บทที่ 63 หมึกสุราบทกวีเมามาย-2
ฟั่นกู่ซานค่อนข้างร้อนใจ จากนั้นหัวเราะเยาะตัวเองกล่าว
“ฮ่าๆ ศรัทธา ซื่อสัตย์ วรยุทธ์ พยาบาท กล้าได้กล้าเสีย เบิกบาน ป่าเถื่อน เป็นธรรม ข้าคงเหลือไม่มาก แต่ศรัทธานี้แข็งแกร่งอยู่แล้ว”
ฟั่นกู่ซานคล้ายพูดกับทุกคน แต่ก็ดูเหมือนพึมพำกับตัวเอง
“นี่ก็คือแปดข้อห้ามจอมยุทธ์พเนจรที่ท่านบอกก่อนหน้านี้หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ถูกต้อง แม้หมู่บ้านจอมยุทธ์พเนจรของพวกเราไม่สนใจกฎหมายบ้านเมือง แต่ก็มีบรรทัดฐานการปฏิบัติของตัวเอง ก็คือแปดข้อห้ามจอมยุทธ์พเนจรนี่ละ”
ฟั่นกู่ซานพยักหน้ากล่าว
“ศรัทธาพูดง่าย คนไม่มีศรัทธาย่อมพังทลาย ไม่เพียงจอมยุทธ์พเนจรเท่านั้น เกรงว่าทุกอาชีพคงหนีไม่พ้นคำว่าศรัทธา แต่ซื่อสัตย์…”
ไม่รอหลิวรุ่ยอิ่งพูดจบ ฟั่นกู่ซานก็แย่งหัวข้อไปแล้ว
เหมือนเขาไม่อยากให้คนอื่นมาบิดเบือนแปดข้อห้ามนี้ ในใจเขานั่นคือการดูหมิ่นอย่างหนึ่ง
“สหายท่านนี้พูดถูก คำว่าศรัทธาเป็นเช่นนั้นจริง แต่ ‘ซื่อสัตย์’ กลับเป็นการจริงใจ ขอแค่คบหากัน จำต้องผ่าท้องมาเจอกัน ไม่ว่าผิดหรือชอบเท่ากัน ดีหรือชั่ว เมื่อคบเป็นสหายต้องดูแลกันด้วยชีวิต ไม่มีวันกลับใจ บุญคุณความแค้นแยกชัดเจน ผู้ทำผิดต้องได้คืนสนอง”
ฟั่นกู่ซานกล่าว
อันที่เหลือก็เข้าใจไม่ยาก หนำซ้ำหลิวรุ่ยอิ่งยังเคยอ่านข้อมูลของหมู่บ้านจอมยุทธ์พเนจรด้วย
ตอนแรกเขานึกว่า ‘กล้าได้กล้าเสีย’ หมายถึงร่ำรวยเงินทอง อย่างไรในสายตาขุนนางจอมยุทธ์พเนจรล้วนเป็นพวกใช้ยุทธ์ฝ่าฝืนข้อห้ามกลุ่มหนึ่ง แต่ที่จริงแล้ว ‘กล้าได้กล้าเสีย’ นี้กลับหมายถึงจิตวิญญาณที่เด็ดเดี่ยว เกินกว่าธรรมดาสามัญ
อยู่เหนือกิเลส สงบจิตใจ บรรลุเป็นวีรบุรุษ! สิ่งที่พวกเขาแสวงหาคือคุณธรรมและศีลธรรมขั้นสูงสุด แม้ศีลธรรมนี้อาจขัดแย้งกับขอบเขตความเข้าใจทั่วไป แต่ใครบอกได้บ้างว่านี่เป็นสิ่งผิด
แต่ไรมาการครองตนในสังคมหาใช่ปัจจัยที่จอมยุทธ์พเนจรเกรงกลัวไม่ ไม่ว่าบาดเจ็บเพียงใด วันรุ่งขึ้นยังคงจัดข้าวของเครื่องใช้ออกเดินทางอีกครั้ง ไม่ว่าพเนจรมาไกลเท่าไร ใบหน้าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวนั้นยังคงความไม่ประสาที่ไม่มีวันสลายไป เพราะอาศัยความไม่ประสานี่ละ ถึงได้ทำให้พวกเขายโสโอหัง ไม่เคยรังเกียจที่จะคลุกคลีกับคนชั่ว มือถือคมดาบ สังหารความอยุติธรรมในโลกให้สิ้น
ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ฟ้าเริ่มสว่างบ้างแล้ว
ฟั่นกู่ซานประคองเสี่ยวเหมย ศีรษะสวมหมวกฟาง ถือหอกค่อยๆ หายลับไปตรงสุดปลายถนน ก่อนเดินทางเขาทิ้งหน้ากากเหล็กไว้ให้โอวเสี่ยวเอ๋อ…
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าหนี้กรรมนี้ เขาต้องกลับมาชดใช้แน่นอน เขาคิดอยู่พลันรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย เตรียมพักผ่อนสักสองสามชั่วยามก่อนค่อยว่ากัน
“นี่ ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้าสักเดี๋ยว!”
โอวเสี่ยวเอ๋อมองเงาหลังฟั่นกู่ซานประคองเสี่ยวเหมยค่อยๆ ไกลออกไปพลางพูดกับจิ่วซานปั้น
จิ่วซานปั้นย่อมไม่ปฏิเสธผู้มาเยือน เพียงแต่บอกว่ายังต้องไปหยิบของในห้อง ไม่นานก็ถึง
“เจ้าหยิบหมึกพู่กันมาทำอะไร”
โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นจิ่วซานปั้นถือแท่นฝนหมึก ในปากคาบพู่กันด้ามหนึ่ง รู้สึกแปลกอยู่ลึกๆ
“เหล้าช่วยให้กลอนได้อารมณ์ ไม่แน่อาจเขียนอะไรได้สักหน่อย ข้าได้ยินว่าหอทรงปัญญาต้องการผลงานเพื่อตัดสินระดับขั้น แต่ข้าไม่มีผลงานอะไรเลย…”
จิ่วซานปั้นยักไหล่กล่าว
โอวเสี่ยวเอ๋อมองท่าทางเช่นนี้ของเขาก็นึกถึงตอนเจอกันครั้งแรกที่เขาแต่งกลอนให้แล้วบังเอิญใช้ชื่อของนาง พลันทั้งโมโหทั้งอยากยิ้ม
“เรื่องถึงตอนนี้แล้วเพิ่งเริ่มเตรียมผลงาน ข้าว่าเจ้าคงไม่ผ่านแม้แต่ชุดขาวขั้นหนึ่ง!”
โอวเสี่ยวเอ๋อออกปากเยาะเย้ย ยังเทน้ำสุราใส่ตรงกลางแท่นฝนหมึกของเขาเหมือนกลั่นแกล้ง
“เฮ้ยๆ! นี่แปลกใหม่ทีเดียว…หมึกจุ่มสุราเขียนกลอนเมามาย เหมาะสมๆ!”
โอวเสี่ยวเอ๋อได้ยินแล้วเพียงกลอกตาใส่เขา
“เมื่อครู่…ขอบใจมาก…”
นางยื่นจอกไปชนกับจิ่วซานปั้นเล็กน้อย
เพียงแต่คำขอบคุณนี้ เบาเหมือนแมลงร้อง
ดีที่จิ่วซานปั้นก็ไม่ใส่ใจ แค่เทเหล้าในจอกใส่ลงในน้ำเต้า จากนั้นดื่มรวดเดียวหมด
โอวเสี่ยวเอ๋ออยากถามเขามากว่าเหตุใดดื่มเหล้าต้องยุ่งยากปานนี้ แต่นึกได้ว่าเขาเป็นคนแปลกอยู่แล้ว ในสายตาเขาตัวเองอาจวุ่นวายมากกว่า จึงไม่เอ่ยปากอีก
นางสวมเสื้อคลุมตัวหนึ่งที่ใหญ่กว่ารูปร่างของตน นั่งอยู่ตามสบาย ผมดำดุจน้ำตกปรกบนไหล่ตามใจอยาก ไม่ปะแป้งฝุ่นเพิ่มกลับงามเฉิดฉายกว่าดอกท้อ
จิ่วซานปั้นก็นึกบางอย่างได้ฉับพลัน เคยนึกเสียที่ไหนว่าตนยังมีบุญตาถึงขั้นนี้ สตรีงามล้ำแผ่นดินเช่นนี้ กอปรกับฐานะภูมิหลังของนางอีก คนส่วนใหญ่พูดกับนางประโยคเดียวก็ต่างเพ้อฝัน
“เจ้ามาจากที่ใด”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถาม
“รัฐเวยใต้”
โอวเสี่ยวเอ๋อพูดอย่างใจลอย แต่กลับไม่มีความรำคาญก่อนหน้านี้แล้ว เพราะถึงแม้คนทั้งใต้หล้าต่างรู้ว่าตระกูลโอวอยู่รัฐเวยใต้ แต่ก็ยังต้องบอกเขาให้ชัดอีกหน
“อยากดื่มอย่างไร เมาแล้วค่อยหยุด?”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถาม
โอวเสี่ยวเอ๋อยิ้มแล้ว ยิ้มมีความสุขยิ่ง
นางไม่ได้ดื่มเหล้ากับคนเช่นนี้มานานมากแล้วจริงๆ อีกอย่างระดับการดื่มของจิ่วซานปั้นยังไม่เลวอีกด้วย เป็นคนที่อยู่เป็นเพื่อนตนได้
“ข้ากลัวเจ้าเมาแล้วเขียนบทประพันธ์ไม่ได้”
โอวเสี่ยวเอ๋อมองหมึกพู่กันด้านข้างแล้วกล่าว
“ข้าไม่เขียนบทประพันธ์”
จิ่วซานปั้นเอ่ย
“เพราะอะไรหรือ”
แม้โอวเสี่ยวเอ๋อไม่เชี่ยวชาญเรื่องบทประพันธ์ แต่อย่างไรก็เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ เคยอ่านผ่านๆ มาเป็นร้อยสำนัก บทประพันธ์บทกลอนนี้อยู่คู่กันมานับแต่โบราณ ทำไมจิ่วซานปั้นถึงได้แหวกแนวคิดเช่นนี้
“บทประพันธ์ยาวเกินไป…ตอนข้าอ่านหนังสือเมื่อก่อนก็รู้สึกเบื่อ อีกอย่างบทประพันธ์เหล่านั้นก็มีแต่เบิกบานเศร้าโศก คนรักแยกจากกัน ข้าไม่เคยเห็นโลกหลายด้านมากขนาดนั้น แล้วก็พบเจอเรื่องราวไม่มาก บังคับให้ข้าเขียน ข้าก็เขียนไม่ออก”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“แล้วเจ้าแต่งกลอนราบรื่นเช่นนี้ได้อย่างไร”
โอวเสี่ยวเอ๋อไม่เข้าใจ
“กลอนของข้าเขียนแค่ตัวเอง เขียนแค่สิ่งที่ข้าเห็น สิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่นึกถึง สิ่งที่ได้มา ข้าไม่เคยเขียนเรื่องคนอื่น แล้วก็จะไม่บังคับให้คนอื่นมาอ่านกลอนของข้าด้วย หากข้าเขียนบทประพันธ์ สักวันหนึ่งเป็นต้องเขียนเล่าเรื่องราวของคนอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงจะอ้างเขาเป็นตัวเอง นั่นก็จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง…ข้าไม่ชอบ”
จิ่วซานปั้นเบ้ปากกล่าว
โอวเสี่ยวเอ๋อเงียบไม่เอ่ยคำใด แต่นางเห็นด้วยกับหลักการเรื่องตนเองกับผู้อื่นที่จิ่วซานปั้นบอกทีเดียว ก็เหมือนที่นางรู้สึกว่าตนเป็นคนนึกถึงอดีตคนหนึ่ง แต่คนอื่นกลับมักคิดว่านางไม่มีหัวจิตหัวใจ
แท้จริงแล้ว คนที่นึกถึงอดีตล้วนไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มนึกถึงก่อน
สุราลงท้องหลายไห ดวงหน้าแม่นางที่อยู่ตรงข้ามจิ่วซานปั้นยิ่งออกชมพูอ่อน อารมณ์ดุดันรุนแรงก่อนหน้านั้นคล้ายค่อยๆ ละลายในสุราหมดแล้ว
“เขตติ้งซีอ๋องไม่มีเหล้าดีเลย”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
“ที่ไหนก็เหมือนกัน เดิมเหล้าล้วนไม่แตกต่าง ความต่างอยู่แค่ใจคน”
จิ่วซานปั้นไม่เห็นด้วย ส่ายหน้ากล่าว
“แล้วเหตุใดเจ้าต้องเทเหล้าใส่น้ำเต้าก่อนทุกอึกด้วย”
แรงเหล้าขึ้นมา โอวเสี่ยวเอ๋อเอ่ยปากถามในที่สุด
“ข้าแค่อยากลิ้มลองรสชาตินั้น…ข้ากลัวออกมานานเกินไป เดินทางไกลเกินไปแล้วจะลืม”
จิ่วซานปั้นเขย่าน้ำเต้าเล็กน้อย
เขาได้ยินเสียงหินสุราในน้ำเต้ากระทบกันแล้วเอ่ยอย่างสบายใจยิ่ง
“ดูท่าวันนี้เจ้าไม่ค่อยอยากดื่มเหล้า”
จิ่วซานปั้นมองโอวเสี่ยวเอ๋อและกล่าว
“ไม่ ข้าอยากดื่มเหล้า แต่กลับไม่มีอารมณ์ดื่มเหล้า”
โอวเสี่ยวเอ๋อมองน้ำสุราในถ้วยแล้วนิ่งงันเล็กน้อย
“ถึงจะบอกว่าไม่มีเหล้าดี แต่ข้ายังชอบแดนพายัพ ชอบลมหนาวดุจดาบ พัดไม่เลยขอบฟ้า พัดดอกสาลี่ไม่ร่วงของมัน”
“หน้าโรงเตี๊ยมพูนโชคก็มีต้นหนึ่ง”
จิ่วซานปั้นกล่าว
โอวเสี่ยวเอ๋อลุกขึ้นมองด้านนอก
แสงทองยามเช้าอยู่บนภูเขา ฟ้าสว่างไสวยิ่ง
นางยกจอกขึ้นมา มองดวงอาทิตย์อรุณรุ่งเหมือนหุ่นกระบอกผ้า ไม่เอ่ยคำใด นางรินเหล้าเหมือนเครื่องจักร ดื่มหมด รินใหม่
จิ่วซานปั้นก็ไม่เอ่ยอะไรอย่างรู้กัน กระทั่งนกน้อยที่ร้องเสียงดังรับดวงอาทิตย์มาตลอดวันนี้ก็เงียบสงบเหมือนรู้กัน
แสงอรุณทิ้งเงาร่างอันอบอุ่นไว้บนกำแพง
บดบังดวงหน้าครึ่งหนึ่งของนาง และบดบังขอบตาวาวใสทั้งคู่เอาไว้
“ดูท่าคงไม่พอดื่ม”
หลิวรุ่ยอิ่งมาถึงข้างโต๊ะตอนไหนก็ไม่ทราบเอ่ยปากขึ้น
จากนั้น เป็นความเงียบสนิทอีกครั้ง
“ปีนี้คนลาจากแล้ว ปีหน้าไม่เคยหวนคืน
รอให้ถึงวันฉงหยาง[1] เหล้าอำลารินพันจอก”
จิ่วซานปั้นเขียนบนกระดาษอย่างรวดเร็ว
“เจ้าบอกไม่เขียนเรื่องคนอื่นไม่ใช่หรือ”
โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นตัวอักษรบนกระดาษก็ออกปากถาม
“นี่ไม่ใช่เรื่องของคนอื่นนะ เป็นการรับรู้ของข้าตอนนี้”
จิ่วซานปั้นกล่าว
โอวเสี่ยวเอ๋อได้สติกลับมา นางเผยเรื่องในใจของตนโดยไม่รู้ตัว ทำให้จิ่วซานปั้นสัมผัสได้
จำต้องบอกว่าทักษะการมองทะลุปรุโปร่งได้อย่างเชี่ยวชาญเช่นนี้หายากในโลก
“นางเริ่มเมาแล้ว…”
จิ่วซานปั้นพูดกับหลิวรุ่ยอิ่ง
โอวเสี่ยวเอ๋อพิงศีรษะบนกำแพง นัยน์ตาทั้งคู่ปิดเล็กน้อย ลมหายใจสมดุล นางโบกมือไปด้านข้างอย่างส่งๆ ไม่รู้กำลังบอกว่าตัวเองไม่ได้เมา หรือให้เขาสองคนออกไปก่อน
“พวกเราออกเดินทางพรุ่งนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดกับจิ่วซานปั้นและโอวเสี่ยวเอ๋อ
…………………
ในวังติ้งซีอ๋อง
บัณฑิตจางถือน้ำบ่อเย็นเยือกแทงกระดูกถังหนึ่ง สาดไปบนกายทังจงซงที่ยังนอนหลับเพ้อฝัน
“ว๊ากกก!”
ทังจงซงถูกกระตุ้นจนสะดุ้งโหยงกระโดดลงจากเตียง ลืมไปว่าตนยังเปลือยกายอยู่ จนถึงตอนได้ยินเสียงเหล่าสาวใช้หัวเราะนุ่มนวลเพราะเขินอายลอดเข้าหูเขาถึงได้สติ
“ท่านทำอะไรเนี่ย!”
ทังจงซงถามอย่างขุ่นเคือง
“ไม่พูดถึงให้เจ้าตื่นตอนได้ยินไก่ขัน แต่ก็คงนอนถึงตะวันโด่งสามกระบอก[2]ไม่ได้กระมัง!”
บัณฑิตจางกล่าว
“จัดการให้เหมาะสมแล้วตามข้ามาท่องตำรายามเช้าในสวน!”
ทังจงซงเห็นบัณฑิตจางจะเริ่มสอนตนอ่านตำราเขียนบทประพันธ์อย่างจริงจังแล้วอดปวดหัวพักหนึ่งไม่ได้…ถึงขั้นคิดว่ายังไม่สู้ฮั่ววั่งขังตนไว้เป็นตัวประกันให้รู้แล้วรู้รอด แม้หนึ่งวันให้โจ๊กอ่อนมื้อเดียวก็เถอะ หนังท้องทุกข์ทนก็ยังดีกว่าหัวสมองทรมานไม่ใช่หรือ
“อ่านอะไรกัน…ของไร้ประโยชน์พวกนี้ ข้ารำคาญตั้งแต่เด็กแล้ว!”
ทังจงซงหัวก็ไม่หวี หน้าก็ไม่ล้าง มาถึงในสวนแล้วหาก้อนหินใหญ่นอนลงอีกครั้ง ยังเอาตำราปิดหน้าพูดอุบอิบ
“ไม่อ่านก็ได้”
บัณฑิตจางนั่งกล่าวอยู่แถวนั้น
“แล้วจะให้ข้าทำอะไร ข้าจะบอกท่านให้ ที่นี่เป็นถึงวังติ้งซีอ๋อง วังติ้งซีอ๋องในเมืองติ้งซีอ๋อง ไม่ใช่จวนผู้ควบคุมรัฐติง แล้วก็ไม่ใช่หัวเมืองรัฐติง”
ทังจงซงกล่าวคำเหล่านี้ อดรู้สึกสงสารตัวเองไม่ได้
ถึงอย่างไรตนอยู่ในวังอ๋องนี้ แม้กินดื่มสำราญใจ อยากได้อะไรล้วนมีหมด แต่กรงเลี่ยมทองนี้ยังคงเป็นกรง หากตอนนี้มีขอทานสักคนแลกกับเขา ทังจงซงยอมไปนอนเพิงโกโรโกโสในป่าดีกว่าต้องอยู่ในวังอ๋องนี้
“ห้าวัน!”
บัณฑิตจางยื่นฝ่ามือออกมาทำสัญลักษณ์กับทังจงซง
ด้วยนิสัยของบัณฑิตจางย่อมไม่สนใจคำบ่นเช่นนั้นของเขา
พูดตามตรง ตนแค่ทำข้อตกลงอย่างหนึ่งกับติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งเท่านั้น เขาทำให้ทังจงซงได้ระดับสูงขั้นหนึ่ง และฮั่ววั่งช่วยเขาจับกุมผู้ตัดสัมพันธ์
ไม่เสียหายทั้งสองฝ่าย เบิกบานกันถ้วนหน้า!
“ห้าวันทำไมหรือ”
ทังจงซงเอ่ยถามอย่างเกียจคร้าน ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่เคยเอาเรื่องเรียนบทประพันธ์แล้วไปหอทรงปัญญาไว้ในใจอย่างจริงๆ จังๆ มาก่อน
“เจ้าอย่าขี้เกียจเช่นนี้ คิดว่าเจ้าก็คงรู้สถานการณ์ของตัวเองตอนนี้ชัดเจนดี ในเมื่อเขามีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย ส่วนเจ้าเป็นเนื้อปลาบนเขียง เหตุใดไม่เป็นเนื้อปลาดีชิ้นหนึ่งที่คล้อยตามมีดหั่นเล่า เจ้าที่เป็นเนื้อปลาเช่นนี้จะได้ไม่ทรมานเกินไป มีดที่หั่นเนื้อปลาก็จะไม่ปล่อยสายฟ้าพิโรธลงมาทันทีด้วย”
บัณฑิตจางไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่พูดกับทังจงซงเช่นนี้
ทังจงซงรู้ว่าคำพูดนี้คิดวิเคราะห์มาเพื่อตนโดยแท้จริง แต่ไม่ว่าอย่างไรท่าทางภายนอกของตนนี้แสดงออกมาได้ แต่จิตใจไม่ได้เปลี่ยนได้เร็วในชั่วครู่ชั่วยามขนาดนั้น
“ห้าวันทำไมหรือ”
ทังจงซงครุ่นคิดรอบหนึ่งแล้วเอ่ยถามอีกครั้ง
“ขอแค่เจ้าแต่งกลอนร้อยบท แต่งบทประพันธ์สิบบทได้ภายในห้าวัน เช่นนั้นตำรานี่ก็ไม่ต้องอ่านแล้ว เจ้าไปหอทรงปัญญาได้เลย”
บัณฑิตจางกล่าว
ทังจงซงฟังแล้วพลันเริ่มตื่นเต้น นี่ไม่ง่ายเอาเสียเลย!
แต่งกลอน!
ตะวันออกก็เป็นกลอน ตะวันตกก็เป็นกลอน…
เจ้าสามารถเขียนลมฝนวสันต์ ใบไม้สารทร่วงโรยได้ แล้วทำไมข้าจะเขียนถ่ายอุจจาระ ผายลม ปลดปัสสาวะไม่ได้
นึกถึงตอนนั้นตนเขียนโคลงท่องเข้าปากเช่นนี้ได้เป็นตั้งๆ ไม่ใช่แค่คล้องจอง แต่ยังตรงฉันทลักษณ์ด้วย ไม่นึกว่าเวลาผันผ่านจนถึงวันนี้จะได้เอามาใช้ประโยชน์อีกครั้ง!
…………………………………………
[1] วันฉงหยาง ตรงกับวันที่ 9 เดือน 9 เป็นเทศกาลพบญาติผู้ใหญ่ในครอบครัว
[2] ตะวันโด่งสามกระบอก หมายถึงเวลาสายมากแล้ว ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงเท่าความยาวไม้ไผ่สามกระบอก