เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า – ตอนที่ 194 ศึกตัดสินบนยอดหุบเขานิรันดร์

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 194 ศึกตัดสินบนยอดหุบเขานิรันดร์

หลิ่วสืออีหยุดเดิน ตรงหน้าเขาไม่ใช่เส้นทางภูเขาคับแคบอีก หินกรวดขรุขระ น้ำฝนคละปน เขาถือ ‘นางแอ่นคืนรัง’ โซเซ ค่อยๆ ยืนนิ่ง

เขาพ่นลมหายใจขุ่น แววตาสว่างสดใสขึ้นทีละนิด

ขึ้นยอดหุบเขานิรันดร์ตามหวัง

สายฝนมีแนวโน้วจะซาลง

เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวไม่ใช่เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวอีก แขนเสื้อและอาภรณ์ของหลิ่วสืออีเปื้อนดินโคลน

นี่เป็นเรื่องดี

หากเขายังจำเจตจำนงกระบี่ วิชากระบี่และคัมภีร์กระบี่ที่สืบทอดมาจากตำหนักทะเลสาบกระบี่ได้แม้แต่น้อย เช่นนั้นต่อให้ในมือเขาจะมีเพียงกิ่งไม้แห้ง สายฝนพวกนี้ก็จะไม่กระเซ็นถึงอาภรณ์

ดินโคลนเหล่านี้ ไม่ทำให้หลิ่วสืออีอยู่ในสภาพน่าสงสาร หลังจากเขายืนนิ่ง กลับยิ่งทำให้เขาเหยียดหลังตรงยิ่งกว่าเดิม สองมือกดด้ามกระบี่นางแอ่นคืนรัง ยืนแน่นิ่งดุจศิลาหิน

เขาเห็น ‘วิถี’ ของตนเองแล้ว

เขาเดิน ‘เส้นทาง’ ของตนจบแล้ว

ต่อไป เขาจะรอคนหนึ่งขึ้นเขา

หลิ่วสืออีเอ่ยนามนั้นเสียงเบา

“หนิงอี้”

หลิ่วสืออีรู้ว่าวิถีของตนอยู่ที่ใด เขาแสวงหาความเรียบง่ายถึงที่สุด เลือกลืมวิชากระบี่และเจตจำนงกระบี่ทั้งหมดของตน ปฏิบัติตามเจตนาเดิมของตน ตอนนี้เขาเดินมาถึงยอดหุบเขานิรันดร์ จิตกระบี่ประจำตัวดวงนั้นรวมเป็นตัวอ่อนแรกแล้ว ห้อยอยู่ในทะเลสาบจิต ตกลงช้าๆ ไม่นานก็กำเนิดจิตกระบี่ที่สมบูรณ์แบบ

จากนี้วิถีกระบี่ที่เขาเดินก็คือวิถีกระบี่ของตนเองเท่านั้น

หนิงอี้เลือกดูศิลาหินทั้งหุบเขานิรันดร์ นี่อาจจะเป็น ‘วิถีกระบี่’ อีกแบบ สำหรับตน ในด้านเนื้อแท้ไม่มีการแบ่งสูงต่ำ

หลิ่วสืออีกำลังรอหนิงอี้ขึ้นสู่ยอด

ทะเลสาบจิตของเขาดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ความจริงยังคงปั่นป่วน เดือดพล่านขึ้นฟ้า ทุกหยดน้ำข้างในกำลังสั่นไหว ทุกหยดชัดเจน มีแนวโน้มจะพุ่งขึ้นฟ้า วิชากระบี่ทักษะกระบี่และคัมภีร์กระบี่ของตำหนักทะเลสาบกระบี่พวกนั้น เดิมทีลืมไปในเส้นทางหุบเขานิรันดร์หมดสิ้นแล้ว ตอนนี้นึกขึ้นได้อีกครั้ง

หลิ่วสืออีพ่นลมหายใจยาว ให้ตนคงสติเอาไว้เสี้ยวหนึ่ง

ความทรงจำในอดีตพวกนั้นถูกเขาโยนไว้ข้างหลัง เหลือเพียงเค้าโครงที่เรียบง่ายที่สุด นั่นคือกระบี่ที่ตนกวัดแกว่งไปในหุบเขานิรันดร์

มือข้างหนึ่งของเขาถือด้ามกระบี่ อีกมือจับข้อมือ

พร้อมจะดึงกระบี่นั้นที่ปักลงดินขึ้นมาทุกเมื่อ

หยดน้ำฝนตกกระทบถาดหยก หมอกวนเวียนบนยอดหุบเขานิรันดร์

หลิ่วสืออีรอคอยเงียบๆ

เขาอยากให้หนิงอี้มา

เขารู้ว่าหนิงอี้จะมา

เวลาผ่านไปช้าๆ หลิ่วสืออีจับกระบี่นั้นที่ตนตระหนักรู้อย่างมั่นคง ทะเลสาบจิตพลันเกิดคลื่นกระเพื่อม

เขาไม่ได้รอนานนัก

หลิ่วสืออีดึงกระบี่ขึ้นก่อนจะฟันลง

เกิดเสียงดังสนั่น หมอกกระจายไปตามเสียง อีกด้านของยอดหุบเขานิรันดร์ถูกปราณกระบี่ฟันออก เผยใบหน้าแท้จริงดั้งเดิม เผยขั้นบันไดที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน มีร่างเงาชุดคลุมดำขมุกขมัวและเปื้อนดินโคลนเช่นกันเดินขึ้นบันไดมาช้าๆ หนิงอี้ที่หุบร่มกระดาษมัน ลากปลายกระบี่พินิจเหมันต์กับพื้นและกระทบกับขั้นบันไดเบาๆ ไม่หยุด มายืนอยู่บนเส้นทางนั้นที่หมอกกระจายออก

“เส้นทางนั้นเดินยากมาก”

หลิ่วสืออีพูดอย่างจริงจัง “ข้าคิดว่าเจ้าขึ้นมาไม่ได้แล้ว”

“เดินยากมาก” หนิงอี้แสยะปากยิ้ม เขาเหนื่อยล้าทางใจนิดๆ “หากคนเฝ้าหุบเขาไม่ใจดี ข้าก็อาจจะล้มอยู่ตรงศิลาหินของขอบเขตนิพพานแล้ว”

หนิงอี้ต่างจากหลิ่วสืออี อาภรณ์เขาไม่ขาด ร่างกายก็ไม่ได้บาดเจ็บจากปราณกระบี่เลย แต่จิตวิญญาณเขาเหนื่อยล้าถึงที่สุด เส้นทางเก่าแก่ที่เรียงรายศิลาหินนั้นวางคลังสมบัติของคนใหญ่คนโตมากมาย ชุดคลุมดำของคนเฝ้าหุบเขาลอยอยู่ข้างหลังหนิงอี้ เหมือนเป็นวงแขนหนา และยังเหมือนภูเขาเล็กทรงพลัง คอยต้านพายุฝนและจิตวิญญาณ

นั่นเป็นเพียงเสื้อคลุมธรรมดา ชุดคลุมดำปลิวไปตามลม ส่งเสียงดังพึ่บพั่บเบาๆ และเชื่องช้า ตรงขอบชุดคลุมกลายเป็นหมอกขึ้นไม่หยุด เหมือนจิตวิญญาณลอยล่องมารวมกันมากกว่า

หลิ่วสืออียิ้ม “คนเฝ้าหุบเขาดูแลเจ้าดีจริงๆ”

ชุดคลุมนั้นเป็นโชควาสนาที่ไม่ควรมอบให้ใคร

“อาจจะเป็นเพราะคนที่ตระหนักรู้ศิลาหินโดยไม่สนใจกลิ่นอายมรณะอย่างข้าไม่ได้ปรากฏมานานมากแล้วก็ได้” หนิงอี้คลึงแก้ม ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “คนเฝ้าหุบเขาคงอยากให้ข้าแบกรับเคราะห์ร้ายของหุบเขานิรันดร์ไปเยอะๆ กระมัง อัจฉริยะแดนบูรพาพวกนั้นไม่กล้ากินกลิ่นอายมรณะพวกนี้ รวมกันยังไม่เท่าข้าคนเดียวเลย”

หลิ่วสืออีมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ เขาพิจารณามองหนิงอี้อย่างจริงจัง ชุดคลุมดำของเขาเริ่มกลายเป็นหมอกทีละนิด ในชุดคลุมมีมังกรน้ำเล็กหลายตัวพันรอบ ดูน่าเกรงขามมาก แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น พวกนี้เกิดการจากรวมกลิ่นอายมรณะ สองใต้ฟ้าไม่มีหนทางใดลบล้างกลิ่นอายมรณะพวกนี้ได้

หลิ่วสืออีพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าจะเดินเส้นทางนั้นของสวีจั้งรึ”

วิถีของสวีจั้ง มุ่งสู่ความตายและถือกำเนิดขึ้น

ทลายดาราก้าวข้ามขอบเขต ยกระดับปราณกระบี่

หนิงอี้ส่ายหน้า ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “วิถีของสวีจั้งก็คือวิถีของสวีจั้ง ข้าเพิ่งเกิดมาได้สิบกว่าปี ข้ายังใช้ชีวิตไม่พอเลย ใครจะไปเดินวิถีกระบี่แสวงหาความตายนั้นกัน”

หลิ่วสืออีเงียบลง

เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “กินกลิ่นอายมรณะไปมากขนาดนี้ จากนี้เจ้าจะเจอปัญหาใหญ่แน่”

หนิงอี้ไม่ปฏิเสธ เขาตอบนิ่งๆ “หากไม่กินจะมีเยอะกว่านี้อีก”

ปลายร่มกระดาษมันไม่ลากกับพื้นอีก หนิงอี้ขึ้นมาถึงยอดหุบเขานิรันดร์เช่นกัน ชุดคลุมดำกับชุดคลุมขาวยืนบนยอดหุบเขานิรันดร์ หมอกกระจาย สายลมพัดมาเบาๆ

“เมื่อก่อนข้าไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อน”

หนิงอี้พูดปลงเสียงเบา “หลิ่วสืออี เมื่อก่อนข้าเติบโตในเทือกเขาประจิม อยู่อารามโพธิ์ไร้ญาติมิตร รู้ว่าโลกนี้ใหญ่มาก แต่ไม่รู้ว่าใหญ่ขนาดนี้ มีสี่เขตแดน มีเมืองหลวง มีสองใต้ฟ้า ผู้บำเพ็ญขี่กระบี่บินได้ ดีดนิ้วตัดขุนเขาได้ ใช้ปราณกระบี่ตัดแม่น้ำใหญ่ได้”

หลิ่วสืออีฟังอยู่เงียบๆ

หลิ่วสืออีเกิดและเติบโตที่ตำหนักทะเลสาบกระบี่ ความต่างเดียวระหว่างเขากับหนิงอี้คือเกิดมาก็สืบทอดธรรมเนียมของตำหนักทะเลสาบกระบี่ ได้พบเจอยอดผู้บำเพ็ญมากมายในใต้ฟ้าต้าสุย

เขาอยากฟังว่าหนิงอี้จะพูดอะไร

“เทือกเขาประจิมมีสมุดภาพ บันทึกแล้วก็ตำราง่ายๆ แพร่หลาย ในนั้นบรรยายเกี่ยวกับโลกนี้ ตอนนั้นข้าเพิ่งรู้ว่าโลกใหญ่ขนาดนี้ และก็…วิเศษเช่นนี้”

“แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งข้าจะมายืนอยู่ตรงนี้ ใต้เท้าคือผู้บำเพ็ญมากมายในเมืองหลวง” หนิงอี้ยิ้ม แม้จิตใจจะเหนื่อยล้า แต่ดวงตากลับเปล่งประกายแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ

“เราอยู่บนเขา พวกเขาอยู่ใต้ภูเขา ข้านึกถึงตำราโบราณเล่มหนึ่งที่เคยอ่านมาเมื่อนานมากแล้ว ในนั้นมีภาพคล้ายกับตอนนี้มาก”

หนิงอี้เอ่ยทีละคำ “ศึกตัดสินบนยอดหุบเขานิรันดร์”

………………………..

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท