายก็มองทิศตะวันตกด้วยสายตาโกรธขึ้ง

พวกเขาหันไปสาปแช่งทิศทางที่ดวงอาทิตย์อัสดงรวมถึงแสงสุดท้ายก่อนลาลับสุดจิตสุดใจ ใช้คำหยาบคายทั้งหมดที่พวกเขานึกได้ เด็กน้อยถึงขั้นปัสสาวะรดดวงอาทิตย์ตกดินด้วย

นั่นคือความเคียดแค้นที่ลอยผุดขึ้นจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ นั่นคือความเจ็บปวดที่ทรมานด้วยการจากลาอันไม่มีวันหวนคืนนับครั้งไม่ถ้วน

จากนั้นพวกเขาจะคุกเข่าคำนับหันไปทิศทางที่ดวงจันทร์ลอยขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ขณะเดียวกันก็ยกคำสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดมาสวดภาวนาให้แสงจันทร์คืนนี้ต้องสว่างไสวยิ่งกว่าเมื่อวาน

ในค่ำคืนมืดมิดทั้งหลาย แสงจันทร์อันเย็นเยียบนี้คือแสงพรางตัวสุดท้ายของพวกเขา

แสงจันทร์สาดบนหิมะแล้วสะท้อนบนฟ้า ทำให้ร่องรอยของฝูงหมาป่าถูกเปิดเผย

มีเพียงแสงจันทร์นี้ที่ทำให้พวกเขาได้เป็นฝ่ายบุกบ้างเล็กน้อยระหว่างตะลุมบอนกับฝูงหมาป่า

คืนนั้นไม่มีลม

ไม่มีหิมะ

และไม่มีดวงจันทร์

ไม่รู้เป็นโชคชะตาแบบใด ชาวเผ่าคนหนึ่งกลับมาช้าโดยลำพังโชคดีได้ประกายไฟมา

เขาประกบสองมือไว้แน่นหนา มีช่องเผยออกมาเพียงเล็กน้อย

มองผ่านช่องนั้น กลับเป็นแสงสีแดงจางๆ น้อยนิด

สองมือเขาสัมผัสถึงความอุ่นของ ‘แสง’ นี้ เขาถือประกาย ‘แสง’ ประหนึ่งอุ้มลูกที่เพิ่งคลอดของตน

ไม่ถึงครู่ มือเขารับรู้ถึงความร้อนอันแผดเผา

เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกเช่นนี้เรียกว่าร้อน

ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยถูกไฟลวกมาก่อน

เพียงรู้สึกแสงนี้ร้อนกว่าดวงอาทิตย์ที่ร้อนที่สุดในคิมหันต์

เขาถือ ‘แสง’ ร้อนแผดเผากลุ่มนี้เดินกลับไป

เขาอยากให้ชาวเผ่าของตนได้สัมผัส ‘แสง’ ที่ร้อนระอุยามกลางคืนอันเหลือเชื่อนี้

แต่เขาค่อยๆ รู้สึกว่า ‘ความร้อน’ ในฝ่ามือไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้นแล้ว

จากร้อนเข้ากระดูกทะลุหัวใจก่อนหน้านี้ กลายเป็นความรู้สึกของการยื่นมือเข้าไปในท้องเหยื่อที่เพิ่งเชือด

เขาผู้ไม่รู้สาเหตุแบมือที่กำแน่นอย่างระมัดระวัง เขารู้สึกประกาย ‘แสง’ นี้มีชีวิต มันจะเปล่งแสงและดับลงตามจังหวะหายใจของตัวมันเอง

เขายื่นหูเข้าไปใกล้ อยากฟังดูว่ามันยัง ‘มีชีวิต’ ใช่หรือไม่

คิดไม่ถึง ประกายไฟกลับจุดติดผมยุ่งๆ ตรงจอนของเขา…ไม่นาน ไฟก้อนใหญ่ก็กลืนกินร่างเขาไปซีกหนึ่ง

เขารู้สึกถึง ‘ความอบอุ่น’ ที่ไม่เคยมีมาก่อน ในใจเปี่ยมด้วยความเบิกบานและตื่นเต้น กลับไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย

เขาก้าวฝีเท้าออกวิ่งไปยังที่พักของชาวเผ่าอย่างรวดเร็ว

ลมเสริมกำลังไฟ ไฟยืมพลังลม

คนทั้งคนค่อยๆ ถูกไฟลุกโหมกลืนหายจนหมด…

แต่เขายังคงกลับถึงข้างกายเหล่าชาวเผ่าในที่สุด

แสงไฟทั่วกายโหมขึ้นฟ้าขับไล่ฝูงหมาป่าที่กำลังล้อมจู่โจมพวกชาวเผ่า

เขาล้มลงทั้งรอยยิ้ม

แม้ไม่มีใครมองเห็น ในใจเขาก็รู้ว่าตนกำลังยิ้ม

ตั้งแต่นั้นมา ชาวทุ่งหญ้าก็มีไฟแล้ว!

พวกเขาไม่กลัวคืนมืดอีกต่อไป และไม่กลัวฝูงหมาป่าอีกแล้ว

ตรงกันข้าม ด้วยการโจมตีตอบโต้นับครั้งไม่ถ้วน ฝูงหมาป่าก้มหัวอันกระหายเลือดให้พวกเขาในที่สุด

และคนที่พาให้พวกชาวเผ่าได้รับชัยชนะในสงครามระหว่างคนและหมาป่าครั้งนี้ ก็คือหลางอ๋องยุคแรกของราชสำนักทุ่งหญ้า

เขาไม่ได้ลืมบรรพบุรุษผู้นั้นของตน

บรรพบุรุษผู้ใช้ร่างกายเป็นภาชนะนำเชื้อเพลิงกลับมาผู้นั้น

แม้เขาไม่รู้ว่านั่นคือไฟจนตาย…แต่ความรักที่เขามีต่อชาวเผ่า ความผูกพันที่มีต่อแผ่นดินเกิดได้สร้างชนชาติไร้พ่ายกระจายทั่วทุ่งหญ้าและสร้างอารยธรรมที่สามารถทัดเทียมกับเขตติ้งซีอ๋องได้สำเร็จ

หลางอ๋องยุคแรกตั้งแท่นสูงใหญ่อันหนึ่งในพิธีรับตำแหน่งของตน ด้านบนบูชากระถางไฟอันหนึ่ง

เล่ากันว่าสิ่งที่ใส่ในกระถางไฟก็คือเถ้ากระดูกของบรรพบุรุษผู้นั้น

ต่อมาหลางอ๋องยุคแรกก็แบ่งทุ่งหญ้าเป็นส่วนๆ

ตอนนั้นทุกหน่วยในปัจจุบันล้วนรับเถ้ากระดูกในกระถางไฟมากำมือหนึ่ง และสาดมันลงในกองไฟกลางหน่วยของตน

ภาวนาให้วิญญาณบรรพบุรุษส่องแสงทุ่งหญ้าไปพร้อมกับแสงไฟ คุ้มครองลูกหลานรุ่นหลังของเขาตลอดกาล

………………………..

ในที่ตั้งค่ายแนวหน้า หน่วยกลืนจันทรา

เหยียนจื่อเดินเข้ากระโจม พยักหน้าให้หัวหน้าหน่วยสามซือเฟิงถือเป็นการทักทาย

ซือเฟิงก็ไม่ได้สนใจพฤติกรรมไร้มารยาทเช่นนี้ของเหยียนจื่อ ชาวทุ่งหญ้าไม่ใช่ชนชาติที่ใส่ใจพิธีการอะไรอยู่แล้ว

“คนที่เจ้าต้องการอยู่ครบแล้ว ทั้งหมดแปดร้อยเก้าสิบเอ็ดคน”

ชายกำยำกลุ่มหนึ่งถูกมัดมือไว้ข้างหลังและปิดตา คุกเข่าตัวเปลือยเรียงเป็นวง ตรงกลางมีกองไฟทรงกรวยวางอยู่กองหนึ่ง ยังไม่ได้จุดไฟ

เหยียนจื่อยังคงไม่เอ่ยคำ นัยน์ตาทั้งคู่มองซือเฟิงเรียบนิ่ง

“เฮอะ!”

แม้เป็นคนป่าเถื่อนอย่างซือเฟิงสุดท้ายก็ทนท่าทีเฉยชาเช่นนี้ไม่ไหว เขาหมุนกายเดินแยกออกมา

“หัวหน้าหน่วยสาม นี่มันใช้ได้หรือ หนำซ้ำเขาไม่ใช่ชาวทุ่งหญ้าของเรา…เขตอ๋องทั้งห้ามีประโยคหนึ่งพูดกันกว้างขวางนัก ไม่ใช่คนชาติเดียวกับข้า ความคิดของเขาย่อมแตกต่าง…”

“ข้าก็ไม่แน่ใจ…แต่ในเมื่อแม่ทัพอั๋งหรานสั่งด้วยตัวเอง คงไม่น่าพลาด”

ผู้เฒ่าหลังค่อมคนหนึ่งเอ่ยกับซือเฟิง

ทุกหน่วยในทุ่งหญ้าล้วนมีผู้ทรงปัญญากลุ่มหนึ่ง รับหน้าที่โดยคนเฒ่าผู้มีประสบการณ์มากที่สุดในหน่วย

พวกเขาไม่เชื่อหลักวิชาการใดๆ ที่ถ่ายทอดกัน เพียงส่งต่อประสบการณ์ที่ธรรมชาติมอบให้พวกเขาอย่างเงียบเชียบ

เหยียนจื่อเห็นซือเฟิงเดินไปไกลแล้ว ถึงได้ถอดเสื้อตัวบนของตนออกอย่างเชื่องช้า

เผยให้เห็นร่างผิวสีน้ำตาลคล้ำกับกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง หน้าอกและหลังมีรอยแผลเป็นอันโหดร้ายกระจายอยู่ทั่ว…ต่อให้เป็นนักรบผู้กล้าหาญที่สุดในทุ่งหญ้า รอยแผลเป็นบนตัวก็ไม่ถึงหนึ่งในสามของเขา

ในแผลเป็นเหล่านี้เห็นตรานาบและรอยแส้มากมายได้รางๆ แต่ยังมีรอยแผลเป็นอีกนับไม่ถ้วนที่ยากแยกแยะกำลังไต่บนกายเขาเหมือนไส้เดือน

เขาล้วงขวดเครื่องเคลือบอันหนึ่งออกจากกระเป๋าเสื้อ เปิดแล้วสูดเข้าลึกๆ ที่ใต้จมูก บนหน้ามีความเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย

เขาไม่ได้อาวรณ์มากนัก วางขวดเครื่องเคลือบไว้ใต้กองไฟทรงกรวยแล้วก็จุดกองไฟ

เหยียนจื่อถือมีดคมเลาะกระดูกเล่มหนึ่ง เฉือนเนื้อบนกายทุกคนที่คุกเข่าอยู่ที่นั่นชิ้นหนึ่งโยนเข้ากลางกองไฟ

ชั่วครู่

แสงไฟลุกโหมขึ้น

เลือดไหลท่วมทุกหนแห่ง

เสียงร้องโหยหวนดังเข้าหูไม่ขาดสาย

เหยียนจื่อยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น หลับตาอ้าแขน คล้ายกำลังเพลิดเพลินกับความทารุณ…

เนื้อมนุษย์ที่โยนเข้ากองไฟส่งเสียงปะทุ นั่นเกิดจากไขมันถูกไฟเผา

‘เปรี๊ยะ!’

น้ำมันที่ถูกเผาผสมขี้เถ้าหญ้าหยดหนึ่งหยดลงในขวดเครื่องเคลือบด้านใต้ในที่สุด

‘ติ๋ง…ติ๋ง…ติ๋ง…’

ผู้คนที่ถูกเฉือนเนื้อค่อยๆ เงียบลง

บรรยากาศแห่งความตายและความสิ้นหวังกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นจากพื้นอย่างเชื่องช้า…

ขวดเติมเต็มแล้ว

แม้ซือเฟิงกับผู้ทรงปัญญาหลังค่อมของหน่วยกลืนจันทราที่อยู่ไกลจะไม่เห็นภาพเหล่านี้ แต่เสียงกรีดร้องโหยหวนนั่นกลับทำให้ซือเฟิงไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย

เหยียนจื่อหยิบขวดเครื่องเคลือบขึ้นอย่างตื่นเต้น ดึงขลุ่ยกระดูกเลาหนึ่งออกมาและเป่าใส่มันแผ่วเบา

ทำนองเพลงนี้เศร้าจับใจ แปรผันไร้กฎเกณฑ์ ราวกับผีร่ำไห้ เป็นความรู้สึกประหลาดไม่อาจคาดเดาอย่างที่สุด ยิ่งเหมือนวิญญาณมากมายกำลังถอดทอนใจในค่ำคืนอันเงียบสงบ

………………………..

ในที่ว่าการรัฐติง

ฮั่ววั่งนั่งสมาธิอยู่บนเตียง มือทั้งสองทำท่ามุทราลึกลับ คล้ายกำลังฝึกตน

แต่ความจริงแล้ว เขากลับใช้จิตเดินท่องอยู่ตามถนนใหญ่ซอยเล็กในหัวเมืองรัฐติงไม่หยุดหย่อน

พ่อค้าเร่ขายชาดอกไม้ริมทาง มารดาตีลูกในละแวกบ้าน สตรีด่าสาปแช่งสามีผีพนัน เกี้ยวคันหนึ่งผ่านถนนอันเซ็งแซ่ช้าๆ ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศชื้นลอยขึ้น บรรดาพ่อค้าสร้างกันสาดกันน้ำเพิ่มตรงหน้าร้าน

ต่างคนยุ่งกับงาน ผู้คนเดินขวักไขว่ ดูสุขสงบกันดี

ฮั่ววั่งพยายามรวบรวมเรื่องเหล่านี้ไว้ในใจไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็ตาม

ทันใดนั้น จิตของเขาหยุดชะงักบนกายสตรีกลุ่มหนึ่ง

เป็นสตรีรูปร่างงามล้ำแต่งกายเหมือนกันที่ปรากฏตัวนอกโรงเรืองขวัญกลุ่มนั้น

จิตของฮั่ววั่งวนรอบกายพวกนางหลายหน จากนั้นก็จะลอดเข้าด้านในโรงเรืองขวัญ

‘เหง่ง!’

ฮั่ววั่งเพียงรู้สึกเหมือนหอระฆังดังลากยาวในสมองตน

จิตของตนกลับถูกขวางไว้ด้านนอกโรงเรืองขวัญเต็มแรง เขาเดือดเป็นฟืนไฟทันที!

ทำไมครั้งนี้ไม่ราบรื่นเอาเสียเลย

นึกถึงเขาฮั่ววั่งผู้ประสบความสำเร็จตั้งแต่วัยหนุ่ม แม้เกิดมาต่ำต้อย เริ่มต้นจากพงหญ้า แต่นับจากชักกระบี่เป็นต้นมาก็ไม่ปราชัยอีกเลย

นึกถึงตอนนั้น ถือทวนทองขี่อาชาเหล็ก กำลังพลหมื่นลี้ดุจพยัคฆ์มังกร เขาชูกระบี่ยกธง ไฟสงครามลุกท่วมถนนเมืองหลวง ประจัญบานค่อนชีวิตในที่สุดก็ร่วมแบ่งใต้หล้ากับอีกสี่คน

แต่เวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งเดือนนี้กลับเกิดเหตุร้ายบ่อยครั้ง ทำให้จิตใจที่แกร่งดั่งหินเหล็กของฮั่ววั่งสั่นคลอนอยู่บ้างเช่นกัน

ฮั่ววั่งลืมตาปรับลมหายใจ ออกจากภาวะสูงสุดอย่างรวดเร็วและทำจิตใจให้มั่นคง

“ข้าต้องการข้ามสะพานเซียน บรรลุเป็นผู้เข้าถึงตำแหน่งเซียนสูงสุด จิตรู้แจ้งนี้ห้ามเกิดความผันผวนใดๆ เป็นอันขาด!”

คนที่ตั้งตนเป็นเจ้าผู้ครองรัฐได้ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้

พวกเขาไม่เคยยอมรับผิด แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่ทำความผิดเลย

สาเหตุที่อยู่เหนือผู้อื่นได้ก็อยู่ที่การรู้ผิดแก้ผิด

รู้ผิด แก้ผิด แต่ไม่รับผิดเด็ดขาด

หากบอกว่าสองอย่างแรกคือวิถีกษัตริย์ เช่นนั้นอย่างหลังก็เป็นหนทางแห่งปราชญ์

สี่คำนี้พูดแล้วง่าย แต่ใต้หล้าอันไพศาลนี้กลับทำได้ไม่กี่คน

ฮั่ววั่งทำจิตใจให้สงบ รวมจิตอยู่ที่จุดเดียว พุ่งพรวดเข้าโรงเรืองขวัญอีกครั้ง

ใครจะคิดว่าครั้งนี้กลับไม่มีอุปสรรคใดๆ

ตอนกำลังครุ่นคิดสงสัย เขาเห็นหลิวรุ่ยอิ่งหมดสติอยู่บนพื้น

………………………..

ในโรงเรืองขวัญ

นักเล่าเรื่องเหลือบตาชำเลืองไปที่กลางอากาศแวบหนึ่ง

จากนั้นก็ไม่สนเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในโถงแม้แต่น้อย เอามือไพล่หลังแยกตัวไปพักผ่อนหลังเวที

………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน