บทที่ 96 เต้าหู้แช่รังนก เป็นคนต้องถนอมความสุข-2
หลายครั้งคนเราเกิดสนใจคนคนหนึ่งหรือสถานที่หนึ่งขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
ความสนใจเช่นนี้อาจเป็นแค่ความกระหายที่อยากจะเข้าใจ
แต่ถ้ารักษาความกระหายนี้ไว้ได้ มันจะกลายเป็นความเคยชิน
ความเคยชินเช่นนี้ ผู้คนมักเรียกมันว่าความชอบ
ความชอบค่อยๆ สะสมเพิ่มพูน ก็จะกลายเป็นคำที่ธรรมดาทว่าคงอยู่ชั่วกาลคำหนึ่ง…ความรัก
การพบเจอและการจากลาทุกครั้งล้วนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
หลายครั้งดูเหมือนเกิดขึ้นเพราะเป็นเช่นนั้น ที่จริงเห็นเค้าลางตั้งแต่ช่วงเวลาในอดีต
โอวเสี่ยวเอ๋อเติบโตในตระกูลโอว ในวันเวลาที่ยาวนานเช่นนั้นย่อมมีความรักต่อการหลอมเหล็ก ดังนั้นตอนได้ยินว่าทางใต้มีร้านตีเหล็กจึงยากควบคุมตน ต้องไปดูให้เห็นถึงจะยอมเลิกรา
หากไม่มีเรื่องนี้เพิ่มขึ้นมา ทุกอย่างในภายหลังก็จะไม่เกิดขึ้น
ไม่เจอลู่หมิงหมิง ก็ไม่อาจคารวะเป็นอาจารย์
ไม่เจอมนุษย์แท่งน้ำแข็ง ก็ไม่นำมาซึ่งสงครามเลือด
ไม่เข้าศาล ‘พลานุภาพ’ ก็ไม่ได้เจอหน้ากากอสูรเขี้ยวยาว
ทุกสิ่งที่ดูเหมือนเกิดขึ้นฉับพลันและสมเหตุสมผลเหล่านี้ล้วนเป็นเพราะการอยากเห็นของโอวเสี่ยวเอ๋อ
ตอนนี้ ทังจงซงก็มองทางใต้แวบหนึ่งเหมือนกัน
แต่ความกระหายอยากของเขายังไม่มากพอ
ความกระหายอยากนี้ยังคงเป็นแค่ความอยาก
ยังห่างไกลจากการเปลี่ยนเป็นความชอบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความรัก
ดังนั้นเขาจึงมองแค่แวบเดียว ไม่ได้ไปดูให้รู้
แม้ยามนี้ร้านตีเหล็กว่างเปล่าไร้เงาคน แต่ศาลเจ้าแห่ง ‘พลานุภาพ’ นั่นยังอยู่ อาจเป็นเหตุการณ์แบบใดอีกก็ได้ แต่เขาก็พลาดไปเช่นนี้
กระทั่งระหว่างคนด้วยกันส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้…
หลายครั้งที่เจ้าคิดว่าใจตรงกัน อาจเป็นการเสแสร้งแกล้งทำของอีกฝ่ายทั้งหมดก็ได้
ใจสื่อถึงกันที่เจ้าคิด อาจเป็นผลลัพธ์จำเป็นที่อีกฝ่ายติดสินบนสหายสิบคนของเจ้า
การพูดคุยแลกเปลี่ยนทุกครั้งอาจเป็นบทที่เขียนไว้บนกระดาษแล้ว
ตอนแรกอาจจะยังจงใจทำเช่นนี้ หวังยืมสิ่งนี้สร้างความรู้สึกดี ให้มิตรภาพพัฒนาเร็วขึ้นหน่อย
แต่นานเข้า ก็ลืมวิธีทำตัวให้เป็นธรรมชาติแล้วว่าต้องทำอย่างไร
เพราะการตั้งใจเช่นนี้กลายเป็นความเคยชินแล้ว
ข้ารู้ว่าเจ้าชอบกินปลา แต่ข้ายังอยากสั่งหมูผัดเปรี้ยวหวาน
เพราะข้ารู้ว่าเจ้าชอบท่าทางที่ข้าพบว่าตัวเองลืมเรื่องบางอย่างแล้วทำอะไรไม่ถูกมากกว่า
ข้ารู้ว่าเจ้าชอบแต่ขนมของโถงวิบูลหยก และข้าก็ชอบกินมากเหมือนกัน
แต่ทุกครั้งที่พูดว่าจะซื้อขนม ข้ากลับเสนอความคิดอื่นที่ต่างออกไป
เพราะข้ารู้ว่าเจ้าชอบมองท่าทางที่ข้ายอมถอย
อย่างนี้จะติดเป็นนิสัย
เวลานานเข้าก็เอามาปนกันจนลืมว่าตัวเองกำลังทำสิ่งใด ถึงขั้นไม่แน่ใจว่าเป้าหมายของการทำเช่นนี้อยู่ที่ไหนกันแน่
กลายเป็นว่าทั้งหมดนี้ใช้แค่การเอาใจอีกฝ่ายและกดทับตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งความพึงพอใจจากความรู้สึกประสบผลสำเร็จเพียงอย่างเดียว
ทั้งที่ทังจงซงอยากไปดูทางใต้มาก ที่จริงความรู้สึกแท้จริงในใจเขาแทบไม่ต่างกับความรักแล้ว
แต่สภาพแวดล้อมและฐานะตลอดทั้งปีของเขาทำให้เขาเห็นการเก็บกดและทำลายตนเองเช่นนี้เป็นนิสัยที่จำเป็น
ไม่ว่าที่ไหนเมื่อไร อารมณ์ที่เกิดขึ้นชั่วขณะของตนล้วนต้องกำจัดทิ้ง
เพราะไม่มีวันสามารถให้คนอื่นเห็นตัวตนอันจริงและสัตย์ซื่อที่สุด ต้องแสดงตัวตนที่อยากแสดงหลังจากผ่านการปรุงแต่งอยู่เสมอ
ไม่ว่าเสเพลก็ดี เลือดร้อนก็ดี
ล้วนเป็นลายเส้นที่เขาตั้งใจร่างออกมา
แม้ทังจงซงดูเหมือนโดดเดี่ยวมาก ข้างกายมีแต่เผียวเจิ้งหงคนเดียวเสมอ
แต่ความจริงในใจเขาก็เหมือนคนหนุ่มสาวทั่วไป ล้วนช่างฝันและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
บางครั้งราบเรียบธรรมดา บางครั้งมีคลื่นนับหมื่นจั้ง
แต่ไม่ว่าตอนนี้เขามีอารมณ์อย่างไร ขอเพียงเอ่ยถึงการจากลา เขาจะต้องน้ำตาไหลอาบหน้าทันทีแน่นอน
จุดนี้ กระทั่งนักแสดงที่เก่งที่สุดในเมืองหลวงก็คงเทียบได้ยาก
เขารู้ถึงความจอมปลอมในน้ำตานี้ดี แต่ถ้าใช้มันปิดบังน้ำตาจากใจจริงหลังเขาดื่มสุราสามจอกได้ เช่นนั้นยังไม่น่ายินดีอีกหรือ
บัณฑิตจางในอดีตก็เป็นเช่นนี้ แต่หลังออกจากสำนักปากสอบ ความจอมปลอมบนเปลือกกายเหล่านั้นกลับค่อยๆ ลอกหลุดทีละชั้น
เขาย่อมมองออกถึงลูกไม้เด็กๆ เหล่านี้ของทังจงซงในแวบแรก แต่เขาก็ไม่ได้เปิดเผย
ตรงกันข้าม บัณฑิตจางปวดใจนัก
เพราะเขาเข้าใจความหมายและความทุกข์ยากที่ต้องรับจากการทำเช่นนี้
มีเพียงผ่านเรื่องราวแบบเดียวกันถึงจะเข้าใจกันได้อย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นจะเป็นแค่ความเห็นใจด้วยเจตนาดีเท่านั้น…
ทุกเรื่องล้วนโกหกได้ ทุกสิ่งล้วนขัดเกลาได้
แต่มีแค่ท้องหิวเท่านั้นที่เป็นเรื่องแน่นอน! แสร้งทำไม่ได้โดยแท้จริง…
ทั้งสองคนหนึ่งนำคนหนึ่งตามมาถึงทางเหนือที่หลิวรุ่ยอิ่งพลาดโอกาสไปต่อหน้าต่อตาแล้ว
มีแค่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งกับโรงอาหารแห่งหนึ่ง
โรงเตี๊ยมไม่ขายอาหาร โรงอาหารไม่มีที่พัก
ยังไม่ทันเข้าประตู ทังจงซงก็ได้กลิ่นเปรี้ยว พลันปลุกต่อมรับรสกับกระเพาะลำไส้ที่หลับใหลมานานของเขาให้ตื่น ช่างเป็นฝนตกยามแล้งโดยแท้ นับว่าเป็นเรื่องดียิ่ง!
“นี่คือกลิ่นอะไร”
ทังจงซงถาม
“เหมือนน้ำส้มสายชู…”
บัณฑิตจางกล่าว
“ไม่ ดูมีอะไรกว่าน้ำส้มสายชูเยอะ”
ทังจงซงเอ่ย
“ใช่ น้ำสมสายชูไม่ได้เข้มข้นขนาดนี้”
บัณฑิตจางกล่าว
“แม้เข้มข้นทว่าสดชื่น ไม่ซับซ้อนสักนิด”
ทังจงซงกล่าว
“ในความสดชื่นยังทำให้คนอดใจไม่ไหวเล็กน้อย…กลิ่นนี้เย้ายวนใจสิบส่วน!”
บัณฑิตจางกล่าว
พวกเขาเดินตามกลิ่นเลียบทางเล็กข้างโรงอาหารไปด้านหลัง
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังใช้ตะหลิวเหล็กคนในกระทะเหล็กหล่อสีดำใบใหญ่ไม่หยุดมือ
ข้างเตาถ่านยังวางถังไม้ไว้ถังหนึ่ง
เขาตักของเหลวสีเหลืองอ่อนกระบวยหนึ่งจากในนั้นเทใส่กระทะบ่อยครั้ง
กลิ่นเปรี้ยวเย้ายวนใจส่งมาจากในกระทะนี้เอง
“สั่งข้าว?”
ชายคนนั้นเห็นทั้งสองแล้วเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก จากนั้นสะบัด
ทังจงซงเห็นสองสามเม็ดร่วงลงกระทะกับตา…
“อยาก…กินข้าว!”
เมืองเล็กห่างไกล ไม่มีระเบียบพิธีรีตองอะไรมาก
หิวก็กิน กระหายก็ดื่ม ไม่มีก็สั่ง
ไม่มีเสี่ยวเอ้อร์ที่เดินไปมาดุจพายุ ก้มหัวนอบน้อมเรียกเจ้าว่าลูกค้าอย่างในเมืองโดยสิ้นเชิง
“อยากกินอะไร ธรรมดาทำได้หมด ของหรูหราไม่มี”
ชายคนนั้นกล่าว
บัณฑิตจางบุกเหนือล่องใต้เพื่อตามหาลูกศิษย์จนเคยเห็นทุกอย่างแล้ว
บางร้านอาศัยขายอยู่อย่างเดียว
และบางร้าน ก็เหมือนร้านนี้ เรียกว่ากินทั่วฟ้า[1]
กระทั่งรายการอาหารยังไม่มี สั่งอันไหนทำอันนั้น ทำได้ก็ทำ ทำเสร็จก็กิน
“ที่เจ้าทำคืออะไร”
บัณฑิตจางกล่าวพลางชี้กระทะเหล็กใบใหญ่
“เต้าหู้…เต้าหู้รังนก”
ชายคนนั้นกล่าว
ทังจงซงเห็นของรูปร่างประหลาดแช่อยู่ในถังไม้ใบนั้น จึงเข้าไปดู
“รังนกอยู่ไหน”
เขาเอ่ยถาม
ชายคนนั้นชี้ถังใบนั้น ไม่เอ่ยคำใดอีก
ทังจงซงถึงได้เห็น ‘รังนก’ สภาพสมบูรณ์สองสามรังที่แช่อยู่ในถังไม้อย่างชัดเจน
เพียงแต่รังนกนี้ไม่ใช่รังนกนั้น
มันคือบ้านนกหน้าโรงอาหารของแท้ รังนกที่ทำจากกิ่งไม้ ฟางข้าวสาลี เศษผ้าขาดและอื่นๆ
“นี่กินได้?”
ทังจงซงเอ่ยถาม
“ไม่ได้บังคับเจ้ากิน”
ชายคนนั้นตอบประโยคหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์
“นั่งรอข้างหน้า ต้องทำอีกครึ่งชั่วยาม!”
ชายคนนั้นกล่าว
ทั้งสองจนปัญญา มองไปมาในโถงด้านหลังนี้ก็มีแค่เขาเป็นพ่อครัวคนเดียว ได้แต่กลับไปรอด้านหน้าอย่างว่าง่าย
…………………………
หลิวรุ่ยอิ่งจำศพบนพื้นได้
ที่จริงไม่มีใครจำไม่ได้
สัญลักษณ์นี้ชัดเจนถึงขั้นต่อให้เดินผ่านเขาแค่ครั้งเดียวก็จำได้ไม่ลืม
เครื่องแบบขาวดำสองสี เนื้อหนังที่เผยอยู่ด้านนอกล้วนพันรอบด้วยผ้าพันขาวดำทั้งหมด
เพียงแต่หมวกสานขาวดำบนหัวรวมถึงผ้าโปร่งบางขาวดำที่ห้อยลงมากับศีรษะกลายเป็นสองซีกเหมือนกัน
สองถึงหก เบญจลักขี
วันซาน ฟางซื่อ เตาอู่ ฮวาลิ่วสี่คนที่เหลือในตอนนี้อยู่กันหมด
คนที่ตายไม่ใช่เหลี่ยงเฟินแล้วจะเป็นใคร
เหลี่ยงเฟินผู้นำของเบญจลักขี ตายอย่างน่าเวทนาอยู่ข้างแม่น้ำไหลสี่ฤดูหนึ่งในสิบฉากมหัศจรรย์ของหอทรงปัญญาเช่นนี้
นี่เป็นเรื่องใหญ่สะเทือนใต้หล้าแล้ว
“นายกองหลิวคิดเห็นอย่างไร”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ยถาม
สีหน้าน้ำเสียงเรียบนิ่ง
เหมือนคนที่ตายไม่เกี่ยวกับเขาสักนิด
หลิวรุ่ยอิ่งหาความหดหู่ในแววตาเขาไม่เจอแม้แต่น้อย
คล้ายสิ่งที่ตายไม่ใช่คนโดยสิ้นเชิง แต่เป็นผิงกั่ว (แอปเปิล) ผลหนึ่งที่สุกงอมแล้วร่วงจากต้นไม้ลงมาเละเทะ
แต่ถึงเป็นผลไม้ที่ร่วงเละเทะผู้คนเห็นแล้วก็จะแสดงท่าทีออกมา
ไม่รังเกียจก็เสียดาย
ไม่มีใครเยือกเย็นเช่นนี้แน่นอน
ความเป็นไปได้แบบนี้มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือเขารู้ต้นสายปลายเหตุทั้งหมดอยู่แล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งจึงไม่ได้เอ่ยคำใด
เขากำลังรอคำพูดต่อไปของตี๋เหว่ยไท่
รอคำที่เขาอยากพูดจริงๆ ไม่ใช่คำพูดเป็นพิธีมีมารยาทนี้
“ข้างตัวศพ พบกระบี่เล่มหนึ่ง”
ตี๋เหว่ยไท่ชี้บนพื้นกล่าว
“กระบี่ของจิ่วซานปั้น”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
นี่ทำให้ตี๋เหว่ยไท่เหล่มองเล็กน้อย
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้เห็นกระบี่ แต่เขากลับพูดอย่างมั่นใจว่าเป็นกระบี่ของจิ่วซานปั้น
เหตุใดเขาถึงแน่ใจเช่นนี้
แม้แต่โอวเสี่ยวเอ๋อก็ไม่รู้
“ถูกต้อง เป็นกระบี่ของจิ่วซานปั้น”
ตี๋เหว่ยไท่สั่งให้คนหยิบเศษชิ้นกระบี่ยาวของจิ่วซานปั้นมา
สีฟ้าอ่อนแวววาว ทุกชิ้นจัดวางอยู่ในกล่องผ้า อยู่ใต้แสงแดดอ่อนแล้วดูงดงามเป็นพิเศษ
บนเศษชิ้นส่วนมีรอยเลือดเล็กน้อย
ในประกายระยิบระยับยังผสมด้วยเสน่ห์และความแปลกประหลาด
“เป็นกระบี่ของเขาจริง”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
“เขาคงหายตัวไปแล้วกระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
แม้เป็นประโยคคำถาม กลับเป็นน้ำเสียงแน่ใจ
“เป็นเช่นนั้นจริง ถึงได้ส่งคนเชิญนายกองหลิวมาคิดแผนรับมือ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
เขาพยักหน้าเล็กน้อย คล้ายกำลังขอโทษที่รบกวนหลิวรุ่ยอิ่งกับเซียวจิ่นข่านพูดคุยกันด้วยความรีบร้อนเช่นนี้
“ท่านประมุขหอไม่ต้องมากพิธี หากมีเรื่องจำเป็น ข้าน้อยย่อมอุทิศตนด้วยชีวิต”
หลิวรุ่ยอิ่งประสานมือคารวะกล่าว
“คนที่เจ้าพามาสังหารพี่ชายข้า! หนี้ชีวิตชดใช้ด้วยชีวิต ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องจัดการให้ข้า!”
ฮวาลิ่วกล่าวพลางชี้หลิวรุ่ยอิ่ง
ขอเพียงปลายนิ้วนั้นมาข้างหน้าอีกชุ่นหนึ่งก็แตะถึงจมูกหลิวรุ่ยอิ่งได้แล้ว
แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่กะพริบหนังตาแม้แต่ครั้งเดียว จากนั้นกล่าวอย่างเหมาะสม
“ข้าบอกแล้ว หากมีเรื่องจำเป็น ย่อมอุทิศตนด้วยชีวิต”
“สามหาว! นายกองหลิวเป็นตัวแทนกรมสอบสวน กรมสอบสวนแบกรับความสงบในใต้หล้า ซื่อตรงยุติธรรม! จะให้เจ้าพูดจาเรื่อยเปื่อยที่นี่ได้อย่างไร! ยังไม่รีบกลับไปอีก!”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
แม้ดูสงบเยือกเย็นดังเดิม แต่ในคำพูดกลับใช้พลังปราณวิชาคลื่นเสียงที่เลิศล้ำยิ่ง!
ฉับพลันมีเลือดสดไหลออกจากในหูของฮวาลิ่วสองกระทอก…
เห็นสองคนร่วมมือแสดงเข้าคู่เป็นหน้ากากขาวหน้ากากแดงเช่นนี้ หลิวรุ่ยอิ่งก็หัวเราะเยาะอยู่ในใจ
‘ตี๋เหว่ยไท่ลงมือโหดเหี้ยมดังคาด…ด้านนี้ศพของเหลี่ยงเฟินอยู่ตรงหน้ายังเย็นไม่ถึงขีดสุด ด้านนั้นก็ใช้คุณธรรมของกรมสอบสวนลากตนเข้าทำร้ายฮวาลิ่ว’
หลิวรุ่ยอิ่งคิดในใจ
“แผลเกิดจากวิชากระบี่จริงๆ”
หลิวรุ่ยอิ่งย่อตัวลงตรวจสอบบาดแผลของเหลี่ยงเฟินอย่างละเอียดแล้วกล่าว
เขาเห็นส่วนเปิดของกะโหลกสองด้านมีเศษกระบี่ยาวของจิ่วซานปั้นปะปนอยู่เยอะมาก
สีฟ้าใสนั้นดูชัดเจนเป็นพิเศษในรอยแผล
“หลักฐานแน่นอนแล้ว จะเอาอะไรอีก…”
วันซานที่ไม่เคยพูดมาก่อนเปิดปากกล่าวในที่สุด
“ฆ่าคนต้องมีแรงจูงใจ ข้าไม่คิดว่าจิ่วซานปั้นมีแรงจูงใจฆ่าคนแต่อย่างใด”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
คราวนี้ทุกคนล้วนจมสู่ความเงียบ…
หากพูดถึงแรงจูงใจ แรงจูงใจของลู่หมิงหมิงหรือหลิวรุ่ยอิ่งยังมากกว่าหน่อย จิ่วซานปั้นผู้นี้เหมือนกระโดดออกมาจากซอกหิน[2]ไม่มีผิด พริบตาเดียวจะมีความแค้นใหญ่โตกับเหลี่ยงเฟินถึงขั้นไม่ตายไม่หยุดได้อย่างไร
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นในกล่องผ้าอีกใบ ใส่หมากดำที่กองเหมือนภูเขาเล็กลูกหนึ่งไว้ด้วย นี่ก็เป็นเค้าลางที่เคยเกิดการต่อสู้อย่างไม่ต้องสงสัย
ภาระงานเร่งด่วน ต้องรีบหาจิ่วซานปั้นให้พบถึงจะแน่ชัดว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
………………………………………..
[1] กินทั่วฟ้า หมายถึงทำได้หลายอย่าง มีลู่ทางหาเงินเยอะ
[2] กระโดดออกมาจากซอกหิน เดิมหมายถึงซุนหงอคงออกมาจากก้อนหิน สื่อถึงที่มาที่ไปไม่ชัดเจน