ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 83 จิตใจสว่างไสวเช่นเดียวกัน-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 83 จิตใจสว่างไสวเช่นเดียวกัน-1

ธรรมลักษณ์บรมครูนี้ทำอะไรตามวิถีของตัวเองมาตลอด หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่ได้สนใจมากนัก จึงปล่อยเขาไปเช่นนี้

เพียงแต่จิ่วซานปั้นกลับพูดเสียงเฉียบขาดโดยพลัน

“คนเลิศล้ำหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่โตมาเช่นนี้กันหมด หรือยังมีคนโตมากับการดื่มน้ำทองคำด้วย”

หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าตี๋เหว่ยไท่ยั่วโมโหจิ่วซานปั้นเข้าแล้ว

เขาไม่ควรยกชาแทนสุราต่อหน้าจิ่วซานปั้นเป็นอย่างยิ่ง…

จิ่วซานปั้นเคยพูดเรื่องในหมู่บ้านเขาให้หลิวรุ่ยอิ่งฟัง เล่าถึงที่มาของคำว่ายอดนักดื่มของหมู่บ้านยอดนักดื่มนั้น

เรียกได้ว่าสุรานี้เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในหมู่บ้าน ดูหมิ่นไม่ได้เด็ดขาด

เมื่อครู่ตี๋เหว่ยไท่หยิบเรื่องเล็กใหญ่ สูงต่ำ สง่าธรรมดามาอธิบาย ดูเหมือนมีหลักการมาก ที่จริงมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นแค่การดูถูกและยกฐานะตัวเอง

แล้วจะให้จิ่วซานปั้นทนไหวได้อย่างไร

“คำพูดเจ้าหนุ่มประหลาดนัก…แม้คนล้วนเติบโตมาเหมือนกัน แต่การอบรมสั่งสอนในภายหลังต่างกันโดยสิ้นเชิง เจ้าดูนักโทษติดตะรางนั่น เป็นเพราะการอบรมภายหลังไม่ถึงจุดที่คาดหวัง จึงทำให้พวกเขากระทำสิ่งไม่ซื่อตรง พฤติกรรมไม่ถูกต้อง เดินสู่หนทางที่ผิด”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“เกิดมาเพิ่งลืมตากันทั้งนั้น เหตุใดมีการแบ่งผิดชอบเสียแล้ว หากบอกว่าการอบรมภายหลังต่างกัน ข้าก็มองว่าเป็นปัญหาของการอบรมในตัวมันเอง จะว่าไป สายบุ๋นในใต้หล้านอกจากหอทรงปัญญาท่านก็มีแค่หอทรงภูมินั่น หากการอบรมภายหลังมีปัญหา เช่นนั้นสรุปว่าหอทรงปัญญามีปัญหาหรือหอทรงภูมิมีปัญหา ท่านลองเปิดคุกสักแห่งดู คนไม่เคยได้รับการอบรมเหล่านั้นแค่ทำพฤติกรรมแย่ๆ อย่างลักเล็กขโมยน้อยเพื่อเติมท้องให้อิ่มเท่านั้น ไม่นับเป็นความผิดร้ายแรง แล้วพวกเลวบริสุทธิ์ที่อยู่ในคุกจนไม่มีวันได้ออกมาหรือใส่เครื่องพันธนาการติดตัวรอพิจารณาคดีเหล่านั้น มีคนไหนบ้างที่เป็นคนไม่มีการศึกษา หอทรงปัญญาท่านก่อตั้งมานานขนาดนี้ จะไม่มีพวกทำผิดละเมิดกฎหมายเลยเชียวหรือ”

คำพูดจิ่วซานปั้นเฉียบคม ความคิดอ่านลึกซึ้งโดยแท้…

มุมปากตี๋เหว่ยไท่กระตุกเล็กน้อย เขานึกไม่ถึงว่าจิ่วซานปั้นที่ดูรังแกง่ายที่สุดอ้าปากพูดแล้วจะปะทะกับตนเช่นนี้

“ที่เจ้าหนุ่มพูด…ก็มีเหตุผลจริง แต่ถึงการอบรมเหมือนกัน คนกลับไม่เหมือนกัน คนคนหนึ่งยังมีเป็นหมื่นหน้า นับประสาอะไรกับผู้คนนับล้านในใต้หล้านี้”

ตี๋เหว่ยไท่ก็จำต้องยอมรับว่าจิ่วซานปั้นพูดถูก

หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินเขาพูดไม่ค่อยออกเพราะจิ่วซานปั้นก็อดรู้สึกขบขันไม่ได้

ตาเฒ่าผู้นี้คงปลูกผัก ดื่มชา อ่านตำราทุกวัน คิดว่าต้องเข้าใจโลกน้อยมากเป็นแน่ ท่าทางเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในฝันกลางวันโดยสมบูรณ์

ภาพโลกสงบสุข ยามค่ำคืนไม่ต้องปิดประตู ของตกบนถนนไม่มีคนเก็บ ทุกคนเคารพผู้อาวุโสรักเด็ก แม่เมตตาลูกกตัญญูในฝันของเขา

ไหนเลยจะรู้ว่าความเป็นจริงคนฟุ้งเฟ้อสำมะเลเทเมา อยากได้อยากมีกันถ้วนหน้าขนาดไหน

แม้ยังไม่ถึงขั้นเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนอย่างคนรวยมีเนื้อสุราเหลือเฟือจนเน่าเหม็นกับคนจนหนาวและหิวตาย แต่ขอทานที่อยู่ในซอยคับแคบคงไม่อาจเป็นนักปราชญ์กันได้ทุกคนหรอกกระมัง

“แม้ใต้หล้าผู้คนมากมาย แต่การอบรมสั่งสอนนี้ก็มากกว่าพันปี พันปีต่อล้าน คงพอทัดเทียมกันได้กระมัง แล้วเหตุใดมักมีคนวิจารณ์ว่าจิตใจคนสมัยนี้ไม่ซื่อตรงดีงามเหมือนคนสมัยก่อน ทั้งยังเลวลงทุกชั่วขณะ”

จิ่วซานปั้นย้อนถาม

“การอบรมนี้ย่อมไม่อาจสมบูรณ์แบบ…แต่ทุกสิ่งในโลกก็ค่อยๆ เติบโตจนสมบูรณ์ตามการพัฒนาที่ก้าวไปข้างหน้าไม่ใช่หรือ แม้เวลายาวนาน แต่ที่ได้ผลก็แค่ไม่กี่เอกชวด[1]เท่านั้น ความซับซ้อนของมนุษย์เป็นสิ่งที่เวลาไม่กี่สิบปีกับตำราไม่กี่ม้วนเปลี่ยนแปลงได้เสียที่ไหน”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าวพลางรินชาให้ตัวเองจอกหนึ่ง

“ข้าว่าช่วงเวลาที่ไม่มีการอบรมสั่งสอนตอนแรกเริ่มกลับดีเสียกว่า ทุกคนล้วนเท่าเทียมยิ่ง ไม่มีใครดูถูกใคร ชอบดื่มสุราก็ดื่มสุรา ชอบดื่มชาก็ดื่มชา ต่อให้ท่านดื่มปัสสาวะก็ไม่มีใครล้อเลียนท่าน พอการอบรมนี้เผยแพร่ ยังไม่รอให้มันเปลี่ยนแปลงพัฒนา กลับแบ่งสูงส่งต่ำต้อยก่อนแล้ว สุราหรือชาล้วนเป็นแหล่งน้ำ ใบชาเกิดบนพื้นดิน ส่าเหล้ามาจากธัญญาหาร โดยแก่นแท้แล้วยังไม่เหมือนกันอีกหรือ เหตุใดถูกการอบรมนี้แบ่งเป็นระดับชั้นต่างๆ เล่า พอเป็นเช่นนี้ น้ำที่ไร้สีและไร้กลิ่นนั้นต่ำต้อยที่สุดเลยไม่ใช่หรอกหรือ”

จิ่วซานปั้นกล่าว

ตี๋เหว่ยไท่ฟังแล้วกลับยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า

“ก็เหมือนพ่อแม่ให้กำเนิดเจ้า จึงต้องเคารพเชื่อฟังท่านทั้งสอง ความจริงระดับชั้นเหล่านี้ก็เป็นกฎเกณฑ์ตามสภาพของโลกไม่ใช่หรือ หากบิดาเจ้าอยากให้เจ้าเรียนหนังสือสร้างผลงานชื่อเสียงเจ้าจะไม่ไปได้อย่างไร หลักเดียวกัน พ่อแม่ของนายกองหลิวอยากให้เขาประกอบอาชีพเพื่อความสงบสุขในใต้หล้า เขาก็ต้องปฏิบัติตามโดยไม่มีเหตุผลไม่ใช่หรือ”

นึกไม่ถึงยุทธภพนี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ เส้นทางในยุทธภพจะว่ายาวก็ยาว

แต่วนอ้อมไปมากว่าครึ่งรอบ สองคนกลับพบกันที่นี่อีกครั้ง

แม้ทั้งสองต่างอายุยังน้อย แต่ความดีใจจากการพบกันหลังห่างหายไปนานเช่นนี้ไม่ว่าอายุห้าขวบหรือห้าสิบปีก็ไม่ต่างกัน

เจอกันครั้งแรกถามชื่อแซ่ เรียกชื่อแล้วนึกถึงใบหน้าเก่าก่อน

แม้หลายปีนี้ใบหน้าของอีกฝ่ายเลือนรางคลุมเครือไปบ้างแล้ว แต่ทั้งสองฝ่ายกลับรู้ว่าในใจเหลือพื้นที่ส่วนหนึ่งอยู่เสมอ

หลิวรุ่ยอิ่งไม่ชอบจินตนาการ เพราะความรู้สึกไม่เป็นจริงจะทำให้เขาเศร้ากว่าเดิม

หากเจ้าไม่คว้าเอาไว้แม้แต่ความสุขความเบิกบานในปัจจุบัน แล้วจะเอ่ยถึงความสุขความเบิกบานในภายหน้าจากสิ่งใด

ใครก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าชั่วเวลาต่อไปชีวิตจะเป็นเช่นไร ต้องผ่านความรู้สึกแบบไหน ขึ้นและลงอย่างไร

ต่างทำได้เพียงปรับสภาพการณ์ตอนนี้ให้ดีที่สุด ต้อนรับความไม่รู้ที่กำลังมาถึง

หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้คิดว่าพรุ่งนี้จะดีงามไม่มากพอ เขาแค่กลัววันนี้ยังไม่เต็มที่มากพอเท่านั้น…หากทำเรื่องสนุกไม่ครบ กินอาหารเลิศรสไม่หมด ดื่มสุราดีไม่หมด แล้วพรุ่งนี้ยังมีอะไรดึงดูดใจได้ยิ่งกว่าความสุขแท้จริงที่ถืออยู่ในมือเช่นนี้อีกเล่า

เซียวจิ่นข่านคล้ายกับหลิวรุ่ยอิ่งไม่น้อย เขามีใจฝักใฝ่ยึดถือในชีวิตบางประการ

แต่เทียบกันแล้ว เขากลับทำตามใจอยากมากกว่าเล็กน้อย

เพราะเขาคิดว่าทุกวันนับจากนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เปี่ยมด้วยความสดใหม่สำหรับเขาในตอนนี้ หากวางแผนมากเกินไป จินตนาการไกลเกินไป กำหนดละเอียดเกินไป เช่นนั้นอนาคตก็ไม่มีความสดใหม่ให้พูดถึงแม้แต่น้อย

ไม่มีใครใช้เวลาที่เหลือไปกับชีวิตที่ไม่มีความรู้สึกสดใหม่ได้ทุกวันหรอก

หากเจ้าได้เห็นทัศนียภาพที่แตกต่างกันทุกวัน เช่นนั้นไม่ว่าผ่านสี่ฤดูอีกกี่รอบก็ไม่มีทางรู้สึกยาวนาน

“ท่านประมุขหอ ได้พบสหายรู้ใจหลังจากกันมานาน ขอยืมแขกท่านไปพูดคุยสักหน่อยได้หรือไม่”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกขำประโยคนี้

ยังมีการพูดขอยืมแขกได้อย่างไรกัน

หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินกลับทนไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกเสียงกล่าวเสียเลย

“ท่านประมุขหอตี๋ ข้าเป็นเด็กกำพร้า”

คำพูดนี้ประหนึ่งหินถล่มฟ้าทลาย

ทำให้คนในที่นี้ไม่คาดคิดสักคน

ต่อให้ตี๋เหว่ยไท่อายุมาก พ่อแม่ตายทั้งคู่นานแล้ว แต่ก็เคยมีความรักจากทั้งสองคน ไม่เหมือนหลิวรุ่ยอิ่งที่เกิดมาก็โดดเดี่ยวตัวคนเดียว

“ข้าผู้เฒ่าไม่รู้สถานการณ์ นายกองหลิวโปรดให้อภัยด้วย”

ตี๋เหว่ยไท่ได้ยินแล้วถึงขั้นลุกขึ้นคำนับขอโทษ

“ก่อนหน้านี้ข้าผู้เฒ่ามีความคิดเห็นส่วนตัวต่อเจ้าหลายส่วน…กล่าวตามตรง ข้าผู้เฒ่าไม่ได้รู้สึกดีต่อกรมสอบสวนนี้อยู่แล้ว และเห็นนายกองหลิวได้เป็นนายกองทั้งที่อายุยังน้อย คิดดูแล้วเบื้องหลังต้องเป็นขุนนางชั้นสูง จึงจงใจบีบคั้นเย้ยหยัน ไม่นึกว่านายกองหลิวเกิดมาลำบากเช่นนี้ นี่เป็นความผิดของข้าผู้เฒ่าโดยแท้…”

ตี๋เหว่ยไท่นั่งลงแล้วกล่าวต่อ

หลิวรุ่ยอิ่งคิดไม่ถึงว่าตี๋เหว่ยไท่จะพูดออกมาตรงๆ

เดิมเขานึกว่าอีกฝ่ายอยากได้กระบี่ดาราหรือเคล็ดวิชากระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปของตน แต่ตอนนี้ฟังแล้วกลับเป็นเพราะฐานะกรมสอบสวนของตนที่ทำให้เขารังเกียจ

หากเป็นเช่นนี้จริง ตี๋เหว่ยไท่ผู้นี้ก็เป็นคนน่าเคารพน่าเลื่อมใสคนหนึ่งโดยแท้

คำพูดด้านหลังนี้หมายถึงรู้แล้วว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่มีทางเลือก อย่างไรเด็กกำพร้าก็เหมือนแหนลอยน้ำ อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ได้แต่ลอยตามสายน้ำใหญ่ ไม่หิวตายก็เป็นบุญยิ่งแล้ว จะขออะไรมากมายอีกได้อย่างไร

“ข้าน้อยเป็นลูกของวีรบุรุษแห่งกรมสอบสวน”

ไม่ว่าอีกฝ่ายจริงใจแท้หรือเมตตาเทียม หลิวรุ่ยอิ่งไม่อยากแสร้งน่าสงสารประจบเอาใจ จึงพูดตามความจริง

หากยืมแขกได้ เช่นนั้นเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็อาจยืมได้เหมือนกัน

แต่ยืมน่ะยืมง่าย แล้วคืนควรคืนอย่างไรล่ะ

หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ยิ้มอย่างสบายใจเช่นนี้มานานมากแล้ว

นึกถึงตอนนั้น พวกเขาสองคนทั้งหัวเราะสุขใจ ทั้งด่าทอด้วยความโมโห ทว่าสบายอกสบายใจอย่างยิ่ง

………………

“แวบแรกข้ายังมองไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นเจ้า!”

ทั้งสองออกจากตัวบ้าน ยืนคุยอยู่กลางสวน

“แต่ครู่เดียวข้าก็จำเจ้าได้แล้ว!”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“หลักๆ คือนึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเก่งกาจเช่นนี้ ถึงขั้นมาอยู่หอทรงปัญญาได้”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

“ใช่ว่าข้าเก่งกาจ แต่คนอื่นไร้ความสามารถเกินไปต่างหาก”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

พูดจบเขาหัวเราะพร้อมกับหลิวรุ่ยอิ่ง

“เหตุใดถึงมาที่นี่”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

“หลังจากออกจากกรมสอบสวน ข้าไม่มีข้าวกิน ได้แต่ขโมยของไปเรื่อย พอถูกคนจับได้ก็แค่โดนตียกหนึ่ง จากนั้นเปลี่ยนที่ขโมยต่อ แต่ขนาดห้าสิบไม้ใหญ่ของกรมสอบสวนข้ายังทนได้ ยังกลัวโดนทุบตีอะไรอีก”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“ข้าโตมากับท่านย่า หากพูดถึงพ่อแม่ ข้าก็ไม่มีเหมือนกัน”

จิ่วซานปั้นยักไหล่กล่าวอย่างไม่ยี่หระ

เขาคิดเหมือนหลิวรุ่ยอิ่งว่าการให้กำเนิดบุตรเป็นเรื่องไร้เหตุผลอันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างแท้จริง

ยิ่งคนคนหนึ่งมีสิทธิ์ในการเลือกมากเท่าไร ยิ่งยืนยันว่าเขามีชีวิตดีขึ้นเท่านั้น แต่ไม่ว่าน่าเวทนาถึงขั้นไหน เขาก็ยังมีพื้นที่ให้เลือก

มีแค่เรื่องการให้กำเนิดนี้ที่เด็กไม่มีตัวเลือกใด

กำหนดไม่ได้ว่าตนเป็นหญิงหรือชาย และกำหนดไม่ได้ว่าตนเกิดมายากจนหรือร่ำรวย

เมื่อถีบขาลืมตาร้องไห้ออกมาก็ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว

นี่เป็นหนึ่งชีวิตเชียวนะ!

ต่อให้โลกนี้มีคนนับล้านอย่างที่ตี๋เหว่ยไท่ว่า แต่ทุกคนล้วนมีเพียงหนึ่งเดียว

หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าพ่อแม่ของตนต้องเป็นคนเห็นแก่ตัวที่สุดในโลกแน่นอน

พวกเขาอาจรักตนมาก แต่ไม่เคยคิดลองถามเขาเลยว่านี่ใช่สิ่งที่เขาต้องการหรือไม่

ภายหลังกลับไม่มีโอกาสนี้แล้ว

แต่ทุกสิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งประสบพบเจอไม่มีความเกี่ยวข้องกับพ่อแม่ของเขาเลยงั้นหรือ

คนส่วนใหญ่ต่างคอยตำหนิคนทั่วไปที่ไม่มีความคิดก้าวหน้าเหล่านั้น แล้วนั่นไม่ใช่ตัวเลือกหนึ่งหรอกหรือ

ความจริงที่ว่าบางคนยินดีรับความธรรมดาอย่างยิ่ง แต่บางคนกลับลำบากดิ้นรนมาทั้งชีวิตเพื่อแสงลวงตาอันเลื่อนลอยนั้น

หากเลือกได้ หลิวรุ่ยอิ่งไม่อยากอยู่กรมสอบสวน

เขาแค่อยากเปิดร้านเล็กๆ ร้านหนึ่ง ขายอะไรก็ช่างขอแค่เลี้ยงชีพตนได้ก็พอ

แต่พอเกิดมาเขาก็ถูกตีตราด้วยตำแหน่งลูกหลานวีรบุรุษ ตำแหน่งนี้ใหญ่และหนักเกินไป ทำให้เขาหลังค่อมเอวคดแล้วยังหายใจไม่สะดวก…

นึกถึงตอนอบรมเมื่อก่อน แค่ใจลอยนิดหน่อยก็ถูกว่ากล่าวยกหนึ่ง

ยิ่งกว่านั้น ยังชอบยกพ่อแม่ที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาเป็นข้ออ้างตลอด

ทุกครั้งหลิวรุ่ยอิ่งล้วนด่าอยู่ข้างในประโยคหนึ่ง ‘เกี่ยวอะไรกับข้า หากให้ข้าเลือกเอง ข้ายอมไม่มีชีวิตอยู่ตั้งแต่แรกเสียดีกว่า!’

………………

“เหลี่ยงเฟิน ไปหาไหสุรามา”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าวกับหน้าประตู

“ไปสิ!”

เหลี่ยงเฟินได้ยินแล้วกลับสงสัยว่าตัวเองฟังผิด แต่เขาก็ไม่กล้าถามย้ำ ยืนงงงันอยู่ที่เดิมชั่วขณะหนึ่ง

ตี๋เหว่ยไท่จำต้องเร่งอีกครั้งเขาถึงขยับตัว

“ที่จริงข้าผู้เฒ่าก็ไม่ได้เคร่งมากขนาดนั้น…เพียงแต่รู้สึกสุรานี้เข้มข้นเกินไป ไม่เหมาะสมกับทางสายกลาง”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

ทางสายกลางที่ว่านี้ เป็นแนวคิดที่คนสายบุ๋นชอบอวดโอ้ที่สุด

บัณฑิตเรียกหกความอยากเจ็ดความรู้สึกอย่างสุขโกรธเศร้าดีใจว่ากลาง เรียกการควบคุมนิสัยของมนุษย์ว่าสมดุล ใช้สิ่งนี้มาประคองจิตใจให้อยู่ในสภาพนิ่ง สงบและดีงามตลอดเวลา ทั้งยังบอกว่านี่เป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของสรรพสิ่งในใต้หล้า

แต่โฉมหน้าที่แท้จริงของเรื่องราวในโลกจะเป็นความสงบสุขที่ไร้การเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร กระทั่งสวรรค์ยังมียามลมพัดฝนตกฟ้าแลบฟ้าร้อง

เพียงแต่ทัศนคติที่เป็นกลาง พบกันครึ่งทางนี้ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกไม่ต่างกับดินโคลน

หากพูดถึงคน เสียงแรกก็คือร้องไห้

เมื่อวิเคราะห์แล้ว การร้องไห้จึงควรเป็นเนื้อแท้ของมนุษย์ที่สุดไม่ใช่หรือ

ทางสายกลาง แท้จริงแล้วคือการดูว่าใครเสแสร้งและเสแสร้งได้นานเท่าไร

หากเสแสร้งมาทั้งชีวิตเหมือนตี๋เหว่ยไท่ เช่นนั้นก็เป็นทางสายกลางที่แท้จริงแล้ว…

อย่างไรพูดคำโกหกมากเข้า ตนเองก็เชื่อด้วย

เล่นละครมานาน จะไม่เข้าบทก็ยาก

ทั้งที่เป็นเรื่องของการดับกระหาย กลับต้องทำเป็นเคร่งในกฎเกณฑ์ถึงจะดูมีลักษณะเฉพาะตัว

หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้เกลียดชา อย่างไรชาก็อร่อยกว่าน้ำเปล่าไม่ใช่หรือ แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่เหมือนกัน…

สิ่งที่เขาเกลียดมีแค่หลักการและความพิถีพิถันมากมายตอนดื่มชาเท่านั้น

อย่างสามละเว้น หกบริสุทธิ์ สิบคุณธรรม

ต่อมายังมีผู้ฝึกชาโผล่ออกมาอีก

วันๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่ต้มน้ำชงชา

ล้วนเป็นใบชาเหมือนกัน น้ำอย่างเดียวกัน

แต่พอถึงมือผู้ฝึกชากลับล้ำค่าขึ้นไปกว่าร้อยเท่า

หากมีคนถกเถียงว่าไฟถ่านของคนอื่นอาจไม่ธรรมดา เช่นนั้นก็รบกวนท่านลองไปดูหลังบ้าน จะพบว่าเหมือนกับที่ต้มน้ำร้อนในโรงอาบน้ำไม่มีผิดเพี้ยน ล้วนเป็นคุณภาพที่เงินไม่กี่เฉียนก็ลากได้ครึ่งรถแล้ว

………………

ผู้ฝึกชาอยู่ระหว่างศิลป์กับเต๋า

หากเจ้าถามเขาว่านี่ก็เป็นแค่การชงชา เจ้าจะฝึกตนจากในนั้นได้อย่างไร เสี่ยวเอ้อร์เหลาสุรานั่นก็ชงชาทุกวัน แต่ยังถือเงินเดือน สองสามวันถึงได้กินเนื้อมื้อหนึ่งอยู่เลย

ผู้ฝึกชาก็จะบอกเจ้าว่านั่นเป็นเพราะเสี่ยวเอ้อร์วิ่งเร็วเกิน สงบนิ่งไม่พอ โลกนี้รีบเร่งมากพอแล้ว จึงต้องใช้การชงช้าๆ ลิ้มชิมอย่างประณีตมาปรับสมดุลให้เป็นกลาง จากนั้นความช้านี้ก็กลายเป็นเร็ว ตระหนักรู้ชีวิต ปล่อยวางความวุ่นวายลงในชาถ้วยหนึ่ง ทุกสิ่งล้วนขจัดทิ้งและให้อภัยได้

ทว่าผู้ฝึกชาในอาณาจักรติ้งซีอ๋องกลับน้อยมาก…

มีครั้งหนึ่ง ติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งออกจากเมืองอ๋อง เริ่มท่องเที่ยวแต่ละรัฐ ตรวจตราเขตชายแดน

จากนั้น ผู้ควบคุมรัฐคนหนึ่งก็จัดหาผู้ฝึกชาคนหนึ่งมาถวายชาเพื่อประจบเอาใจ

สุดท้าย ชาจอกนั้นต้องรอเกือบสองชั่วยามเต็มๆ ฮั่ววั่งถึงได้ดื่ม

ผู้ฝึกชาคนนี้ยกชาแล้วยังพูดหลักการเช่นก่อนหน้านี้จนหมด

‘ตามที่เจ้าพูด ทหารหมาป่ารุกรานชายแดนไม่หยุดหย่อนก็เป็นเพราะพวกเขาไม่ดื่มชา แล้วลูกหลานนับไม่ถ้วนในอาณาจักรติ้งซีอ๋องข้าที่ตายอยู่ภายใต้คมดาบของทหารหมาป่านี้ก็ไม่ควรแก้แค้น อย่างไรดื่มชาจอกหนึ่งก็ขจัดและให้อภัยได้ทุกสิ่ง หมายความเช่นนี้ใช่หรือไม่’

ฮั่ววั่งฟังจบแล้วเอ่ยถาม

ผู้ฝึกชาไม่รู้ควรตอบอย่างไร ได้แต่คุกเข่าบนพื้น โขกศีรษะต่อเนื่องและกล่าวเสียงลั่น ‘ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย!’

แต่คำพูดที่เอ่ยออกไป ก็เหมือนชาที่ชงเสร็จแล้ว

สีชากระจายตัว สำเร็จเป็นน้ำชาแล้ว จะแก้ไขได้อย่างไร

สุดท้ายถูกฮั่ววั่งตัดร่างสองท่อนทิ้งไว้กลางเมืองโทษฐานสร้างความเข้าใจผิดให้ผู้คน

ก่อนไป เขายังเหลือบมองผู้ควบคุมรัฐคนนั้นอย่างเหี้ยมเกรียม

ผ่านไปไม่นาน ผู้ควบคุมรัฐคนนั้นก็ทำผิดมหันต์และถูกตัดศีรษะ

สำหรับฮั่ววั่ง ผู้ฝึกชาเหล่านี้ก็เป็นแค่พวกแสวงหากำไรด้วยแนวคิดเกินจริงเท่านั้น ไม่มีการสร้างผลงานและไม่มีการฝึกตนใดโดยสิ้นเชิง

………………

ไม่นานนัก เหลี่ยงเฟินกอดไหสุราเข้าห้อง วางไว้ตรงหน้าจิ่วซานปั้นอย่างรุนแรง

จิ่วซานปั้นดึงเขาไว้และเอ่ยถาม “สุราอะไร”

คราวนี้ทำเอาเหลี่ยงเฟินโมโหจนอยากหัวเราะโดยแท้…

ใจคิดว่าหยิบมาให้เจ้าก็ดีแล้ว ไม่ดูเลยว่านี่คือสถานที่ใด…ต้องรู้ว่าท่านผู้เฒ่าประมุขหอเขาไม่แตะหยดสุรามากี่ปีแล้ว! คิดไม่ถึงเจ้านี่กลับไม่รู้จักให้เกียรติเช่นนี้ ถึงขั้นให้ความสำคัญกับสุราอะไรขึ้นมาอีก เห็นทีต้องพาเจ้าไปตัดเท้าในแม่น้ำไหลสี่ฤดูนั่นให้ได้

“สุราดี”

คำพูดเหล่านั้นวนอยู่ในใจเหลี่ยงเฟินหลายหน ที่พูดออกมากลับเป็นสองคำนี้

จิ่วซานปั้นครุ่นคิด วางไหสุราลงอีกครั้ง

“เมื่อครู่ข้าใจร้อนวู่วามไปหน่อย…ขออภัยท่านผู้เฒ่าด้วย!”

นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นจิ่วซานปั้นรู้จักมารยาทเช่นนี้

ตี๋เหว่ยไท่ฟังจบก็ยิ้มโบกมือ ไม่ได้ถือสา

จากนั้นเอื้อมมือคว้าไปข้างหน้า เหมือนจู่ๆ จอกสุราจอกหนึ่งปรากฏขึ้นในมือกระนั้น เขาวางไว้ตรงหน้าจิ่วซานปั้น

บัณฑิตฝึกยุทธ์ โดยทั่วไปฝึกแค่วิถีรวมเป็นหนึ่ง

นั่นคือการคิดใคร่ครวญรวมเป็นหนึ่งกับความรู้สึก ธรรมชาติรวมเป็นหนึ่งกับนิสัยของมนุษย์ ผีสางเทวดารวมเป็นหนึ่งกับนักปราชญ์ สุดท้ายบรรลุถึงภายนอกรวมเป็นหนึ่งกับภายใน

พื้นฐานขั้นแรกก็คือต้องการให้ผู้คนรู้จักควบคุมการแสดงออกของอารมณ์ เพื่อแสวงหาวิถีรวมเป็นหนึ่งข้างหลังที่ขั้นสูงยิ่งกว่า ต้องบรรลุนิสัยซื่อสัตย์ยิ่ง ดีงามยิ่ง เมตตายิ่งและจริงแท้ยิ่ง

เมื่อมีซื่อสัตย์ยิ่ง ดีงามยิ่ง เมตตายิ่งและจริงแท้ยิ่งนี้แล้ว จึงจะกระตุ้นด้านที่สว่างที่สุดและดีงามที่สุดของความเป็นมนุษย์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์

ด้วยวิถีธรรมชาติเจิดจ้า ส่องสว่างทั่วหล้า ไม่อาจทนรับเงามืดแม้แต่น้อย

มีเพียงเช่นนี้ จึงจะสร้างกฎเกณฑ์ของใต้หล้า จึงจะวางรากฐานมั่นคงของสายบุ๋น จึงจะรู้แจ้งหลักการที่สรรพสิ่งต้องกล่อมเกลา

ส่วนผีสางเทวดานี้ กลับไม่ใช่ผีและเทวดาในตำนานเล่าขาน แต่เป็นการเรียกรวมบรรพบุรุษกับพลังยิ่งใหญ่แห่งธรรมชาติ

เทียบกับนักปราชญ์ของมนุษย์ ผีสางเทวดาย่อมลึกล้ำยากคาดเดากว่ามาก

วิถีรวมเป็นหนึ่งต้องการให้สรรค์สร้างอยู่ระหว่างฟ้าดินแต่ไม่ผิดทำนองคลองธรรม ได้รับข้อพิสูจน์เรื่องผีสางเทวดาแล้วต้องไม่มีข้อสงสัย

หลังจากรวบรวมข้อมูลและรู้แจ้งในผลงานรวมถึงหลักการของนักปราชญ์บนโลก ตลอดจนเข้าใจพลังยิ่งใหญ่แห่งธรรมชาติ รู้ทะลุปรุโปร่งจนนำมาเขียนได้โดยไม่ต้องนั่งนึก นั่นจึงจะบรรลุผีสางเทวดารวมเป็นหนึ่งกับนักปราชญ์

จากนั้นไม่ว่าเป็นการประพันธ์หรือการฝึกยุทธ์ ก็ล้วนเขียนได้ตลอดทั้งปัจจุบันและอดีต หมัดเท้าเตะต่อยทะลวงเหนือใต้

ถึงอย่างนั้น ปลายทางของวิถีรวมเป็นหนึ่ง ภายนอกรวมเป็นหนึ่งกับภายในดูเหมือนง่าย แต่เป็นด่านที่แม้แต่จันทราโปร่งเหลืองขั้นเจ็ดยังยากทะลวงโดยสิ้นเชิง

เพราะนี่ก็คือคัมภีร์กายใจรวมเป็นหนึ่งที่จางซู่ว่าไว้ วิธีต่างทว่านำไปสู่เป้าหมายเดียวกัน

เพียงแต่บัณฑิตรักในศักดิ์ศรี หากใช้คำแบบเดียวกันก็เป็นการยอมรับว่าด้อยกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่หรือ

แม้นับถือจางซู่เป็นนักปราชญ์ แต่ปรมาจารย์สายบุ๋นนับจากนั้นก็ต้องมีคุณูปการหน่อยถึงจะดีใช่หรือไม่

ในเมื่อไม่อาจตีแตกริเริ่มสิ่งใหม่ เช่นนั้นก็ได้แต่บิดคำบนตัวอักษรเล็กน้อย…

อย่างวิธีรวมภายนอกกับภายใน ก็คือภายนอกรวมเป็นหนึ่งกับภายใน ภายนอกและภายในสอดคล้องกับความบริสุทธิ์สัตย์จริง

อย่างการตระหนักรู้ในคุณธรรมรวมเป็นหนึ่งกับความประพฤติด้านศีลธรรม

อย่างความสำเร็จในตนรวมเป็นหนึ่งกับความสำเร็จนอกเหนือจากตนเอง

พูดตามตรงล้วนเป็นความหมายเดียวกัน ก็เหมือนคำว่าหุยในถั่วหุยเซียงมีวิธีเขียนสี่แบบ ไม่ว่าแบบใดถั่วหุยเซียงก็ยังหน้าตาเหมือนกัน รสชาติเดียวกัน

สุดท้ายขอบเขตที่บรรลุถึงก็คือการหมุนเวียนของตนกับวิถีธรรมชาติ ปรับสมดุลกันและกัน

ไม่ว่าอีกฝ่ายห้าวหาญเพียงใด ข้าก็ไม่มีทางพ่ายแพ้ เพราะข้าหลอมรวมในทุกสรรพสิ่งแล้ว

ทุกที่ไม่มีข้า ข้ามีอยู่ทุกที่

เทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ ความเข้าใจที่บัณฑิตมีต่อพลังมาจากชั่วชีวิตของสรรพสิ่ง หาได้ยืดมั่นอยู่กับการฝึกตนไม่

พวกเขาเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งล้วนมีพลัง

ต้องรวมเป็นหนึ่งกับพลังเล็กจ้อย และต้องรวมเป็นหนึ่งกับพลังยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ

พลังนี้แสดงถึงพลังแห่งธรรมชาติอันมีอยู่ตามความจริงและแสดงถึงพลังนามธรรมที่ไม่อาจจับต้องได้ อย่างเช่น จิตสังหาร ความหลักแหลม พลังชีวิต ความองอาจ และอีกมากมาย

เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเข้าใจที่พวกสายบุ๋นมีต่อพลังนั้นลึกซึ้งกว่าผู้ฝึกยุทธ์มาก

ตี๋เหว่ยไท่สามารถควบคุมดึงสิ่งของได้ คิดว่าต้องศึกษาบรรลุถึงขั้นสูงสุด ฝึกภายนอกรวมเป็นหนึ่งกับภายในสำเร็จแล้ว

ใจเกิดความคิดก็สามารถดึงพลังให้บรรลุผล

หากความคิดในใจยิ่งแข็งแกร่ง ดึงพลังเต็มที่กว่าเดิม ต่อให้ถมทะเลย้ายภูเขาก็อาจเกิดขึ้นได้ในหนึ่งความคิด

หลิวรุ่ยอิ่งใฝ่หาวิถีรวมเป็นหนึ่งอยู่บ้างเหมือนกัน อย่างไรวัตถุโบราณก็แยกขายให้ร้านตามคุณภาพ หนำซ้ำใต้หล้านี้คงมีไม่กี่สถานที่ที่ต้อนรับคนของกรมสอบสวน…

…………………………………………

[1] เอกชวด การนับเวลาระบบต้นฟ้ากิ่งดิน ทุกรอบที่วนกลับมาหาเอกชวดมีระยะเวลาหกสิบปี

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท