บทที่ 114 ไม่ทำลายไม่อาจสร้าง-1
ในเมืองจิ่งผิง
ฮั่ววั่งกับเยี่ยเหว่ยกำลังยืนล้อมหม้อดำใบใหญ่
ห่านป่าขาเป๋ที่ก่อนหน้านี้ไปไหนไม่รู้ ตอนนี้กำลังบินขึ้นลงอย่างเร่งร้อน
หม้อดำใบใหญ่ไม่มีฝาปิด
กลิ่นหอมลอยตามไอน้ำออกมาเป็นสาย
คนส่วนใหญ่ในเมืองล้วนได้กลิ่นหอมตามลมนี้
พวกเขาไม่รู้เยี่ยเหว่ยที่เฉื่อยชามาตลอดโดนลมอะไร เหตุใดถึงทำของเลิศรสเช่นนี้
คนทั้งหลายดมกลิ่นหอมแล้วมาร้านอาหารพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ทยอยโผล่ศีรษะมองหม้อดำใบใหญ่ตาปริบๆ
พวกเขาย่อมไม่รู้จักฮั่ววั่ง
แต่คนแปลกหน้าคนหนึ่งแยกแยะหน้าได้ง่ายทีเดียว
หนำซ้ำเครื่องแต่งกายของฮั่ววั่งยังใกล้เคียงกับท่านบัณฑิตในหอทรงปัญญาเหล่านั้น คิดว่าเป็นบุคคลสำคัญแน่นอน
“ไปหยิบตะเกียบเอาเอง เสร็จแล้วเดี๋ยวกินด้วยกัน!”
เยี่ยเหว่ยปัดมือพลางกล่าวกับกลุ่มคนตรงหน้าประตู
เพิ่งสิ้นเสียงพวกเขาก็กระจายตัวพร้อมกัน แย่งไปหยิบตะเกียบในกล่องตะเกียบที่โถงด้านหน้า
แม้เด็กน้อยบางคนตัวเล็กเบียดผู้ใหญ่ไม่ได้ แต่อาศัยจุดนี้ลอดหว่างขาผู้ใหญ่ไปมาได้พอดี
พอโผล่หัวก็อยู่ข้างโต๊ะ เอื้อมมือถึงตะเกียบคู่หนึ่ง
เร็วกว่าผู้ใหญ่ที่แย่งกันไปมาเหล่านั้นมากนัก
“ข้าไม่ได้กินหม้อไฟมานานแล้ว”
ฮั่ววั่งกล่าว
“ตอนนี้การกินเจ้าพิถีพิถันขนาดไหน”
เยี่ยเหว่ยถาม
นึกถึงตอนพวกเขาเดินทัพจากใต้ไปรบเหนือในยามแรก ทุกมื้อของวันล้วนอาศัยทำจากหม้อดำใหญ่ใบหนึ่ง
ไม่ว่าเป็นอะไร ขอแค่เติมน้ำต้มจนเดือด โยนของใส่ในนั้นแล้วต้มให้สุกก็พอ
ยามนั้นใครจะมีเวลาใส่ใจรสชาติอะไรอีก
หากน้ำแกงโคลนเติมท้องอิ่มได้ ไม่แน่แผ่นดินทั้งผืนอาจถูกกินไปชั้นหนึ่ง
มีครั้งหนึ่ง เยี่ยเหว่ยจับไก่เป็นตัวหนึ่งมาจากไหนไม่รู้
เขาซ่อนไก่ไว้ในอกตลอดทาง ยังใช้มือบีบปากมันไว้แน่นเพื่อไม่ให้ไก่นั่นร้อง
นึกไม่ถึงพอกลับค่ายไก่ก็ขาดอากาศหายใจตายแล้ว
เดิมเยี่ยเหว่ยอยากพุ่งไปอวดฮั่ววั่ง คราวนี้ทำเอาหมดอารมณ์
เขาเก็บไก่ไว้อย่างดี คิดตุ๋นกินตอนกลางคืน กินเสร็จจะได้หลับสบายสักตื่น
ผลคือเกิดสถานการณ์รบกะทันหัน เขาจำต้องสวมเกราะลงสนาม
ตอนกลับมาอีกรอบ ฮั่ววั่งกำลังแคะฟันด้วยกระดูกไก่ชิ้นเล็กยิ่งอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
ที่เหลือไว้ให้เยี่ยเหว่ยมีแค่ขนไก่เต็มพื้น
เยี่ยเหว่ยจำเรื่องนี้ได้จนถึงตอนนี้
ถึงขั้นยังทำให้เขาโมโหแทบตายทุกครั้งที่นึกถึง
พอโมโห เขาก็จะดื่มเหล้า
แต่ส่วนใหญ่ยิ่งดื่มยิ่งโมโห
เยี่ยเหว่ยอยากให้อารมณ์ของตนสงบลง
ระหว่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาก็ดื่มเหล้าสิบวันแล้ว
โดยเฉลี่ยเขาจะนึกถึงเรื่องนี้เดือนละครั้ง ดังนั้นที่เขาดื่มเหล้าสิบวันต่อเดือนก็เพราะเช่นนี้
ความจริงเขาโมโหเสียที่ไหน
เขาแค่คิดถึงช่วงเวลาในตอนนั้น
หรือต้องบอกว่า เขาคิดถึงฮั่ววั่งเหลือเกิน
เพียงแต่เขาไม่เคยยอมรับ คิดถึงแค่ไหนก็จะไม่พูด
ตอนนั้นตนบอกว่ายี่สิบปีก็ต้องยี่สิบปี
หากรีบไปแต่เนิ่นยิ่งไม่ทำให้ฮั่ววั่งล้อเลียนหรอกหรือ
เขายอมให้ตัวเองไม่สบายใจดีกว่าถูกฮั่ววั่งหัวเราะเยาะ
บัดนี้เห็นฮั่ววั่ง เห็นของที่ต้มในหม้อใบนี้ เขาจึงนึกถึงเรื่องไก่ตัวนั้นขึ้นมาอีก
แต่ตอนนี้เยี่ยเหว่ยไม่อยากดื่มเหล้าสักนิด กลับอยากร้องไห้
“ท่านใส่พริกในน้ำแกงนี้เยอะเกินไปแล้ว ไอควันรมจนข้าแสบตา!”
ฮั่ววั่งพูดจบก็หันหน้าออกไปจากโถงด้านหลัง
ฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องจะทนพริกเข้าตาไม่ไหวหรือ
เยี่ยเหว่ยไม่เชื่อ
แต่ในเมื่อฮั่ววั่งพูดเช่นนี้ เขาก็ฟังตามนั้น
“ข้าต้มไก่ก่อน!”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“ได้”
ฮั่ววั่งตอบรับอยู่ไกลๆ
“ไก่ตัวนี้ข้าจะกินเองทั้งหมด!”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“ไม่มีปัญหา”
ฮั่ววั่งกล่าว
“ใจกว้างขนาดนี้เชียว? ไม่อยากให้ข้าเหลือตูดไก่ไว้ให้เจ้าหรือ”
เยี่ยเหว่ยยิ้มกล่าว
“เพราะข้าคือติ้งซีอ๋อง ข้าเลยเอาไก่มาสองตัว!”
ฮั่ววั่งหันมากล่าวพลางยื่นมือทำท่าประกอบ
………………………..
ในหอทรงปัญญา บ้านหลิวรุ่ยอิ่ง
นัยน์ตาเขาฉายแววหดหู่ชั่วขณะ
นั่นคือความรู้สึกไร้พลังอย่างยิ่งต่อความเป็นจริง
ชายชุดขาวพูดว่า ‘ถ้า’
เพราะเขามีความน่าจะเป็นนั้นจริง
หลิวรุ่ยอิ่งพูดว่า ‘ถ้า’ ไม่ออก
เพราะเขาไม่มีแผนรับมือใดจริงๆ
หากชายชุดขาวถือดาบเดี่ยวมือซ้ายดังเดิม หลิวรุ่ยอิ่งยังใช้การปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์เมื่อครู่ของตนมาป้องกันได้ระยะหนึ่ง
ต่อให้ไร้ประโยชน์เพียงใดก็หยัดสู้ได้สักพัก
ต้องทราบว่านี่ไม่ใช่พื้นที่รกร้างหรือตรอกเล็กไร้ผู้คนแต่อย่างใด
ที่นี่คือหอทรงปัญญา
เป็นบรมครูแห่งบุ๋นในใต้หล้า
เป็นที่อยู่ของตี๋เหว่ยไท่ตะวันแพรทองขั้นแปด
ไม่พูดถึงใต้หล้า อย่างน้อยก็คงเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในหอทรงปัญญา
แต่หลิวรุ่ยอิ่งเข้าใจหลักความมืดใต้ตะเกียงเป็นอย่างดี
ชายชุดขาวก็เข้าใจดีเหมือนกัน
ทว่าสิ่งที่อันตรายที่สุดไม่ใช่ใต้ตะเกียงมืดหรือไม่ หรือมืดเพียงใด
แต่เป็นตะเกียงดวงนี้วางอยู่ตรงไหน
หากตะเกียงวางไว้ที่วังติ้งซีอ๋อง เช่นนั้นต่อให้ยืนอยู่ข้างกายฮั่ววั่งก็ไม่ปลอดภัย
หากตะเกียงวางไว้ที่กรมสอบสวนกลาง เช่นนั้นต่อให้กินข้าวตรงข้ามเว่ยฉี่หลินก็อาจถูกวางยาพิษตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลิวรุ่ยอิ่งคิดได้ฉับพลัน ยังมีจุดหนึ่งน่ากลัวกว่าตัวตะเกียง
นั่นก็คือคนถือตะเกียง
แท่นตะเกียงในห้องไม่มีขา มันวิ่งสะเปะสะปะเองไม่ได้
หากไม่มีคนขยับ มันก็ตั้งอยู่มุมกำแพงปีแล้วปีเล่า
แต่ถ้ามีมือคนจงใจขยับหรือถึงขั้นเป่าตะเกียงดับ เช่นนั้นเหตุการณ์ก็ต่างกันมากโข
ความมืดใต้ตะเกียงมืดอยู่แค่ใต้ตะเกียง แต่ดับตะเกียงแล้วย่อมมืดทั้งห้อง
ชายชุดขาวปิดประตูหลังจากหลิวรุ่ยอิ่งเข้ามาก็เพื่อให้ห้องนี้กลายเป็นสถานที่ที่มืดสนิททั่วทั้งผืน
ไม่มีใครรู้ว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้น
ทุกคนได้แต่เห็นผลลัพธ์
แต่ผลลัพธ์ไม่อาจเปลี่ยนแปลง
เป็นความสิ้นหวังที่สุดในโลกเหมือนคำว่า ‘ถ้า’
ทุกขีดล้วนแฝงไว้ด้วยความสำนึกเสียใจ โอดครวญเศร้าสร้อย
ความผิดพลาดที่ไม่มีวันลืมรวมถึงความเห็นแก่ตัวจากใจตน
หนำซ้ำคนตายไม่มีกระทั่งโอกาสที่จะพูดคำว่า ‘ถ้า’
นี่ก็คือสาเหตุที่หลิวรุ่ยอิ่งหดหู่
ตอนนี้ความมืดสว่างนอกห้องไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว
ไม่ว่าเป็นฝนเทกระหน่ำหรือแสงแดดเจิดจ้า
ล้วนไม่อาจเปลี่ยนแปลงบรรยากาศและสถานการณ์ใดในห้องได้
สถานการณ์ที่พร้อมสละชีพ บรรยากาศที่มีจิตสังหารทุกย่างก้าว
หลิวรุ่ยอิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้ววางกระบี่ในมือลง
“ทำไม ถอดใจแล้ว?”
ชายชุดขาวถือดาบคู่พลางเอ่ยถาม
หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหน้า มองกระบี่ดาราในมืออย่างเงียบงัน
“ข้าไม่ได้ถอดใจ แต่ไม่รู้ว่าควรหยัดสู้อย่างไรเหมือนกัน”
“เจ้าเป็นคนรู้ตัวเองดีทีเดียว”
ชายชุดขาวกล่าว
“เพราะข้าไม่อยากเป็นคนน่าชัง”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“คนมักเรียกร้องจากคนอื่นมากเกินอย่างไม่อาจเลี่ยง แต่มักประเมินตัวเองผิดได้ง่าย ถ้าไม่ประเมินสูง ก็ประเมินต่ำ”
ชายชุดขาวกล่าว
“ข้าประเมินตัวเองแม่นยำมาตลอด”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“เจ้าจึงแน่ใจว่าตัวเองเอาชนะข้าไม่ได้”
ชายชุดขาวกล่าว
“หากเจ้าใช้ดาบเล่มเดียว ข้ายังพอมีแรงสู้ แต่ตอนนี้ไม่มีโอกาสชนะสักนิดเดียว”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“เจ้าจึงมีอะไรอยากถามข้า”
ชายชุดขาวกล่าว
“ถูกต้อง”
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
“และยังเป็นคำถามซ้ำซาก”
ชายชุดขาวกล่าวต่อ
“ถูกต้อง”
หลิวรุ่ยอิ่งเก็บกระบี่กลับเข้าฝัก
“ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แล้วว่าเป็นคำถามซ้ำซาก เช่นนั้นก็ต้องรู้ว่าข้าจะไม่ตอบ”
ชายชุดขาวกล่าว
“ข้าจึงคิดแค่ในหัว ไม่ได้ถามออกไป”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“แต่ข้ายังอยากลองดู”
หลิวรุ่ยอิ่งดึงกระบี่ออกมาอีกครั้ง
คราวนี้เขาดึงออกอย่างเชื่องช้า
ช้าจนพอให้ฤดูใบไม้ผลิข้ามหน้าร้อนไปสู่ฤดูใบไม้ร่วง
ชายชุดขาวเผยแววตาชื่นชม
เขารู้สึกตัวเองไม่ได้มองผิดไป
คนที่ซื่อสัตย์จริงใจต่อสหายคนหนึ่งไม่มีทางทอดทิ้งตัวเองเช่นนั้น
เขาต้องสู้แน่นอน
แม้ขั้นตอนนี้เกี่ยวเนื่องกับความตกต่ำอย่างไม่อาจเลี่ยงอยู่บ้าง
แต่สุดท้ายยังคงกลับมาบนวิถีที่เคยอยู่
การเก็บกระบี่เมื่อครู่ จนถึงชักกระบี่อีกครั้งในตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้
ฉับพลันนั้น
หลิวรุ่ยอิ่งเหยียดกระบี่แทงตรง
กระบี่นี้เป็นการปะทุของพลังจากกายหยาบล้วนๆ
จากเอ็นร้อยหวายถึงขาค่อยถึงหลัง เชื่อมโยงแขนขวาและแทงออกหนึ่งกระบี่
ปลายกระบี่ชี้ตรงปลายจมูกใต้ผ้าคลุมหน้าชายชุดขาว
ไม่มีลูกไม้ใด ไม่มีกระบวนท่าหลอกแม้แต่น้อย
แทงเข้าไปเช่นนี้
ชายชุดขาวคลุมหน้าอยู่ หลิวรุ่ยอิ่งเห็นสีหน้าเขาไม่ชัด
แต่เขารู้สึกได้ว่าชายชุดขาวเหมือนกำลังยิ้ม
การยิ้มนี้ไม่ใช่ทั้งเยาะเย้ยและเหยียดหยัน แต่เป็นการปลอบโยนอย่างหนึ่ง
ไม่รู้เขาปลอบตัวเองหรือปลอบหลิวรุ่ยอิ่ง
กระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งใกล้ขึ้นแล้ว
ห่างกับปลายจมูกของเขาไม่ถึงสามฉื่อ
ชายชุดขาวพลันพลิกข้อมือ
ดาบยาวสองเล่มตัดกันซ้ายขวาอยู่ตรงหน้า รูปร่างเหมือนกรรไกรเล่มหนึ่ง หนีบตัวกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งไว้อย่างแน่นหนา
ยามนี้ ปลายกระบี่ห่างจากปลายจมูกเขาไม่เกินหนึ่งชุ่น
กลับถูกหยุดไว้อย่างมั่นคง เดินหน้าถอยหลังไม่ได้สักนิด
ยามนี้ อินหยางสองขั้วในกายหลิวรุ่ยอิ่งปล่อยพลังบริสุทธิ์มหาศาลทะลักออกมาตามเส้นลมปราณส่งถึงแขนขวาของเขาที่ถือกระบี่
พลังมหาศาลกลุ่มนี้ไกลเกินขีดจำกัดที่เขารับไหว
ความเจ็บปวดที่ส่งจากเส้นลมปราณเหมือนมีดเล็กนับพันหมื่นเล่มกรีดแทงไปมาอยู่ในเลือดเนื้อ
แต่แขนขวาเขากลับมั่นคงดุจเขาไท่ซาน นิ่งไม่ขยับเขยื้อน
กระทั่งพลังปราณกลุ่มนี้เทเข้ากระบี่ดาราทั้งหมด หลิวรุ่ยอิ่งจึงถอนจิตและปล่อยให้มันปะทุระเบิด
เสียงดังครั่นครืน!
ดาบคู่ของชายชุดขาวถูกแยกออกด้วยพลังปราณที่ปะทุออกจากตัวกระบี่ด้านซ้ายขวาของกระบี่ดารา
พันธนาการที่ตรึงกระบี่ดาราไว้ถูกทำลายแล้ว
ชั่วพริบตา ปลายกระบี่ก็ดันเข้าไปอีกกว่าหนึ่งชุ่น
‘ติง!’
เป็นเสียงใสกังวานอีกครั้ง
เหมือนเสียงตอนชายชุดขาวตบหน้าตัวเองก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
เพียงแต่เสียงกังวานนี้เงียบสงัดกว่าคราวก่อน
หากบอกว่าเสียงฝ่ามือนั้นฟังชัดเหมือนเสียงอ่านตำรา เช่นนั้นเสียงนี้ก็เหมือนคู่รักกระซิบคำหวานตอนแอบอิงกันในป่าไผ่ยามโพล้เพล้
ไม่ได้รุนแรงฮึกเหิม แต่เปลี่ยนส่วนคมเป็นไร้รูปในความนุ่มนวล
“นี่มัน!”
ม่านตาของหลิวรุ่ยอิ่งหดลงฉับพลัน
ตรงหน้าชายชุดขาวไม่มีสิ่งกำบังใดแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรกระบี่ดาราก็ไม่อาจเข้าไปได้อีก
“เทพบริราชเก้าทวีป…”
หลิวรุ่ยอิ่งพึมพำกับตัวเอง
……………………………………….