ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 38 ชาติหน้าฉันใดฟังเสียงระฆังใบเดียวกัน-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 38 ชาติหน้าฉันใดฟังเสียงระฆังใบเดียวกัน-1

ระหว่างเส้นทางสู่ค่ายทหารแนวหน้าเมืองจี๋อิง

หลิวรุ่ยอิ่งและฮั่ววั่งขี่ม้าตีคู่นำหน้าไปอยู่แถวหน้าสุด

ฮั่ววั่งไม่ได้เร่งความเร็วม้าใต้สะโพกมากนัก

อย่างน้อยก็ช้ากว่าตอนที่เขามาถึงที่ว่าการรัฐติงเพียงลำพังมากทีเดียว

เดินทางยังไม่ถึงห้าสิบลี้ ทันใดนั้นหิมะก็เริ่มตกหนักจากท้องฟ้า

หิมะปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่ ไม่น่าอภิรมย์นัก

“นายกองหลิวเกิดที่เมืองหลวง เดาว่าไม่เคยพบเห็นทิวทัศน์เช่นนี้มาก่อนกระมัง”

หลิวรุ่ยอิ่งมองท้องฟ้า เอื้อมมือไปรองเกล็ดหิมะร่วงหล่นพลันส่ายศีรษะ

หากกล่าวถึงหิมะ เขาเคยเห็นมันมาไม่น้อย

เมืองหลวงไม่ได้อยู่ทางใต้

แม้ว่าอาณาจักรติ้งซีอ๋องจะไม่มีหิมะแผ่คลุมไปทั่วเช่นอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง

แต่ในทุกเหมันต์ฤดู หิมะขาวโพลนก็เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป ไม่ได้หายากเท่าอาณาจักรหนานอ๋องและอาณาจักรอันตงอ๋องแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้วันวสันตวิษุวัต[1]ก็ใกล้เข้ามาแล้ว

ช่วงสองวันก่อนมีฝนตก จึงมีต้นอ่อนไม่น้อยงอกขึ้นจากพื้นดินบ้างแล้ว

หลิวรุ่ยอิ่งคิดไม่ถึงว่าสภาพอากาศที่นี่จะเปลี่ยนแปลงฉับพลันเช่นนี้

ต้นอ่อนเหล่านั้นซุกซ่อนอยู่ในความกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา

“บังอาจทูลถามท่านอ๋อง อาณาจักรติ้งซีอ๋องเป็นเช่นนี้บ่อยครั้งหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวถาม

“ก็ไม่…ปรากฏการณ์นี้เราเรียกมันว่าปลายวสันต์เหมันต์หวน เป็นสิ่งที่พบบ่อยมากในรัฐติง รัฐเหิงและรัฐเหมิง แต่ในรัฐฉีและรัฐเยวี่ยไม่ได้มีบ่อยนัก ทว่ารัฐฉีและรัฐเยวี่ยแต่เดิมก็อบอุ่นกว่าอีกสามรัฐไม่น้อยทีเดียว หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด อีกไม่นานก็จะเริ่มหว่านเมล็ดช่วงวสันต์ฤดูแล้ว”

ฮั่ววั่งกล่าวอธิบาย

“ถ่ายทอดพระราชโองการข้า รัฐติง รัฐเหิงและรัฐเหมิงทั้งสามรัฐต้องตระเตรียมการหว่านเมล็ดช่วงวสันต์ฤดู ต้นกล้าที่เก็บรักษาไว้ต้องใส่ใจระบายอากาศให้แห้ง อย่าปล่อยให้เน่าเสียเพราะความชื้น นอกจากนี้ให้ที่ว่าการรัฐแต่ละพื้นที่เร่งคำนวณความเสียหายจากปลายวสันต์เหมันต์หวนในครั้งนี้แก่ชาวนาโดยเร็วที่สุด สำหรับผู้ที่ได้รับความเสียหายร้ายแรง ที่ว่าการรัฐต้องมอบเงินบำรุงขวัญและให้ความช่วยเหลือ แต่จำไว้ว่าต้องตรวจสอบสถานการณ์และอย่าปล่อยให้คนชั่วเอาเปรียบ!”

ฮั่ววั่งเรียกทหารชั้นประทวนนายหนึ่งแล้วสั่งการ

เขาไม่โปรดปรานอากาศช่วงปลายวสันต์เหมันต์หวน

เพราะการปรากฏของมันมักจะบ่งบอกเสมอว่าปีนี้จะเก็บเกี่ยวได้ไม่ดี

เขาไม่โปรดปรานหิมะตกหนักเช่นกัน

เพราะหิมะโปรยปรายเสมือนไม่มีสิ่งใด ก็สามารถสังหารคนได้อย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน

ในฐานะอ๋องแห่งอาณาจักร เขาจำต้องเตรียมการล่วงหน้า คำนึงถึงทุกด้านของเหล่าประชาชนภายใต้การปกครอง

แต่กำลังคนมีจำกัด ลิขิตสวรรค์ยังเหนือขอบเขต…แม้แต่จักรพรรดิก็ยังเรียกตนเองว่าบุตรแห่งสวรรค์เท่านั้น

หลิวรุ่ยอิ่งมองท่าทางที่ฮั่ววั่งชี้แนะสั่งการเรื่องระดับชาติเมื่อครู่ เตรียมการอย่างละเอียดรอบคอบสำหรับการเปลี่ยนแปลงฉับพลันได้อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกว่าฮั่ววั่งไม่ได้สุดจะทนเท่าที่ตนรู้สึกถึงเพียงนั้น เมื่อครู่เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นท่านอ๋องที่ดีห่วงใยประชาชน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความรู้สึกของตนช่างไร้เดียงสาเกินไป

เลวต่อตนเองย่อมไม่ดี ดีต่อตนเองย่อมไม่เลว

ในใต้หล้าไหนเลยจะมีเรื่องง่ายดายเพียงนั้น

ดำหรือขาวมีเพียงในนิทานเท่านั้น คว่ำหงายถูกผิดล้วนสัมพันธ์กัน

หลิวรุ่ยอิ่งจำได้ว่าครั้นยังเล็กมีนิทานเรื่องหนึ่งในหนังสือที่อาจารย์เล่ามีชื่อว่าเจาะกำแพงขโมยแสงสว่าง

ตอนนั้นยังวัยไม่รู้ประสา เขาไม่อาจเข้าใจสิ่งนี้

หรือว่าการทำลายบ้านเรือนผู้อื่นไม่ใช่เรื่องชั่วช้าหรือ

ยิ่งกว่านั้นเหตุใดจึงกล่าวว่าทุกสิ่งล้วนต่ำต้อย มีเพียงร่ำเรียนหนังสือจึงสูงส่งเล่า

ในเมื่อการร่ำเรียนศักดิ์สิทธิ์ถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเหตุใดจึงใช้คำว่า ‘ขโมย’ แทน ‘ยืม’ แสงเพื่อใช้อ่านหนังสือเล่า

เขานำความสงสัยทั้งหมดเล่าให้อาจารย์ฟังหลังเลิกเรียน

เป็นดังที่คาดไว้

เขาทำให้อาจารย์โมโหฟึดฟัดถลึงตาจนแทบจะตกตั่งโต๊ะ

“ตรรกะผิดเพี้ยน! ตรรกะประหลาด! ผู้ใดอนุญาตให้เจ้ากล่าวเรื่องไร้สาระเช่นนี้ ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าใส่ความว่าร้ายนักปราชญ์ผู้วายชนม์”

หลิวรุ่ยอิ่งถูกเฆี่ยนตีอย่างหนัก แต่ความสงสัยในใจกลับไม่คลี่คลายแม้แต่น้อย

แม้ว่าความสงสัยในใจไม่คลี่คลาย แต่กลับรู้แจ้งกฎเกณฑ์มากขึ้นอีกชั้นหนึ่งในทันที

หากซักถามข้อสงสัยก็จะถูกเฆี่ยนตี

มีเพียงอาจารย์กล่าวสิ่งใด เจ้าก็จำสิ่งนั้น อาจารย์ให้ทำสิ่งใด เจ้าก็ทำสิ่งนั้น ซื่อสัตย์ซื่อตรงละเอียดถี่ถ้วนเพียงนี้ เฉกเช่นลาหมุนเครื่องโม่ วัวไถนา ย่อมได้รับแต่ผลดีเท่านั้น

ครั้นเทียบกับตอนนี้

ฮั่ววั่งไม่ใช่คนดีสำหรับเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ใช่ท่านอ๋องที่ดีในอาณาจักรติ้งซีและไม่ใช่แม่ทัพที่ดีในทัพอีกาดำ

เพียงแค่หลิวรุ่ยอิ่งเดินทางระหว่างเส้นทางจากเมืองหลวงตลอดจนเข้าสู่อาณาจักรติ้งซีล้วนเห็นเหล่าประชาชนไม่น้อยพร้อมใจซ่อมแซมศาลเจ้าให้เขาด้วยตนเอง

ห้าครัวเรือนเจ็ดครอบครัวออกค่าภาษีที่นาสองสามมื้อ ทั้งใช้ไม้จันทน์หอมแกะสลักรูปปั้นให้ฮั่ววั่ง ในช่วงปีใหม่และเทศกาลต่างๆ ได้ถวายสักการะและจุดธูป กล่าวได้ว่าทุกคนเคารพศรัทธา

ครั้นกล่าวถึง ความปรารถนาของเหล่าประชาชนเดิมก็ไม่สูง

ตราบใดที่มีข้าวให้หุง เต้าหู้ผักเขียวสามารถคลุกเคล้าควบคู่ให้พออิ่มก็พึงพอใจมากยิ่งนัก

หลายปีมานี้ฮั่ววั่งคอยเฝ้าระวังด่านชายแดน กวาดล้างควันไฟฉุกเฉิน แม้จะหมกมุ่นวิถียุทธ์ แต่ก็ไม่หน่วงเหนี่ยวจนเสียงานราชการและประชาชนอันเป็นที่รัก

ฉะนั้นในช่วงหลายปีมานี้ ไม่ต้องกล่าวถึงการเก็บเกี่ยวสารทฤดูผลผลิตอุดมสมบูรณ์ แต่ตราบใดที่ท่านขยันหมั่นเพียรและไม่ใช้ความคิดเล่นกลเม็ดปัดป่ายความรับผิดชอบ การทำเรื่องที่ผิดกฎหมาย เช่นนั้นอย่างน้อยไร้ความกังวลเรื่องของกินของใช้ก็ยังเพียงพอรับประกันได้

อันที่จริง นี่ก็เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากแล้ว

แม้ว่าฮั่ววั่งจะสร้างความลำบากใจให้หลิวรุ่ยอิ่งในทุกด้าน แต่ยามนี้ในสายตาที่หลิวรุ่ยอิ่งมองฮั่ววั่งมีความชื่นชมอยู่มากทีเดียว

นับตั้งแต่ฮั่ววั่งสั่งการเมื่อครู่เรียบร้อย ก็จมอยู่ในภวังค์ความคิด

เดิมทีเส้นประสาทที่ตึงเครียดของหลิวรุ่ยอิ่งก็ผ่อนคลายลงเพราะเหตุนี้ ทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย…เพียงแค่เพลิดเพลินไปกับหิมะ

“ว่ากันว่าหิมะโปรยปรายทางทิศประจิมในเดือนแปด หากคำนวณเช่นนี้ละก็ หมายความว่าหิมะตกไปถึงครึ่งปีเชียวหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งคิด

การเปลี่ยนแปลงของโลกช่างอัศจรรย์เสียจริง

ในอาณาจักรห้าอ๋องมีสถานที่ครึ่งหนึ่งไม่เจอหิมะตลอดทั้งปีมีเพียงฝนตกเท่านั้น สถานที่อีกครึ่งหนึ่งในรอบหกสิบปีปกคลุมไปด้วยหิมะน้ำแข็งเป็นเวลาสามสิบปี

ครั้นมองทัพอีกาดำด้านหลัง ชุดเกราะล้วนเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะชั้นบางๆ ปกคลุม ก้อนใหญ่เรื่อยๆ จนปิดทับสีดำสนิท

ดำและขาวสะท้อนซึ่งกันและกัน

ธงแห่งชัยชนะชูสะบัดขึ้นสูง พื้นหลังสีแดงสดท่ามกลางหิมะยิ่งดูทรงพลัง

ฟ้าดินคุมเคลือไม่อาจแยกแยะเขตแดนได้

ไร้เสียงคนและเสียงนกใดๆ มีเพียงเสียงย่ำระหว่างหิมะกับกีบม้าและเสียงชุดเกราะเสียดสีดังกุกกัก

หลิวรุ่ยอิ่งนึกถึงเตาสุราดินแดงของฮั่ววั่งในกระโจมก่อนหน้านี้

หากตอนนี้ให้ตนเองเลือกระหว่างดื่มชาหรือดื่มสุราละก็ เช่นนั้นต้องเป็นสุราแน่นอน

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หิมะจึงเข้ากันได้ดีกับสุราเสมอ

หิมะปลิวตามสายลม ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในเรือนกว้างขวางหรือพักพิงในวิหารซากปรักหักพัง ตราบใดที่มีสุรา มีไฟ ใช้เวลาทั้งคืนอย่างมีความสุข

“หากได้ดื่มสุราสักจอกจะดียิ่ง…”

“ฮ่าๆๆ ไม่เคยคิดเลยว่านายกองหลิวจะไม่ธรรมดาเช่นนี้! ใครก็ได้! ยกสุรามา!”

หลิวรุ่ยอิ่งไม่คาดคิดว่าตนเองจะใจลอยจนโพล่งความคิดในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นจึงรู้สึกเก้อกระดากยิ่งนัก…แต่ฮั่ววั่งไม่ถือสาเอาความ ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งตัดสินใจครั้งสำคัญ สถานการณ์รอบตัวล้วนผ่อนคลายเป็นกันเองขึ้นมา

นายทหารทัพอีกาดำคนหนึ่งเร่งรีบก้าวไปข้างหน้า ยกถาดที่มีหมวกเกราะหางหมาป่าสองใบวางอยู่บนนั้น

“นี่คือ…”

หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจนัก

เห็นได้ชัดว่าต้องดื่มสุรา เหตุใดจึงนำหมวกเกราะสองใบมาเล่า

ฮั่ววั่งมองท่าทางหมดปัญญาสู้ของหลิวรุ่ยอิ่ง จึงไม่อธิบายในทันที

ต่างคนต่างหยิบหมวกรบขึ้นมาดึงหางหมาป่า ดื่มจิบเล็กน้อยคล้ายกับทัพอีกาดำตอนไปออกรบ

หลิวรุ่ยอิ่งเลียนแบบทำตาม หยิบหมวกรบขึ้นมาดึงหางหมาป่าออกเช่นกัน

กลิ่นคาวเลือดผสมแอลกอฮอล์คลุ้งเตะจมูกพุ่งตรงไปไปถึงหน้าผากของหลิวรุ่ยอิ่ง

เพียงดมกลิ่น เขาก็รู้สึกว่าตนเองเมาไปแล้วสามส่วน

แต่เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งเห็นฮั่ววั่งถือหมวกเกราะอยู่ข้างกาย บางครั้งดูเหมือนตั้งใจบางครั้งดูเหมือนไม่ตั้งใจเหลือบมองตนเองหลายครั้ง ทันใดนั้นพลังแกร่งกล้าผุดขึ้นในใจอีกครั้ง

“สองไหล่แบกปาก เจ้าดื่มได้ข้าก็ดื่มได้เช่นกัน!”

หลิวรุ่ยอิ่งปิดเปลือกตา กลั้นหายใจ เพียงแค่กลืนมันลงท้อง

ยังดีที่สุราในหมวกเกราะเดิมทีก็ไม่มีมาก ไม่เช่นนั้นหลิวรุ่ยอิ่งคงเมามายจนตกจากหลังม้าเป็นแน่…

“สุราเลือดหมาป่านี่ใช้โลหิตนักรบหมาป่าแห่งราชสำนักทุ่งหญ้าเพิ่มเข้าไปในการหมักดอง ฉะนั้นกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นครั้นเข้าปากก็ยิ่งเพิ่มความเหนียวหนืดยิ่งกว่าสุรารสแรงธรรมดาเสียอีก แต่ไหนแต่ไรทัพอีกาดำไม่เคยแบ่งปันสุราเลือดหมาป่าให้ผู้อื่นลิ้มรส มีเพียงนักรบผู้กล้าหาญที่เอาชนะทหารหมาป่าทุ่งหญ้าเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติดื่มมัน”

ฮั่ววั่งมองหลิวรุ่ยอิ่งดื่มจนเสร็จแล้วจึงเอ่ยกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งมองหมวกเกราะในมือตนเองด้วยความประหลาดใจยิ่ง พลันรู้สึกว่าเมื่อครู่ตนเองได้กระทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมไปแล้วจริงๆ

หิมะเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ

“พวกเราต้องเร่งความเร็วแล้ว จากรูปการณ์ อีกไม่นานหิมะชั้นล่างจะกลายเป็นน้ำแข็ง ทางลัดสายนี้จะเดินทางยากยิ่งกว่าถนนสายหลักร้อยเท่า”

ฮั่ววั่งกล่าวจบ ควบม้าทะยานออกไป

“วันก่อนฝนตก อุณหภูมิพื้นดินสูงขึ้น ฉะนั้นหิมะที่ตกเมื่อครู่ล้วนกลายเป็นน้ำ ทว่าหิมะเก่ายังละลายไม่หมดหิมะใหม่ก็ตกลงมาอีก หิมะชั้นล่างจะกลายเป็นน้ำแข็งช้าๆ พอตกกลางคืนมันก็จะแข็งตัว”

หัวหน้าอาคารฉินอยู่ที่นี่มาหลายปี จึงคุ้นเคยกับภูมิศาสตร์และฟ้าฝนของรัฐติงอย่างดี

โชคดีที่ เมื่อทุกคนมาถึงเมืองจี๋อิ๋งฟ้าก็เริ่มมืดค่ำลงแล้ว

………………………..

ภายในค่ายแนวหน้า เมืองจี๋อิ๋ง

เฮ่อโหย่วเจี้ยนกำลังรับประทานอาหารในกระโจมค่ายทัพกลาง

อาหารคาวสองอย่าง ผักผลไม้หนึ่งอย่าง

อาหารการกินก็ธรรมดา

อากาศหนาวเย็น ฆ่าเวลาช่วงทำสงคราม ทำได้เพียงอาศัยสิ่งนี้เสริมบำรุง

ฮั่ววั่งนำทัพอีกาดำ ราวกับว่าเข้าสู่ดินแดนไร้ผู้คนอาศัยอยู่ ฝูงชนบุกเข้าไปในค่ายทันที

เฮ่อโหย่วเจี้ยนได้ยินเสียงตื่นตระหนกและเสียงตะโกนของทัพทหารนอกกระโจม นึกว่าทหารหมาป่าจะฉวยโอกาสปล้นค่ายในคืนหิมะตกจึงรีบร้อนถือดาบพุ่งออกไป

ครั้นมองใกล้ๆ ก็พบว่าอีกฝ่ายไม่ได้เริ่มสังหาร อีกทั้งที่นั่งอยู่ก็เป็นม้าศึกอีกด้วย จึงอดรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยไม่ได้

“คำนวณวันดูแล้ว ผู้ควบคุมรัฐทังน่าจะได้รับจดหมายแล้ว…ท่านควรจะรีบส่งของมาให้เร็วที่สุด…ไม่เช่นนั้นทหารหมาป่าอาจจะทรยศเข้าสักวัน…”

เฮ่อโหย่วเจี้ยนร้อนใจยิ่งนัก

ตั้งแต่แรกเริ่ม เขาไม่ได้สนับสนุนข้อตกลงดังกล่าวกับราชสำนักทุ่งหญ้า

อย่างไรเสียผู้ที่หาหนังจากเสือ[2] จะมีสักกี่คนที่ถอนตัวออกมาได้

ในช่วงยุคแรกๆ มีคนประหลาดคนหนึ่งในอาณาจักรหนานอ๋อง

เขาจู้จี้จุกจิกเรื่องอาหารการกิน ทั้งยังโปรดปรานขนที่กรามของสัตว์ประหลาด

ปลาพิทักษ์ทะเลบูรพารสชาติอร่อยอย่างยิ่ง เขาถือหม้อวิ่งลงไปที่ชายหาดขอให้ปลาพิทักษ์ช่วย กระโดดลงไปในหม้อเพื่อให้ตนเองได้ลองลิ้มรสสักหนึ่งมื้อ

ขนคางเผ่าจิ้งจอกเขาเรียงรันนุ่มลื่นและงดงามเป็นที่สุด เขาจึงไปที่เชิงเขาเรียงรันตะโกนให้เผ่าจิ้งจอกและอสูรประหลาดประพฤติตัวให้ดี ดึงขนออกจากคางตัวเองแล้วมอบให้เขา

ผลที่ได้คือในชีวิตชาตินี้ของเขา ใช้สามสิบปีแรกขอปลา อีกสามสิบปีต่อมาขอจิ้งจอก…แต่จนตายก็ไม่ได้กินปลาพิทักษ์ ขยุ้มผมแน่น

เฮ่อโหย่วเจี้ยนรู้สึกว่าทังหมิงกำลังเดินตามเส้นทางเก่าของคนผู้นี้ อีกทั้งอันตรายยิ่งกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ

“ท่าน…ท่านอ๋อง!”

เฮ่อโหย่วเจี้ยนมองขึ้นไปตามหลังม้า ตอนนั้นเองที่เพิ่งจำธงแห่งชัยชนะทั้งสองท่ามกลางสายลมและหิมะ ตกใจจนเขาเริ่มคลานไปข้างหน้าโดยไม่สนใจโคลนแฉะและหิมะเย็นๆ บนพื้น เริ่มก้มหัวขอละเว้นโทษไม่หยุด

“ทังหมิงถึงแล้วหรือ”

ฮั่ววั่งเอ่ยถาม

เดิมทีเขาก็ไม่สนใจถ้อยคำเป็นทางการนั่นของเฮ่อโหย่วเจี้ยน

โทษใดที่สวมควรตายหมื่นครั้ง การให้อภัยก็เฉกเช่นเดียวกัน…

หากอยากให้ท่านตาย เช่นนั้นตายครั้งเดียวก็เกินพอ

ผู้ใดมีหนึ่งหมื่นศีรษะที่สามารถตายมากกว่าหนึ่งหมื่นครั้งบ้างเล่า

คนที่บอกว่าจะตาย ความจริงแล้วไม่อยากตายมากที่สุดและความกลัวตายที่สุด

“ทูลท่านอ๋อง ผู้ควบคุมรัฐทังยังมาไม่ถึงพ่ะย่ะค่ะ”

ปากเฮ่อโหย่วเจี้ยนกล่าวตอบ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัย

“เพราะเหตุใดท่านอ๋องมาถึงก็ถามหาผู้ควบคุมรัฐทังเลยเล่า โดยปกติแล้วทั้งสองคนควรจะมาด้วยกันไม่ใช่หรือ”

ครั้นเฮ่อโหย่วเจี้ยนเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นหลิวรุ่ยอิ่งยิ่งพบว่าเรื่องนี้แปลกนัก

“ให้ทหารของเจ้าจัดเตรียมพื้นที่ว่างให้ทัพอีกาดำตั้งค่าย นอกจากนี้เร่งตั้งกระโจมใหม่ให้ทุกคนในกรมสอบสวนพักอาศัย”

ฮั่ววั่งกล่าวสั่งเตรียมการ

………………………………………………….

[1] วันวสันตวิษุวัต เป็นวันที่เวลากลางวันยาวเท่ากับกลางคืน ตรงกับวันที่ 20 หรือ 21 มีนาคมของทุกปี ประเทศทางซีกโลกเหนือนับเป็นวันเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ส่วนซีกโลกใต้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง

[2] หาหนังจากเสือ หมายถึง ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ทำสิ่งที่ขัดต่อผลประโยชน์ของตนเอง

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท