ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 56 ถ้าเจ้าไม่พูดก็ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเจ้าพูด มันจะเป็นการแทงใจทุกคน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 56 ถ้าเจ้าไม่พูดก็ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเจ้าพูด มันจะเป็นการแทงใจทุกคน

บทที่ 56 ถ้าเจ้าไม่พูดก็ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเจ้าพูด มันจะเป็นการแทงใจทุกคน

“อร่อยมากเลยหรือ?” แม้ว่าว่านอวี้เฟิงจะสงสัย ทว่าเขาก็ตักมันมากินอยู่ดี

จะอธิบายรสชาติอย่างไรดี?

ไม่สามารถอธิบายได้ถูกเลย… มันแปลกใหม่ ด้วยรสชาติที่ซับซ้อนนี้ จึงไม่อาจฝืนต่อความรู้สึกอยากกลืนลงไปทันทีไหว และอยากลองชิมดูอีกครั้ง

หลิงเยว่ย่างไขกระดูกย่างเพียงครึ่งท่อนต่อคน เพราะนางกลัวว่าจะไม่มีใครกินมันและมันจะเสียของไปโดยเปล่า แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นสองสามคนเหล่านี้พยายามกินส่วนที่เป็นของศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่สี่ของนาง เด็กสาวจึงแยกเขี้ยวใส่ทันที!

เนื่องจากพวกเขาจัดงานเลี้ยงเนื้อย่างที่บนยอดเขา ผู้นำยอดเขาสยง อาจารย์ชิงยวน บรรพจารย์เล่อเหอรวมถึงผู้คนระดับสูงที่ยังอยู่ใน ‘โรงหนัง’ จึงไม่สามารถถูกละเลยได้ อาหารบางส่วนจะต้องถูกแบ่งไปให้ในภายหลัง

แต่ตอนนี้มิติลับหมื่นอสูรสิ้นสุดลงแล้ว จึงไม่รู้ว่ามีตัวตนระดับสูงของสำนักอีกกี่คนที่จะยังอยู่ที่นั่น

อาจจะเหลืออยู่ไม่มาก

“ย่างอีก ไม่สิ! ย่างกระดูกพวกนี้ให้หมดไปเลย!” อวี้เจินพูดพลางเลียมุมปาก จากนั้นลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนเลียไขกระดูกที่เหลืออยู่เสียจนสะอาด

คนที่อยู่รอบ ๆ “…”

ห้ามใจไม่อยู่ถึงเพียงนั้นเลยหรือ?

แม้ว่าติงหลิวหลิ่วอยากจะเลียกระดูกเหมือนกัน แต่สุดท้ายนางก็รั้งตัวเองไว้ได้!

หลิงเยว่กลัวว่าคนอื่นจะทำตามแบบอวี้เจิน ดังนั้นนางจึงรีบเอาไขกระดูกไปย่างเพิ่มทันที พลันหยิบเนื้อย่างชิ้นหนึ่งขึ้นมากินไปพลาง

รสชาติของเนื้อสัตว์อสูรนั้นแตกต่างจากเนื้อสัตว์วิญญาณอย่างแน่นอน ปราณวิญญาณที่มีอยู่ในร่างกายของพวกมันนั้นรุนแรงมากกว่าของสัตว์วิญญาณ เนื้อมีความเหนียวหนึบมาก ทำให้ยิ่งเคี้ยวมันมากเท่าใดก็ยิ่งมีกลิ่นหอมตลบอบอวลในปากและได้รับปราณวิญญาณมากขึ้นเท่านั้น มันยอดเยี่ยมจริง ๆ และเมื่อได้ผสมกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของผลไม้วิญญาณแล้ว…

หลิงเยว่ใช้เครื่องปรุงรสและวัตถุดิบหลายชนิดในการทำน้ำหมักเนื้อวันนี้ ซึ่งมีทั้งผลไม้วิญญาณ สมุนไพรวิญญาณ ผักวิญญาณ และเครื่องเทศทั่วไป แต่ละอย่างมีรสชาติที่แตกต่างกัน ทว่าถูกนำมาผสานจนเกิดเป็นรสชาติอร่อยเช่นนี้ได้

หลิงเยว่รู้สึกดีมากเมื่อนางกินเนื้อย่างเข้าไปเรื่อย ๆ เนื้อย่างไม่ได้แย่ไปกว่าไขกระดูกย่างเลย

“ศิษย์น้องห้า นกตัวใหญ่ตัวนั้นกินได้หรือไม่?”

ติงหลิวหลิ่วมักจะมีนิสัยกินในชามแต่ยังคงคิดถึงหม้อ นางจ้องมองไปยังนกย่างที่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทองกำลังมีไขมันเดือดฉ่าและส่งกลิ่นหอมหวน แม้ว่าเนื้อย่างในปากของนางยังคงส่งกลิ่นหอมไม่แพ้กัน แต่ใครเล่าจะปฏิเสธที่จะลิ้มรสสัตว์อสูรที่อร่อยอีกตัวหนึ่งได้?

“ยังไม่ได้เจ้าค่ะ”

เมื่อติงหลิวหลิ่วถามขึ้น หลิงเยว่ก็วางเนื้อย่างในมือลงอย่างไม่เต็มใจแล้วหยิบถ้วยเครื่องปรุงมาทาบนนกย่างตัวใหญ่

วิหคเนตรม่วงนั้นมีร่างกายสีม่วงทั้งตัวรวมไปถึงกระดูก เนื้อของมันมีสัมผัสที่นุ่มหอม แต่แฝงไปด้วยปราณวิญญาณรุนแรง ผู้บำเพ็ญที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตสร้างรากฐานควรระมัดระวังในการรับประทาน

คำอธิบายในตำราอาหารวิญญาณทำให้หลิงเยว่รู้สึกขัดใจอย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่อาหารอยู่ตรงหน้า และนางก็ทำด้วยมือของตัวเองแท้ ๆ แต่นางกลับต้องกินมันอย่างระมัดระวัง สิ่งนี้มันไม่สมเหตุสมผลเลย!

ไม่! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนางจะต้องชิมมันสักครั้งหรือสองครั้งก่อนจึงจะยอมได้

ผิวสีทองอมม่วงเข้มดูแปลกตา ทว่าก็ไม่ได้ส่งผลต่อกลิ่นหอมที่ปล่อยออกมา

หลายคนรวมตัวกันรอบ ๆ วิหคเนตรม่วง พลางกินเนื้อวัวย่างระหว่างรอให้มันสุกพร้อมกิน

ทุกคนไม่เพียงแต่มีเนื้อย่างในมือเท่านั้น แต่พวกเขายังมีเครื่องดื่มเย็น ๆ ด้วย ต้องยกความดีความชอบในเรื่องเครื่อมดื่มให้กับ ‘เครื่องทำน้ำแข็งเคลื่อนที่ได้’ อย่างโม่จวินเจ๋อ เขาสามารถทำให้เครื่องดื่มเย็นลงได้ดีมาก

โม่จวินเจ๋อไม่อิดออดอีกแล้วเมื่อได้รับหน้าที่เติมน้ำแข็งลงในเครื่องดื่ม เขารู้สึกเช่นกันว่าชานมเย็นนั้นมีรสชาติดีกว่าแบบร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจับคู่กับเนื้อย่างเสียบไม้

“ข้าจะให้วัตถุดิบอาหารแก่เจ้าในภายหลัง ข้าได้มันมามากทีเดียวในมิติลับนั่น”

มือของหลิงเยว่สั่น วัตถุดิบที่อวี้เจินเอามาให้นั้นเพียงพอสำหรับพวกเขาทั้งกลุ่มที่จะกินได้พักใหญ่อยู่แล้ว ถ้าเพิ่มของโม่จวินเจ๋อเข้ามาอีก…

ดีเลย! อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องเสียค่าพลังวิญญาณเพื่อแลกเนื้อมา แต่ยังมีข้อกำหนดเบื้องต้นที่นางต้องรับมือกับมันให้ได้!

จริงสิ ไม่เพียงผู้ที่มีระดับการบำเพ็ญต่ำจะไม่สามารถกินเนื้อสัตว์อสูรระดับสูงได้เท่านั้น แต่ยังต้องการความช่วยเหลือในกระบวนการทำอีกเช่นกัน! หลิงเยว่ร้องไห้ในใจของนาง

“ศิษย์น้องห้า ศิษย์พี่รอง ข้าเองก็จับพวกมันมาได้เยอะมากเช่นกัน!” ติงหลิวหลิ่วพูดด้วยสีหน้าเบิกบาน

“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าคิดว่าเนื้อสัตว์อสูรจะอร่อยหรือไม่ถ้านำมาใช้เป็นไส้เกี๊ยว?”

ว่านอวี้เฟิงกระตือรือร้นที่จะลอง แต่สีหน้าท่าทางของเขาดูเหมือนจะมีความขัดแย้งกับเกี๊ยวอยู่สักหน่อย

“มันน่าจะอร่อยนะ”

เนื้อเหล่านี้ถ้ามันสามารถนำมาทำเป็นเนื้อย่างได้อร่อย มันก็ควรนำมาทำเป็นเนื้อบดให้อร่อยได้ง่าย ๆ เช่นกัน

หลิงเยว่เริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ในการสอนศิษย์ร่วมยอดเขาทั้งหมดให้เป็นพ่อครัวและแม่ครัว แต่ต้องไปถามให้แน่ใจก่อนว่าการทำเช่นนั้น ชิงยวนจะไม่ไล่นางออกจากการเป็นศิษย์

นางไม่ควรถูกไล่ออก… ใช่หรือไม่?

ในปัจจุบัน อาหารวิญญาณแบบพิเศษนั้นเพียงนิยมในหมู่พวกเขาและกลุ่มสามคนของซือจู ไม่สิ รวมถึงอาจจะเป็นพวกกลุ่มคนที่ได้ซื้ออาหารวิญญาณแบบพิเศษเจ็ดอย่างที่นางขายในราคาสูง ซึ่งหลิงเยว่ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นที่ถูกบังคับให้ซื้อได้ลองกินแล้วหรือไม่ แล้วพวกเขาจะชอบมันหรือไม่นะ?

เพื่อให้ผู้บำเพ็ญยอมรับอาหารวิญญาณนั้น ไม่เพียงแต่ต้องประชาสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังต้องใช้เวลาในการดำเนินการด้วย

เธอตัดสินใจแล้ว!

ก่อนที่การแข่งขันรอบสองจะเริ่มต้นขึ้น นางจะใช้เวลาให้มากขึ้นในการทำอาหารวิญญาณ!

ในฐานะตัวละครเอกที่สวรรค์ส่งมา หลิงเยว่อดไม่ได้ที่จะสนุกไปกับตัวเองทุกครั้งที่คิดถึงโอกาสอันยิ่งใหญ่ในอนาคต และหินวิญญาณจำนวนมากมายไม่สิ้นสุดที่นางจะได้รับ

สามารถทำให้พวกผู้บำเพ็ญที่กินแต่โอสถปี้กู่หันมากินอาหารวิญญาณได้ เพียงคิดเรื่องนี้ก็ตื่นเต้นแล้ว ถ้ามันเกิดขึ้นจริงได้นางคงกลายเป็นศิษย์เลื่องชื่อแน่เลยใช่หรือไม่!

คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างเงียบไปเมื่อมองดูหลิงเยว่ซึ่งกำลังมีใบหน้าหลากอารมณ์สลับไปมา และสุดท้ายก็ยิ้มราวกับคนบ้า

“ศิษย์น้องห้า เจ้าคิดอะไรสนุก ๆ ได้อีกแล้วหรือ?”

ว่านอวี้เฟิงผู้มีนิสัยชอบสอดรู้สอดเห็นทักก่อนเป็นคนแรก

“มะ… ไม่มีเจ้าค่ะ!”

หลิงเยว่ไม่อยากพูดความฝันเฟื่องที่มีออกไปในตอนนี้ เพราะคนอื่นอาจคิดว่านางกำลังฝันกลางวันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

หลังการแข่งขัน หลงหว่านโหรวก็เข้ามาร่วมวงงานเลี้ยงอย่างเงียบ ๆ การปรากฏตัวของนางทำให้ทุกคนตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง

“ศิษย์พี่ใหญ่… วันนี้ท่านมีแข่งไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”

ติงหลิวหลิ่วลังเล และเมื่อเห็นหลงหว่านโหรวพยักหน้า นางก็รู้สึกผิดและเสียใจ เพราะเดิมทีนางจำได้ว่าตนวางแผนจะไปให้กำลังใจศิษย์พี่ใหญ่ แต่กลับลืมไปเพราะงานเลี้ยงเนื้อย่าง

“มันจบแล้ว”

หลิงเยว่ “…”

นางลืมไปเลยว่าวันนี้หลงหว่านโหรวมีการแข่ง!

“อย่ารู้สึกผิด ถึงพวกเจ้าจะไปดูก็มองเห็นได้ไม่ชัดเจนนักหรอก”

ประโยคนี้ราวกับปลอบใจทุกคน

โม่จวินเจ๋อต้องการปฏิเสธว่าเขาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนแน่นอน แต่ท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะหุบปาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหลิงเยว่ นางคงไม่สามารถบอกได้ว่าใครคือศิษย์พี่ใหญ่ของนาง ต่อให้ไปยืนดูติดขอบสนาม

“ศิษย์พี่ใหญ่ การแข่งขันของท่านคงหนักมากใช่หรือไม่เจ้าคะ กินให้เยอะ ๆ เถอะเจ้าคะ” หลิงเยว่คว้าเนื้อเสียบไม้จำนวนหนึ่งจากมือของว่านอวี้เฟิงแล้วยัดมันใส่มือของหลงหว่านโหรว จากนั้นรินชานมสมุนไพรวิญญาณแก้วใหญ่ให้ “วิหคเนตรม่วงย่างเกือบจะพร้อมแล้ว และน่องของมันก็เป็นของศิษย์พี่ใหญ่เจ้าค่ะ!”

ว่านอวี้เฟิงซึ่งไม่มีอะไรอยู่ในมืออีกแล้วรู้สึกอยากร้องไห้ ทุกคนรู้จักแต่วิธีรังแกเขาใช่หรือไม่!

หลงหว่านโหรวไม่ปฏิเสธ รอยยิ้มพลันเผยออกมาในดวงตาของนาง

“งั้นน่องของวิหคเนตรม่วงอีกข้างก็เป็นของข้าใช่หรือไม่”

เสียงที่น่ากลัวนี้ทำให้หลิงเยว่หวาดกลัวมากจนไม่สามารถจับเนื้อเสียบไม้ในมือไว้แน่นได้ นางหันหลังกลับโดยไม่รู้ตัว ก่อนเผชิญหน้ากับศิษย์พี่สี่ของนางที่กำลังมองมาด้วยสายตาเย็นชา

อวี้เจินยืนขึ้นอย่างดุดัน แม้ว่านางจะเตี้ยกว่าผู่ตาน แต่นางก็ดูดุดันกว่ามาก

“ข้าได้ยินมาว่าการบำเพ็ญของเจ้าถดถอยลงไปอยู่ที่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปดหรือ?”

ลู่เป่ยเหยียนปิดปากของเขาและแสร้งทำเป็นประหลาดใจ ทว่าแววตาที่มองด้วยความขบขันกลับไม่ปิดบังเลย

“ใครทำเช่นนั้นกัน?” โม่จวินเจ๋อถามอย่างสงสัย

ใบหน้าของผู่ตานมืดลง ดูเหมือนหลิงเยว่จะเป็นคนเดียวในที่นี่ที่เขาสามารถเอาชนะได้ เขาพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา

“ศิษย์น้องห้า ถ้าไม่ใช่เพราะข้าเป็นศิษย์พี่สี่ที่น่านับถือและหล่อเหลาของเจ้า เจ้าก็คงยังติดอยู่ในมิติลับและไม่สามารถออกไปได้เสียด้วยซ้ำ”

“ก็ใช่แต่… นกนั่นเป็นของศิษย์พี่หญิงอวี้… เหตุใดเราไม่ยกน่องอีกข้างให้นางเล่า อันที่จริงส่วนปีกก็อร่อยไม่แพ้กันเลยนะเจ้าคะศิษย์พี่สี่”

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ต้องการน่องอีกข้างที่เหลือ ข้าอยากกินปีกนก ปีกนกทั้งสองเป็นของข้า!” เมื่ออวี้เจินได้ยินสิ่งนี้นางก็เปลี่ยนใจทันที หลิงเยว่จะไม่โกหกนางอย่างแน่นอน!

ด้วยเหตุนี้ไฟสงครามที่เกือบปะทุก็ถูกแก้ไขอย่างง่ายดายโดยหลิงเยว่

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท