ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 250 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของมณฑลรับเสด็จราชัน!แ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 250 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของมณฑลรับเสด็จราชัน!

สิ่งที่ปรากฏข้างหน้าสวี่ชิงคือทะเลสาบสีฟ้าขนาดมหึมา น้ำดูแล้วใสกระจ่าง เพียงแต่หากพิจารณาอย่างละเอียดแล้วก็จะเห็นว่าน้ำที่นี่เป็นน้ำแข็ง

รอบๆ ยังมีพืชพรรณหลากสีขึ้นอยู่จำนวนหนึ่ง ผสมปนเปไม่เป็นระเบียบ แม้แต่เพดานถ้ำที่ทะเลสาบแห่งนี้อยู่ก็เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ

ความชื้นที่นี่ก็สูงมาก

สวี่ชิงกวาดตามอง ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจจากเนตรเงาก่อนหน้านี้หรือสัมผัสของเขาในตอนนี้ ล้วนไม่เจออันตราย ทว่าสวี่ชิงก็ยังคงระมัดระวังเช่นเคย เดินไปทางทะเลสาบ หลังจากเข้าใกล้ก็มองลงไป

ใต้น้ำที่อยู่ในสภาวะเป็นน้ำแข็ง มองเห็นก้นทะเลสาบได้อย่างชัดเจน หลังจากมองเพียงแวบเดียว สวี่ชิงก็เงียบนิ่ง

ที่ก้นทะเลสาบกองเต็มไปด้วยกระดูกและเศษหินนับไม่ถ้วน

กระดูกเหล่านี้มีทั้งผู้ชายมีทั้งผู้หญิง แน่นขนัดกลบทุกที่ที่สายตากวาดเห็น เหมือนว่าเมื่อหลายพันปีก่อน ที่นี่พบเจอกับโศกนาฏกรรม

“ที่นี่เป็นที่ที่ข้าหาเจอโดยบังเอิญ มาอยู่หลายครั้ง ไม่เคยเจออันตราย กระดูกที่ก้นทะเลสาบก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดอะไร” อู๋เจี้ยนอูอยู่ข้างๆ ชะโงกหน้าไปกวาดตามองแวบหนึ่ง กลัวสวี่ชิงจะเข้าใจความปรารถนาดีของตัวเองผิด รีบร้อนอธิบาย

สวี่ชิงพยักหน้า หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วเขาพบว่าคุณภาพน้ำที่อยู่ในสภาวะน้ำแข็งของที่นี่มีความแตกต่างจากวุ้นเซียนที่บันทึกเอาไว้ในตำรายาของปรมาจารย์ไป่เล็กน้อย

มีกลิ่นหอมเพิ่มขึ้นมา

โดยเฉพาะที่ข้างทะเลสาบ กลิ่นหอมที่มาจากน้ำทะเลสาบคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ เมื่อกลิ่นเข้ามาในปากในคอก็หวานเอียน ตอนได้กลิ่นทีแรกก็พอทำเนา แต่เมื่อได้กลิ่นนานไปก็จะเกิดความรู้สึกอยากจะอาเจียนจนถึงขีดสุด

นี่ไม่ตรงกับคำบรรยายของวุ้นเซียน

แต่สวี่ชิงเดาว่าก่อนที่จะเจอกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่นี่เมื่อหลายพันปีก่อนคงจะเป็นหนองน้ำที่ไอเซียนลอยอวลแห่งหนึ่ง

น้ำของที่นี่เป็นไปได้อย่างมากว่าแปรเปลี่ยนมาจากไอเซียนตามที่ในตำรายากล่าวไว้ เพียงแต่ภายหลังประสบกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถคาดเดาได้ จึงเกิดเป็นวัตถุที่คล้ายวุ้นเซียนแต่ก็ไม่เหมือน

นับว่าเป็นวุ้นเซียนที่คุณสมบัติเปลี่ยนไปอย่างหนึ่ง

ประโยชน์ที่แท้จริงคืออะไรสวี่ชิงยังไม่รู้ แต่เขารู้สึกว่าสิ่งนี้น่าจะมีคุณค่าในการศึกษาค้นคว้าไม่น้อยเลย

ดังนั้นจึงดึงสายตากลับมา กำลังจะเก็บไปอีกสักหน่อย

แต่ตอนนี้เอง สวี่ชิงก็ร้องเอ๊ะออกมาเบาๆ มองไปที่ก้นทะเลสาบอย่างละเอียด

ไฟชีวิตในร่างในเสี้ยวขณะนี้ลุกไหม้รุนแรงยิ่งขึ้น พลังบำเพ็ญทั้งหมดปะทุออกมา เกิดเป็นพายุทะเลเพลิง

อู๋เจี้ยนอูที่อยู่ข้างๆ เบิกตากว้าง ถูกพลังสวี่ชิงหอบม้วนผลักออกไป แต่กลับไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“เกิดอะไรขึ้น!”

อู๋เจี้ยนอูกำลังจะอ้าปาก สวี่ชิงก็รวมพลังไฟชีวิตไว้ที่ดวงตาทั้งสองข้าง ทำให้ตาของเขาเองในตอนนี้ยิ่งกว่าดวงดารา แผ่แสงแวววาวพร่างพราวออกมา จับจ้องไปบริเวณก้นทะเลสาบ

ตรงนั้น ในกระดูกและเศษหินมากมาย มีก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งที่สวี่ชิงรู้สึกคุ้นเคยบางอย่าง

“เจ้ามองอะไรอยู่หรือ ในนั้นมีของดีอะไรอย่างนั้นหรือ น่าเสียดายที่น้ำในทะเลสาบนี่แปลกประหลาด ข้าไม่กล้าลงไป เคยคิดหาวิธีงมกระดูกใต้นั้นขึ้นมาเหมือนกัน แต่ว่าทำไม่ได้…” อู๋เจี้ยนอูสังเกตเห็นสายตาสวี่ชิงก็รีบพูดขึ้นมา

แต่ไม่รอให้เขาได้พูดจบ บริเวณที่สวี่ชิงจับจ้อง ก้อนหินก้อนใหญ่ที่เขารู้สึกคุ้นเคยนิดๆ ก็เหมือนถูกมือมหึมาไร้รูปร่างข้างหนึ่งคว้าเอาไว้แล้วขยับทันที กระชากมาข้างนอก ค่อยๆ ทะลุผ่านผืนน้ำ จนกระทั่งถูกลากออกมาลอยอยู่ข้างหน้าสวี่ชิง

ภาพนี้ทำให้อู๋เจี้ยนอูเห็นแล้วต้องสูดลมหายใจลึก

สวี่ชิงเงยหน้าสำรวจก้อนหินก้อนใหญ่นี้อย่างละเอียด หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็หาต้นเหตุของความคุ้นเคยเจอ

นั่นคือกลิ่นอายของดาบสะบั้นไพศาล

ก้อนหินก้อนนี้แฝงไว้ด้วยท่วงทำนองเทพของดาบสะบั้นไพศาล

นี่ทำให้สวี่ชิงรู้สึกแปลกประหลาดอัศจรรย์นัก จึงเก็บมันเอาไว้

เจ้าเงากลับมาอย่างเงียบเชียบ เมื่อครู่เป็นมันที่ไปเอาก้อนหินก้อนใหญ่ออกมา

ในขณะเดียวกันนี้ จากการที่ก้อนหินใหญ่ถูกเอาออกมา บริเวณที่มันตั้งอยู่เมื่อก่อนหน้านี้ก็เผยให้เห็นป้ายหินทรุดโทรมที่แต่เดิมถูกซ่อนเอาไว้ข้างล่าง

ในขณะที่น้ำรอบๆ เกิดระลอกคลื่นช้าๆ โคลนบนป้ายหินก็ไหลไปบริเวณขอบ เผยให้เห็นร่องรอยของตัวอักษรบางตัวและรูปภาพ

สวี่ชิงมองไปทันที

“สระชำระเซียนรัฐม่วงครามหรือ” อู๋เจี้ยนอูที่อยู่ข้างๆ ก็สังเกตเห็นเช่นกัน มองเห็นรอยตัวอักษรชัดเจน ร้องออกมาอย่างตกใจ

สวี่ชิงก็ตกใจเช่นกัน หลังจากสำรวจอย่างละเอียด สังเกตเห็นรูปภาพบนป้ายหินคล้ายกับแผนที่ของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณภาพหนึ่ง

บนนั้นระบุตำแหน่งที่ตั้งของเมืองหลวงรัฐม่วงคราม เป็นผืนอินทนิลในปัจจุบันนี้นั่นเอง ขณะเดียวกันก็ระบุตำแหน่งของสระชำระเซียนแห่งนี้ ข้างๆ ยังมีการระบุตำแหน่งอีกแห่งหนึ่ง เขียนไว้ว่าจวนรัชทายาท

ดูจากตำแหน่งของมันแล้วเป็นศาลเจ้าไพศาลอนันต์ที่สวี่ชิงคิดจะไปเมื่อก่อนหน้านี้นั่นเอง

สวี่ชิงจับจ้องน้ำในทะเลสาบ ที่มาที่ไปของที่นี่กระจ่างแล้ว ในขณะเดียวกันชื่อของรัฐม่วงครามชื่อนี้ก็ลอยเข้ามาในความทรงจำของเขาอีกครั้งหนึ่ง

เขาได้ยินรัฐม่วงครามครั้งแรกคือในตอนที่อยู่ในผืนอินทนิล เมืองหลวงของรัฐม่วงครามเมื่อในอดีต เฉินเฟยหยวนเล่าให้ฟังถึงเรื่องของแปดตระกูล

ตอนนั้นเขาถึงได้รู้ว่าที่แท้เมื่อนานแสนนานมาแล้ว ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณเคยมีรัฐที่มีสายเลือดแปลกประหลาดอัศจรรย์รัฐหนึ่งด้วย

“มีชีวิตอยู่ด้วยกันกับของวิเศษเวท…”

สวี่ชิงนึกถึงความรู้สึกที่เขารู้สึกต่อเฉินเฟยหยวนในตอนนั้น ทั้งๆ ที่อ่อนแอมาก แต่ก็กลับแข็งแกร่งมากเช่นกัน

นานกว่าสวี่ชิงจะถอนสายตากลับมา เก็บวุ้นเซียนที่คุณสมบัติเปลี่ยนแปลงไปของที่นี่ไปอีกนิด ไม่ได้รั้งอยู่ที่นี่ หันหลังไปจากบริเวณทะเลสาบแห่งนี้

กลับมายังโลกภายนอก

ที่อู๋เจี้ยนอูมาส่งปากทางเข้ารอยแยกภูเขา ตอนนี้เขาถูฝ่ามือทั้งสองข้าง มองสวี่ชิงตาปริบๆ จะพูดอะไรแต่ก็หยุดเอาไว้

“ข้าไม่บอกคนอื่นหรอก เจ้าวางใจได้” สวี่ชิงมองอู๋เจี้ยนอูอย่างมีความหมายลึกซึ้งแวบหนึ่ง ร่างเพียงไหววูบก็แปลงเป็นรุ้งยาวผ่านไป

ทิ้งอู๋เจี้ยนอูเอาไว้คนเดียวอยู่ตรงนั้น ความกลัดกลุ้มเต็มใบหน้า พะว้าพะวังเป็นกังวล

จนกระทั่งหลังจากนั้นครู่หนึ่ง อู๋เจี้ยนอูก็กัดฟันตัดสินใจเด็ดเดี่ยว

‘สนใจอะไรมากไม่ได้แล้ว สวี่ชิงคนนี้แม้จะทำอะไรตามอำเภอใจ แต่ก็น่าจะเป็นคนที่รักษาสัญญา อย่างดี…ในช่วงนี้ข้าไม่กลับสำนัก ฟูกฟักเลี้ยงดูลูกชายสุดที่รักออกมาไม่ได้จะไม่มีวันเลิกราเด็ดขาด!’

เห็นได้ชัดว่าอู๋เจี้ยนอูถูกเรื่องที่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องกำราบยอดเขาลำดับหนึ่งกระตุ้น ตอนนี้ดวงตาแดงก่ำ หันหลังกลับไปที่ถ้ำหินของตัวเอง ดูแลอสูรร้ายท้องโตตัวนั้นต่อไป

ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว ดวงจันทร์กระจ่างลอยกลางฟ้า แดนต้องห้ามปักษาราชันภายใต้แสงจันทร์ ต้นไม้เหมือนแปรเปลี่ยนเป็นผีร้าย ในขณะที่ดูเหี้ยมเกรียมเป็นอย่างยิ่ง รอบๆ ก็มีเสียงร้องแปลกประหลาดและเสียงคำรามของสัตว์ดังมาเป็นระลอกๆ ดังก้องเป็นระยะ

เงาร่างของสวี่ชิงพุ่งผ่านไปในป่ามืดมิด ทะยานขึ้นลง รวดเร็วว่องไวเป็นอย่างยิ่ง

เรื่องของอู๋เจี้ยนอูเขาไม่ได้มีความคิดที่จะเอาไปป่าวประกาศข้างนอก

ในโลกโลกาวินาศใบนี้ทุกคนมีวิธีเอาตัวรอดของตัวเอง แม้อีกฝ่ายจะประหลาดนิดๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับตน ยิ่งไปกว่านั้นยังพาเขาไปหาวุ้นเซียน ดังนั้นสวี่ชิงก็คร้านจะสนใจ

เขาแค่รู้สึกว่า ฟ้าดินกว้างใหญ่ เรื่องประหลาดอะไรก็มีทั้งนั้น

‘แต่บางทีก็เป็นไปได้ว่าเรื่องนี้ซ่อนเป้าหมายบางอย่างของอู๋เจี้ยนอูเอาไว้’ สวี่ชิงส่ายหน้า เก็บความคิดลงไป ในราตรีมืดมิดก็หาโพรงต้นไม้แห่งหนึ่งเจอ ตรวจสอบรอบๆ แล้ววางค่ายกลป้องกัน นี่ถึงจะมุดเข้าไป

นอกจากเตรียมตัวพักค้างคืนแล้ว สวี่ชิงก็เอาวุ้นเซียนที่ได้ออกมา

ตอนนี้เวลาผ่านไปแล้วเล็กน้อย ดังนั้นวุ้นเซียนนี่เห็นได้ชัดว่าลดลงไปกึ่งหนึ่งแล้ว นี่ทำให้สวี่ชิงนึกคำพูดของอู๋เจี้ยนอูได้ว่าของสิ่งนี้เมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วยามก็จะหายไป

ดังนั้นเขาจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอาขวดใบเล็กออกมา หลังจากเปิดก็สะบัดมือ ทันใดนั้นแมลงสีดำข้างในก็บินออกมาเกาะที่วุ้นเซียน เริ่มกัดกิน

สวี่ชิงสังเกตอย่างละเอียด แต่รออยู่ครู่หนึ่งจนแมลงสีดำกินวุ้นเซียนพวกนี้หมดก็ไม่มีปฏิกิริยาหรือการเปลี่ยนแปลงอะไร สวี่ชิงจึงคิดๆ แล้วก็ให้พวกมันไปกัดกินวุ้นเซียนทั้งหมดที่เขาเก็บมา

ไม่นานนักวุ้นเซียนก็หายไป สวี่ชิงสังเกตอยู่นาน สุดท้ายก็เก็บแมลงสีดำพวกนั้นลงไปในขวด ทำสัญลักษณ์ที่ขวดแล้วแยกเก็บเอาไว้

เขาเตรียมให้พวกมันย่อยวุ้นเซียนสักระยะหนึ่ง แล้วค่อยดูว่ามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป

ทำทุกอย่างพวกนี้เสร็จ สวี่ชิงก็เอาก้อนหินที่มีท่วงทำนองเทพดาบสะบั้นไพศาลที่ได้มาจากสระชำระเซียนมาดู ถือไว้ในมือสังเกตศึกษา สัมผัสท่วงทำนองเทพในนั้น ข้างหน้าเขาก็ค่อยๆ มีเงาดาบวาดผ่านมา

นี่ทำให้สวี่ชิงจิตใจสั่นสะท้าน หลับตาสัมผัส

เวลาหนึ่งคืนก็ผ่านไปเช่นนี้เอง

เช้าวันที่สอง สวี่ชิงลืมตา เรื่องแรกที่ทำคือก้มมองก้อนหินในมือ

‘ของสิ่งนี้ทำให้ข้ารู้แจ้งในดาบสะบั้นไพศาลได้ลึกขึ้น’ สวี่ชิงรู้สึกว่าได้ผลเก็บเกี่ยวมากมายนัก จากนั้นก็ตรวจดูแมลงสีดำที่กัดกินวุ้นเซียนพวกนั้น

แมลงสีดำที่กลืนกินวุ้นเซียนเมื่อวานนี้ จากการสังเกตอย่างเอียดโดยสวี่ชิงอาศัยเลือดเหนี่ยวนำ ก็พบว่าพวกมันแต่ละตัวเหมือนเมา นิ่งไม่ไหวติง ไม่ค่อยมีชีวิตชีวา

แต่กลิ่นอายเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย

นี่ทำให้สวี่ชิงดีใจ แต่ตอนนี้พวกมันไม่ค่อยมีชีวิตชีวา สวี่ชิงมองรายละเอียดไม่ออก ดังนั้นจึงไม่ไปรบกวนพวกมัน หลังจากเก็บพวกมัน ก็จำตำแหน่งของทะเลสาบให้ขึ้นใจ แล้วถึงไปจากโพรงต้นไม้ มุ่งหน้าจากไปไกลอย่างรวดเร็ว

เขาเตรียมไปที่ซากที่ศาลเจ้าไพศาลอนันต์ตั้งอยู่ ไปดูว่าจะมีวาสนารับรู้ดาบที่สองของดาบสะบั้นไพศาลหรือไม่ หากไม่สามารถรับรู้ได้ เขาก็เตรียมศึกษาค้นคว้าหินก้อนนั้นในระยะยาว อาศัยมันในการรับรู้

‘ขอบของหินก้อนนี้คมเหลือเกิน เหมือนกับดาบ จะต้องเกี่ยวพันกับศาลเจ้าไพศาลอนันต์แน่ เป็นไปได้เป็นอย่างมากว่าเป็นส่วนหนึ่งของเทวรูปใดสักองค์!’ สวี่ชิงวิเคราะห์

เวลาผันผ่าน สิบวันผ่านพ้นไป

สิบวันนี้สวี่ชิงล้วนออกเดินทาง ได้สมุนไพรพิษหรือวัตถุพิษบ้างเป็นบางครั้ง ในขณะเดียวกันก็สังเกตจับตามองแมลงสีดำที่กัดกินวุ้นเซียนอยู่หลายครั้ง ทว่าพวกมันล้วนหลับสนิท

‘นานเพียงนี้เชียวหรือ’ สวี่ชิงแปลกใจเล็กน้อย หากไม่ใช่ว่าเขาสัมผัสได้ว่าพวกมันยังมีชีวิตอยู่คงคิดว่าตายไปแล้ว

“รอดูอีกสักหน่อยก็แล้วกัน” สวี่ชิงพึมพำ ส่ายหน้ามองไปข้างหน้าไกลๆ

ข้างหน้าเขามองเห็นเนินเขาอยู่ลิบๆ มีที่รกร้างเมืองโบราณแห่งหนึ่ง ราวว่ามันเงียบนิ่งไปตลอดกาลด้วยวันเวลา

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรง แสงอาทิตย์กลางท้องฟ้าเจิดจ้า หลังจากที่สาดทอทะลุผ่านใบไม้แต่ละใบ รอบๆ สวี่ชิงแล้วก็กลายเป็นจุดแสง

ผ่านจากจุดแสงนี้ไปมองเมืองโบราณแห่งนั้น ห้วงเวลาเก่าแก่โบราณทอประกายเจิดจ้าขึ้นอีกครั้ง

ในขณะเดียวกัน ตำแหน่งนี้ก็ยังมองเห็นใจกลางเมืองรกร้างแห่งนั้นมีศาลเจ้าโอ่อ่าสูงใหญ่แห่งหนึ่งได้ด้วย

มองไกลๆ เห็นเพียงเค้าร่างรางๆ เท่านั้น ไม่ค่อยชัดเท่าใด แต่ความโบราณและลึกลับนั่นยังสอดแทรกอยู่ท่ามกลางห้วงเวลาที่เมืองแห่งนี้เป็นประจักษ์พยาน

“ถึงแล้ว” สวี่ชิงทะยานตัวเข้าไปใกล้พื้นที่รกร้าง

และหลังจากที่เขาก้าวเข้าไปในที่รกร้างได้ครึ่งก้านธูป

ห่างจากที่นี่ออกไปไกลแสนไกล บนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ที่มีทะเลต้องห้ามขวางกั้นก็เกิดเรื่องใหญ่สะเทือนฟ้าดินเรื่องหนึ่ง ทำให้ทุกขั้วอำนาจในมณฑลรับเสด็จราชันต่างหวาดหวั่นระลอกคลื่นอารมณ์ซัดโหม

สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าแห่งพันธมิตรเจ็ดสำนัก ได้กระตุ้นของวิเศษเวทต้องห้ามในสำนักขึ้นมาอีกครั้งในวันนี้หลังจากเมื่อสองร้อยปีให้หลัง!

คล้ายว่าจะทำลายสำนักเจ็ดเนตรโลหิตทั้งสำนักให้สิ้นซาก!

สาเหตุคือเมื่อเจ็ดวันก่อนพันธมิตรเจ็ดสำนักได้ส่งคำสั่งโยกย้ายและโองการไปให้สำนักเจ็ดเนตรโลหิตอีกครั้ง แต่เสี่ยเลี่ยนจื่อก็ยื้อเอาไว้เช่นเดิม

จนเมื่อหนึ่งวันก่อน สภาผู้อาวุโส สภาสูงสุดของพันธมิตรเจ็ดสำนักได้สรุปมติประชุมส่งทูตไปบอกสำนักเจ็ดเนตรโลหิต

เนื้อหาของมติคือให้เสี่ยเลี่ยนจื่อและเจ้ายอดเขาทั้งเจ็ด มอบตัวที่พันธมิตรเพื่อขอขมาภายในหนึ่งวัน หากไม่มาก็จะทำลายสำนักเจ็ดเนตรโลหิตให้สิ้นซากและลูกศิษย์ทั้งหมด ไม่ตายไม่เลิกรา!

ขณะเดียวกันก็ประกาศบอกต่างเผ่าและสำนักอื่นๆ ที่อยู่ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตให้ออกไปภายในสามวัน หากไม่ออกไป สามวันหลังจากนี้ หากยังดื้อดึงไม่ฟังคำเตือนอย่างสำนักเจ็ดเนตรโลหิต เมื่อทัณฑ์สวรรค์มาเยือน เผ่าและสำนักที่ยังอยู่รับผลภายหลังเอง

เรื่องนี้ฮือฮาไปทั่ว ต่างเผ่าที่มาเยี่ยมเยือนสำนักเจ็ดเนตรโลหิตต่างจากไป คนของพันธมิตรเจ็ดสำนักส่วนมากก็จากไปเช่นกัน ทั้งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตระส่ำระสาย ผู้คนหวาดหวั่นขวัญผวา

จนหนึ่งวันหลังจากนั้น เสี่ยเลี่ยนจื่อก็ยังคงไม่ให้คำตอบ ดังนั้น…พันธมิตรเจ็ดสำนักเดือดดาล ของวิเศษเวทต้องห้ามของสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าปะทุขึ้นทันที

กลายเป็นแสงเลือดท่วมฟ้าพวยพุ่งขึ้นมาจากในพันธมิตรเจ็ดสำนัก ก่อเป็นเมล็ดพันธุ์สีเลือดเม็ดหนึ่ง แล้วพุ่งตรงไปยัง…ทิศเหนือ!

ไม่ใช่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่อยู่ทางใต้ แต่เป็นทางทิศเหนือ!

ในมณฑลรับเสด็จราชันมีภูเขาลูกหนึ่งและแม่น้ำสายหนึ่งทอดและไหลตัดผ่าน เชื่อมต่อกับทั้งเหนือใต้ออกตกของมณฑลรับเสด็จราชัน ภูเขาคือภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย แม่น้ำคือแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพ

ภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย เชื่อมกับทิศใต้และทิศเหนือ แม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพเชื่อมกับทิศตะวันออกและทิศตะวันตก และจุดที่พวกมันตัดผ่านกันคือพื้นที่ใจกลางของมณฑลรับเสด็จราชัน ที่นั่นมีสำนักหนึ่งตั้งอยู่

สำนักนี้ชื่อว่าสำนักนำบารมี ไม่มีความเกี่ยวพันโดยตรงกับสำนักเซียนล้ำบารมี แต่ขั้วอำนาจใหญ่ทุกขั้วอำนาจต่างรู้ว่า สำนักนำบารมีคือเขี้ยวเล็บที่สำนักเซียนล้ำบารมีสนับสนุนเพื่อขัดขวางพันธมิตรเจ็ดสำนัก

ด้วยเหตุนี้ที่ตั้งของสำนักได้สร้างเขื่อนขนาดใหญ่เอาไว้ ขวางกั้นแม่น้ำสายหนึ่งที่เดิมแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพที่ควรไหลไปตามทางภูเขาสู่ทางออกทะเลของพันธมิตรเจ็ดสำนัก

แม่น้ำถูกตัด ระดับพลังวิญญาณและการชำระล้างไอพลังประหลาดของทั้งพันธมิตรเจ็ดสำนักล้วนได้รับผลกระทบ

สำนักนำบารมีนั่นเหมือนก้างที่ขวางคอสำหรับพันธมิตรเจ็ดสำนัก พวกเขาร้องขอให้รื้อเขื่อนออกไปหลายครั้ง ทว่าล้วนถูกสำนักเซียนล้ำบารมีเข้ามาแทรกแซง ยื่นข้อเสนอที่หนักข้อ

ส่วนพันธมิตรเจ็ดสำนักหากลงมือกับสำนักนำบารมี นอกเสียจากจะต้องจบการต่อสู้โดยพลันแล้ว ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกขัดขวางอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกันภายใต้การรักษาสมดุลจากขั้วอำนาจแต่ละฝ่าย ไร้ศัตรูกระตุ้นอาวุธเวทต้องห้ามจะต้องถูกทุกฝ่ายสงสัยอย่างแน่นอน

ขณะเดียวกันขั้วอำนาจอื่นๆ ก็ยินดีที่จะได้เห็นเผ่ามนุษย์สู้กันเองภายใน คอยผลักดันในที่มืด ทำให้สถานการณ์ในพันธมิตรเจ็ดสำนักยิ่งย่ำแย่

และในตอนนี้เอง เมล็ดพันธุ์สีเลือดที่แปรเปลี่ยนมาจากอาวุธเวทต้องห้ามที่สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าปะทุออกมา ทิศทางที่มันมุ่งหน้าไป…ก็คือสำนักนำบารมีนั่นเอง!

มันรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เพียงพริบตาเมล็ดพันธุ์สีเลือดเม็ดนี้ก็พุ่งทะลุระยะไกลโพ้นร่วงไปในสำนักนำบารมี

พันธมิตรเจ็ดสำนักนี่คือใช้กลยุทธสร้างความสับสนให้ศัตรูที่อยู่ตรงหน้า โดยการโจมตีอย่างคิดไม่ถึงจากด้านข้าง

พวกเขาดูเหมือนเกิดความขัดแย้งกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตอย่างหนักหน่วง ท่าทางดุดันทรงอำนาจ แต่ความจริงแล้วทุกอย่างล้วนเป็นหมอกควัน เป้าหมายก็เพื่อกระตุ้นอาวุธเวทต้องห้ามได้อย่างชอบธรรม เพื่อหาโอกาสเอาก้างที่คอออก!

ตอนนี้ ต้นไม้แปลกประหลาดต้นหนึ่งลอยขึ้นจากพื้นในสำนักนำบารมีจากการพุ่งลงมาของเมล็ดพันธุ์สีเลือด ตั้งตระหง่านเสียดฟ้า

ต้นไม้นี้เพียงขยับ ผู้บำเพ็ญกว่าครึ่งในสำนักนำบารมีร่างระเบิดแหลก ตาย ณ ตรงนั้น เลือดหอบม้วนเข้าไปในต้นไม้ คนที่เหลือบาดเจ็บสาหัส ต่างกระอักเลือดออกมา

เมื่อขยับอีกครั้งสำนักพังถล่ม ฟ้าถล่มดินทลาย แผ่นดินแตกออก สิ่งก่อสร้างทุกแห่งล้มครืนทันที เขื่อนแห่งนั้นระเบิดเป็นเสี่ยงๆ

ไม่มีการขวางกั้นจากเขื่อน น้ำจากแม่น้ำเร้นหมื่นเทพไหลบ่าไปตามทางภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย โถมทะลักซัดโหม

ขยับครั้งที่สาม ต้นไม้เลือดออกดอก มีเสียงเก่าแก่โบราณดังออกมาจากข้างใน

“สำนักนำบารมีสังหารลูกศิษย์ของพันธมิตร หลักฐานคาหนังคาเขา ทำลายทั้งสำนักนำบารมี!”

แสงเลือดบนท้องฟ้าท่วมฟ้า ก่อเป็นค่ายกล ในนั้นมีเงาร่างร้อยกว่าร่างปรากฏขึ้น ทุกร่างล้วนกลิ่นอายน่าครั่นคร้าม จิตสังหารบ้าคลั่ง ต่างลอยต่ำลงมา!

ทุกอย่างรวดเร็วเหลือเกิน

พันธมิตรเจ็ดสำนักก่อนหน้านี้เพื่อที่จะกำราบสำนักเจ็ดเนตรโลหิตมีสามสำนักที่กระตุ้นของวิเศษเวทต้องห้าม ตอนนี้สำนักที่ใช้แม้จะมีแค่สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า แต่ในเสี้ยวพริบตา สำนักที่เหลือทั้งหก ก็กระตุ้นของวิเศษเวทต้องห้ามเช่นกัน เพียงพริบตา ท้องฟ้าเหนือพันธมิตรเจ็ดสำนักก็ลมเมฆเปลี่ยนสี

ใต้หล้าสั่นสะเทือน!

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท