ชักใย ชายคนนี้พูดเรื่องอะไรกัน? วาคาดะ ซายูริเอียงคออย่างฉงน อีกฝ่ายไม่ปล่อยให้เด็กสาวถาม โนอาได้ใช้มือแตะไปที่หน้าผากของตัวเอง ก่อนจะเปล่งเสียงนุ่มลึก
“ว่ากันว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เกิดมาเท่าเทียมกัน แต่มนุษย์บางจำพวกก็เกิดมาพิเศษกว่าคนอื่นมากนัก”
น้ำเสียงของโนอาดูเคร่งขรึม จริงจัง แต่ขณะเดียวกันก็ดูสงบและเยือกเย็น
“พระเจ้ามองว่าคนพวกนั้นเป็นดั่งลูกรักของตน ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ใช่แล้ว ด้วยความที่ผมพิเศษกว่าคนอื่นๆ ผมจึงรับรู้ถึงความผิดปกติรอบๆ ตัวคุณได้ในทันทีที่มอง”
ไอ้หมอนี่มันเพ้อเจ้ออะไรของมัน ยูริยังคงฉงน
ตกลงว่าไอ้หมอนี่นอกจากจะดูลึกลับแล้วยังเบียวอีกด้วยงั้นหรือ? แบบพวกที่ชอบคิดว่าตัวเองเป็นตัวเอกของโลกใบนี้ จุดศูนย์กลางของความวุ่นวายทั้งมวลหรืออะไรแบบนั้น
“ช่วงนี้คุณรู้สึกบ้างไหมว่าความบังเอิญต่างๆ เกิดขึ้นรอบตัวคุณมากเกินไป ไม่ว่าคุณจะพยายามทำอะไรทุกๆ อย่างมันก็ดูออกมาดั่งใจหมด”
คำพูดนั้นทำให้เด็กสาวฉุกคิดขึ้นมา ถ้าเกิดว่าจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูดล่ะ ในโลกที่มีเวทมนตร์ สิ่งเหนือธรรมชาติและพลังลึกลับ บางทีอาจจะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายบอกก็ได้
ความบังเอิญ…
เมื่อคิดถึงจุดนั้น ร่างของเด็กสาวก็พลันเย็นวาบขึ้นมา ความทรงจำของเหตุการณ์ต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาในหัว
ความทรงจำในช่วงสองสัปดาห์ก่อน ตอนที่เธอกำลังคิดหาวิธีในการเดินทางมายังเมืองรัตติกาลอีกครั้ง และมิสเตอร์ไบรอันก็บังเอิญติดเชื้อวัณโรคตายจนทำให้เธอต้องเดินทางมาที่นี่
ความบังเอิญตอนที่เธอไปซื้อของที่ตลาดและได้รับมีดมาจากพ่อค้าขายมีดและมันบังเอิญเหลือเล่มสุดท้ายพอดี
ความบังเอิญตอนที่เธอกำลังจะเดินทางไปยังเขตสลัมแล้วเจอกับรถม้าของมาร์คัส
ความบังเอิญตอนที่เธอดันไปเจอกับเด็กไร้บ้านสองคนนั้นพอดี แถมอีกฝ่ายยังมาหาเธอด้วยตัวเองอย่างจงใจ
ทั้งหมดนั่นคือเหตุการณ์ที่ถูกใครบางคนกำหนดเอาไว้แล้วอย่างงั้นหรือ?
เมื่อคิดไปคิดมาความบังเอิญพวกนั้นมันก็น่าเหลือเชื่อจนเกินไปจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นเรื่องบังเอิญด้วยซ้ำ
ราวกับตระหนักได้ว่าสีหน้าของตนซีดเผือดเพียงใด เด็กสาวพยายามทำใจให้เย็นลง ก่อนจะพูดกับโนอาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
ความหวาดกลัวบางอย่างเกาะกินหัวใจ มันคือความกลัวในสิ่งที่ตนไม่รู้และไม่เข้าใจ
“คุณ—คุณเห็นอะไรในตัวของฉันกันแน่”
เธอตระหนักได้ว่าเสียงของตนนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเพียงใด แต่เธอไม่สามารถทำใจให้สงบได้ในสถานการณ์แบบนี้เลย
อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกและสบายหูราวกับจะสะกดให้ใจเย็นลง
“เส้นด้ายสีทองนับไม่ถ้วนพันแขนพันขาของคุณ ขณะที่กรรไกรสีเงินและขาวพยายามจะตัดเส้นด้ายพวกนั้น”
น้ำเสียงของชายหนุ่มทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาดราวกับมีเวทมนตร์บางอย่างเลยล่ะ
“กรรไกรและด้ายต่างต่อสู้กันเองและยังไม่มีฝั่งไหนได้รับชัยชนะ”
“ด้ายคือสิ่งที่พยายามควบคุมคุณอยู่ ส่วนกรรไกรคือพลังบางอย่างของผู้ปรารถนาดีที่จะตัดการควบคุมเหล่านั้น”
วาคาดะ ซายูริตัวสั่นเทา
อย่าบอกนะว่าที่ผ่านมาเธอไม่เคยทำอะไรด้วยเจตจำนงของตัวเองเลย แล้วที่เธอตัดสินใจเดินทางไปยังเขตสลัมนั่นเกิดจากตัวเองรึเปล่า?
บางทีที่เธอตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นในครั้งนั้นอาจจะเกิดจากการชี้นำของใครบางคน ใครบางคนที่เธอไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ต้องการอะไร และทำไมต้องเป็นเธอ
“อย่ากังวล คุณสามารถตัดการเชื่อมโยงของตัวคุณกับเส้นด้ายพวกนั้นได้”
โนอายิ้มนุ่มลึกเป็นการปลอบใจ
“โชคดีที่ผมเป็นคนพิเศษ ผมจึงมองเห็นความพิเศษในตัวคุณได้ ผมรู้สึกได้ว่าคุณมีบางสิ่งที่น่าสนใจ ถ้าโลกนี้เป็นนิยาย เราทั้งคู่คงเป็นตัวเอกของโลกใบนี้”
ฮ่าฮ่า หลงตัวเองซะไม่มี
ยูริยิ้มแห้ง ก่อนจะถามออกไป
“แล้วฉันจะตัดการชักใยนี่ออกได้ยังไง ใครกันคือคนที่ชักใยชะตากรรมของฉันอยู่”
หลังจากถามคำถามนั้นออกไป ชายหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าคนพิเศษคนนั้นก็ได้มองหน้าเธอนิ่งๆ ราวกับกำลังครุ่นคิด
“…มันเป็นคำถามที่ค่อนข้างอันตรายเลยทีเดียว”
อันตราย? อันตรายอะไร? ซายูริเอียงคออย่างสับสน จะมีอะไรอันตรายไปกว่าการที่ชะตาชีวิตของตัวเองถูกควบคุมอีก?
“สำหรับคำถามแรกที่ถามว่าทำยังไงให้หลุดจากการควบคุมของเส้นด้ายเหล่านั้น ผมขอแนะนำให้คุณทำสิ่งที่คุณคิดจะทำก่อนหน้านี้”
ถ้อยคำน่าสงสัยเหล่านั้นทำให้เด็กสาวครุ่นคิดอย่างสับสน สิ่งที่เธอคิดจะทำก่อนหน้านี้งั้นเหรอ?
ใช่เรื่องที่อยากจะออกไปซื้อน้ำผลไม้เย็นๆ มาดื่มรึเปล่า?
“เอ่อ การตัดเส้นด้ายที่คอยควบคุมชะตากรรมของฉันคือการดื่มน้ำผลไม้ให้มากๆ เหรอ?”
เธอสังเกตุเห็นว่ามุมปากของโนอากระตุกแผ่วเบา
“…เปล่า ผมคงใช้คำคลุมเครือไปหน่อย จำได้รึเปล่าว่าก่อนหน้านี้คุณเข้าไปทำอะไรในเขตสลัมน่ะ”
คราวนี้วาคาดะ ซายูริก็ต้องตกใจอีกครั้ง
เขารู้ได้ยังไงว่าเธอเคยเข้าไปในเขตสลัมมาก่อน เธอไม่เคยบอกใครเลยเพราะมันอันตรายเกินกว่าที่จะบอก
แถมทุกๆ ครั้งที่เธอเข้าไปเธอมักจะปลอมตัวเสมอๆ เลยด้วย แล้วชายคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงรู้เรื่องของเธอได้
ยูริสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความลึกลับ ความลึกลับบางอย่างที่น่าสะพรึง หรือบางทีเธออาจจะแค่คิดไปเองก็เป็นได้
“…ใช่ ฉันเคยเข้าไปในเขตสลัมมาก่อน ตอนนั้นฉัน…”
ฉันตั้งใจที่จะก่อความวุ่นวายและทำให้คนฆ่ากันเอง
ยูริกลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอ เธอไม่แน่ใจว่าควรบอกอีกฝ่ายในเรื่องนี้ดีรึเปล่า
“…ฉันตั้งใจที่จะก่อตั้งศาสนาและก็ชักจูงผู้คนให้มาเคารพบูชาฉัน”
นั่นคือเหตุผลอีกข้อ ตอนแรกก็กะว่าจะหาเรื่องฆ่าคนพวกนั้นอยู่หรอก แต่ไปๆ มาๆ เธอดันแสดงตัวว่าเป็น ‘ข้ารับใช้แห่งเทพ’ ไปซะอย่างงั้น
“อืม…ใช่ วิธีการตัดเส้นด้ายที่คอยควบคุมชะตากรรมของคุณอยู่คือวิธีการนั้นแหละ”
อย่าบอกนะว่า
ยูริเอียงคออย่างฉงน
วิธีการตัดเส้นด้ายพวกนั้นคือการที่เธอจะต้องสร้างองค์กรทางศาสนาหรืออะไรแบบนั้นขึ้นมาเหรอ? มันเกี่ยวอะไรกัน?
“ถ้าอยากหลุดพ้นจากการควบคุมของผู้ชักใย คุณจะต้องสร้างลัทธิขึ้นมา แน่นอนว่าอนาคตคุณควรทำให้มันกลายเป็นศาสนาซะ”
โนอายืนยันความคิดของเธอด้วยคำพูดนั้น
“การทำแบบนั้นจะช่วยให้เส้นด้ายแห่งโชคชะตาถูกตัดขาด ยิ่งศาสนาของคุณใหญ่เท่าไหร่ก็จะตัดเส้นด้ายแห่งชะตากรรมได้มากเท่านั้น”
ถึงจะดูไม่น่าเชื่อถือก็เถอะ…แต่ลองดูก็ไม่เสียหาย ถึงยังไงซะเธอก็ต้องการทำแบบนั้นอยู่แล้ว
“สำหรับคำถามที่สอง คนที่คอยควบคุมชะตากรรมของคุณเป็นใคร ผมคงบอกไม่ได้ในตอนนี้ การบอกคุณในตอนนี้เป็นเรื่องอันตราย อันตรายอย่างมากเลยล่ะ”
คำตอบของโนอาดูราวกับนักต้มตุ๋นไม่มีผิด มันเป็นคำตอบที่ชวนให้รู้สึกฉงนสงสัยเสียยิ่งกว่าเดิมซะอีก แต่ตอนนี้ยูริก็รู้ตัวดีว่าเธอทำอะไรไม่ได้มากนัก
“ตอนนี้ด้ายพวกนั้นยังไม่แฝงเจตนาร้ายเอาไว้มากนัก”
โนอาพูดเพื่อทำให้เธอสบายใจขึ้น
“คุณยังไม่จำเป็นต้องกังวลกับมันในตอนนี้”
เฉพาะตอนนี้…เด็กสาวกลืนน้ำลายเบาๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ฮันน่าคงกำลังรอเธออยู่ เธอเอ่ยว่า
“ขอบคุณสำหรับคำเตือน” เธอโบกมือ “ไว้อนาคตฉันมีเรื่องอะไรฉันจะมาถามอีกแล้วกัน”
“ด้วยความยินดีครับ”
อีกฝ่ายโค้งตัวเล็กน้อยพลางยิ้มเจ้าเล่ห์
ยูริไม่สบายใจเอาซะเลย
เธอได้รับรู้ถึงความจริงบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวจากปากของอีกฝ่ายแล้ว
ใครบางคนควบคุมชะตาชีวิตเธออยู่อย่างลับๆ การกระทำหลายๆ อย่างของเธอที่ขัดกับนิสัยของตัวเธอเองอาจจะเกิดมาจากการชักนำของอีกฝ่ายก็เป็นได้
ว่าแต่โนอาเป็นใครกันแน่ ทำไมหมอนั่นถึงรู้ล่ะว่าฉันถูกใครบางคนควบคุมอยู่ เหตุบังเอิญทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาคือการชี้นำโดยใครบางคนจริงๆ งั้นหรือ?
มิสเตอร์ไบรอันตายทำให้เธอต้องมาที่เมืองรัตติกาล นั่นคือการสละหนึ่งชีวิตเพื่อเธองั้นหรือ?
ถึงตอนนี้ผู้ชักใยจะยังไม่เผยเจตนาร้าย และการควบคุมชะตากรรมทั้งหมดนั่นจะส่งผลดีต่อเธอมาตลอดก็ตาม แต่เธอก็ยังอดหวั่นกลัวไม่ได้
ตอนที่ฮันน่าให้เงินไปซื้อน้ำมะนาวให้โรนา ตอนนั้นเธอแวะไปตลาดเพื่อที่จะได้ซื้อมีด แต่ด้วยความ ‘บังเอิญ’ มีดเหลือเล่มสุดท้ายพอดี
และตอนที่เธอต้องการจะเดินทางไปยังถนนเตาไฟ เธอก็ ‘บังเอิญ’ เจอกับมาร์คัสที่ขับรถม้ามาพอดี และ ‘บังเอิญ’ เหลือเกินที่ตอนขากลับหมอนั่นมารับตัวเธอ
และ ‘บังเอิญ’ เหลือเกินที่เธอเจอกับเด็กไร้บ้านสองคนนั้นทำให้ติดเชื้อวัณโรคมา
แต่ช่างโชคดีที่ฮันน่าเป็นแวมไพร์ทำให้เธอสามารถรอดชีวิตมาได้ ใช่แล้ว ช่างโชคดีซะจริงๆ
เดี๋ยวนะ ไม่สิ โชคดีงั้นหรือ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้เธอก็เสียวสันหลังวาบ ราวกับว่ามีลมเย็นๆ พัดผ่านต้นคอ ขนลุกซู่ราวกับถูกน้ำแข็งมาประคบกะทันหัน
เหตุบังเอิญต่างๆ ที่เธอเผชิญมันเกิดจากการชักใยของใครบางคนก็จริง แต่ว่าเธอถูกชักใยมาตั้งแต่ตอนไหนล่ะ? ตอนที่มิสเตอร์ไบรอันตายงั้นหรือ? ไม่ใช่เลย เธอพอเดาได้แล้วว่าถูกชักใยมาตั้งแต่ตอนไหน
ตั้งแต่แรกแล้วที่เธอร่วงหล่นลงมาบนโลกใบนี้ เด็กสาวนอนสลบอยู่หน้าบ้านของฮันน่า ฮันน่าเป็นแวมไพร์ แวมไพร์รักษาวัณโรคได้ และเธอก็ติดเชื้อวัณโรคจากการไปถนนเตาไฟ
และฮันน่าก็ช่วยรักษาเธอได้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนแรกที่เธอเจอตอนมาโลกใบนี้ไม่ใช่ฮันน่า เธอจะได้มีโอกาสไปถนนเตาไฟหรือไม่ จะติดวัณโรคหรือไม่
ทุกๆ อย่างมันถูกกำหนดมาตั้งแต่ต้นแล้ว กำหนดให้เธอเจอฮันน่า กำหนดให้เธอติดวัณโรค และกำหนดการกระทำและโชคชะตาของตัวเธอเอง ทุกๆ อย่างมันคือการจัดฉาก
ความบังเอิญแห่งโชคชะตา ซายูริเรียกมันว่าอย่างงั้น
ด้วยการตระหนักรู้นี้เองที่ทำให้เธอตัวสั่นหนักกว่าเดิม
เจตจำนงของตัวเธออาจจะไม่ใช่เจตจำนงเสรีก็เป็นได้
ทุกสรรพสิ่งเป็นดั่งกลไกและฟันเฟื่องที่คอยชักนำชะตากรรมของเธอ
อ่า ให้ตายสิ
ตอนนี้เธอรับรู้แล้วว่าเธอถูกควบคุมชีวิตมาตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่แรกที่เจอกับฮันน่า ทุกๆ อย่างคือการชักใยแห่งชะตากรรม
เด็กสาวยืนนิ่งอยู่หน้าห้องหมายเลขเจ็ดเป็นเวลานานแสนนาน
“ยูริจัง ทำไมทำหน้าซีดแบบนั้นล่ะ”
ฮันน่าขมวดคิ้ว ในมือถือหนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนึ่ง
หญิงสาวสวมชุดนอนสีฟ้าอ่อนเบาบาง เสื้อนอนเชื่อมติดกับกระโปรงตัวยาวดูพลิ้วไหว
มันเป็นชุดประเภทเดรสที่เสื้อจะเชื่อมติดกระโปรง ตัวของเธอนั้นกำลังนอนอยู่บนเตียงและถือหนังสือขึ้นเหนือหัว สายตาเพ่งพินิจไปยังวิชาประวัติศาสตร์ตรงหน้า
วาคาดะ ซายูริมองหน้าอีกฝ่ายเงียบๆ
เธอไม่รู้จะพูดยังไงดี
ฮันน่า พี่สาวของเธอและเธอเจอกันด้วยการลิขิตของชะตากรรมที่ใครบางคนเขียนขึ้น มันทำให้เธอรู้สึกไม่อยากมองหน้าอีกฝ่ายมากนัก
“มีเงินสักสองสามปอนด์ไหมคะ?”
เธอแสร้งทำเป็นหิว หวังว่าจะนำเงินพวกนั้นไปซื้อของอร่อยๆ มาปลอบใจตัวเอง และหวังจะคลายความสั่นกลัวจากก้นบึ้งในตอนนี้ได้บ้าง
“หือ พี่มีนะ”
ฮันน่าเอียงคอพลางทำท่าราวกับกำลังพยายามดมกลิ่น
“ยูริจัง? กลัวอะไรอยู่”
ให้ตายสิ เธอลืมไปเลยว่าอีกฝ่ายสามารถดมกลิ่นความรู้สึกได้
ยูริเริ่มประมวลผลในสมอง กำลังคิดถึงเรื่องที่จะแก้ตัวกับอีกฝ่าย และทันใดนั้น เธอก็คิดออก
“เอ่อ ดูเหมือนว่าผลกระทบจากจันทร์หายนะจะพึ่งทำงานล่ะมั้งคะ”
เด็กสาวแถ
“เมื่อกี้ได้ยินเสียงเพรียกแปลกๆ ที่ไม่รู้ความหมาย และไม่รู้ทำไมถึงกังวลแบบนี้น่ะค่ะ เลยว่าจะขอเงินไปหาอะไรกินสักหน่อย”
ด้วยรูปประโยคที่สมเหตุสมผลและทักษะการแสดงที่ดีเยี่ยมแม้จะสติแตก ฮันน่าเลยพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“มันก็มีบ้างที่ผลกระทบจากจันทร์หายนะจะแสดงผลในอีกหลายวันให้หลัง”
อีกฝ่ายอธิบาย
“แต่ในเวลาแบบนี้การกินไม่ช่วยอะไร ยูริจังอยากนอนเลยไหม?”
ทำแบบนั้นได้ด้วยหรือ? เด็กสาวฉงน แต่เธอยังไม่อยากนอนตอนนี้เนี่ยสิ
“ยังแล้วกันค่ะ”
เธอส่ายหน้า ก่อนจะเดินไปหยิบหนังสือมาอ่าน เธอนั่งบนขอบเตียงและเปิดมันอ่าน
ฮันน่าที่เห็นภาพนั้นไม่พูดอะไร เธอเองก็อ่านหนังสือของตัวเองต่อไป
ทั้งสองอ่านหนังสืออย่างสงบสุขท่ามกลางความเงียบงันยามราตรี….