เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า – ตอนที่ 202 วิชาคืนชีพ

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 202 วิชาคืนชีพ

“เจ้าก็เห็นพิธีศพของเขากับตาที่เขาสู่ซานแล้ว คำถามนี้ เจ้ารู้ดีกว่าข้า”

เจ้าภูเขาม่วงไม่หันกลับมา นางเหมือนไม่สนใจจะตอบคำถามนี้เท่าไรนัก

“ดวงตาของคนเป็นสิ่งที่พึ่งพาได้มากที่สุด พิธีศพของเขาสู่ซาน ตำหนักสวรรค์จวนปฐพีเขาศักดิ์สิทธิ์มากมายมารวมกัน…สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสวีจั้งแบกรับคำสาปสายเลือดจักรพรรดิของราชวงศ์ต้าสุยไว้” ฉู่เซียวเอ่ยราบเรียบ “เขาสังหารองครักษ์แห่งแม่น้ำวายุแดง ตราประทับในตัวไม่มีวันลบเลือนหายไป มีแต่ตายไปเท่านั้นถึงจะลบตราประทับนั้นให้หายไปจากโลกนี้ได้”

หนิงอี้ยิ้มเย้ยเยาะตัวเอง “ปัญหาคือ สวีจั้งเคยบอกกับข้าว่าคนเรามักจะเชื่อสายตาตัวเองมากเกินไป สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่ความจริงเสมอไป…ดังนั้นตอนที่เปิดโลงศพ ข้ายังคงกอดความเพ้อฝันว่าบุรุษคนนี้ยังไม่ตาย ยังมีชีวิต ไม่อย่างนั้นเหตุใดเขาสู่ซานถึงปิดภูเขาตั้งหนึ่งปีกัน”

เขารวมความกล้าก้มตัวแสดงความเคารพ ก่อนพูดอย่างจริงจัง “ข้าไม่กล้ามองร่างบุรุษคนนั้นหลังจากตายไปแล้ว แต่ข้ายังคงคิดว่าคนเช่นเขาไม่ควรตายไปเช่นนี้ ตอนนี้ข้าศึกษาศิลากระบี่หุบเขานิรันดร์ ในตัวข้ามีกลิ่นอายมรณะเวียนวน ในใจมีลางสังหรณ์เลือนรางอย่างหนึ่ง ภายภาคหน้าจะมีหายนะมาสู่ตัวข้า ไม่ว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร ข้าจะไม่นั่งตายที่ภูเขาม่วงอย่างเงียบงัน ไม่พบเจอกันอีกเหมือนกับสวีจั้งเด็ดขาด”

ฉู่เซียวหมุนตัวกลับมาช้าๆ ใบร่มที่บางแต่กว้างนั้นบดบังใบหน้านาง “เจ้าดูศิลากระบี่ทั้งหุบเขานิรันดร์ ก็เพื่อสัมผัสความรู้สึกตอนที่กลิ่นอายมรณะมาถึงรึ”

หนิงอี้แสยะปากยิ้ม “ไม่ใช่ทั้งหมด ข้าแค่อยากลองเดินเส้นทางของสวีจั้ง ดูว่าเขาหลอกข้าหรือไม่”

เจ้าภูเขาม่วงใต้ร่มเงียบลงไปพักหนึ่ง

“เจ้าบ้าหรือโง่กันแน่ ไม่เคยมีใครดูดซับกลิ่นอายมรณะเพียงเพื่อสัมผัสความรู้สึกตอนเคราะห์มรณะมาถึงหรอก หากฝ่าไปไม่ได้ เจ้าก็จะตายจริงๆ”

หนิงอี้รอคำพูดนี้มานานมาก

เขาสูดลมหายใจเบา ก่อนจะถามอย่างสัตย์จริง “เช่นนั้น หากตายจริงๆ แล้ว…จะมีวิชาคืนชีพหรือไม่”

ฉู่เซียวโกรธจนแทบจะขำออกมา

“ภูเขาม่วงศึกษาวิชาเกิดดับ…แต่เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ช่วยเหลือผู้คนรึ ต่อให้เป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งแห่งเขาวิญญาณก็ช่วยคนที่ตายไปแล้วไม่ได้” นางขยับร่มออกตามจิตใต้สำนึก เมฆหมอกพลันกระจาย เผยใบหน้าเด็กหญิงน่ารัก เพราะโกรธนี้เองทำให้ใบหน้ารูปไข่เยาว์วัยมีความเคร่งขรึมเพิ่มมาสามสี่ส่วน ฉู่เซียวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่เจ้ากำลังหาทางให้สวีจั้งเดินมาส่งฝักกระบี่ตรงหน้าเจ้ารึ”

หนิงอี้มองใบหน้าเจ้าภูเขาม่วง เวลานี้เหม่อลอยไปเล็กน้อย เขาไม่นึกเลยว่ายอดฝีมือภูเขาม่วงที่ฝึกวิชาต้องห้ามเกิดดับคนนี้จะฝึกจนตัวเองกลายเป็นสภาพนี้ ได้ยินว่าผู้อาวุโสฉู่เซียวเป็นคนยุคเดียวกับคุณชายลู่เซิ่งแห่งเขาสู่ซาน อยู่มาจะห้าร้อยปีแล้ว ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเพียง…เด็กหญิงเยาว์วัยหรือ

เขารีบเรียกสติกลับมา ก่อนพูดอย่างจริงจัง “ไม่ใช่…ข้าแค่แปลกใจเท่านั้น นานๆ ทีจะได้พบผู้จริงแท้อาวุโส หากไม่ถามคำถามพวกนี้ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว อีกอย่าง ในด้านขอบเขตต้องห้ามนี้ ผู้อาวุโสก็ยังจัดเป็นอันดับหนึ่งในใต้ฟ้าต้าสุย”

ฉู่เซียวแค่นเสียงขึ้นจมูก ไม่สนใจการประจบประแจงของหนิงอี้เลย พอได้ยินเด็กหนุ่มเน้นคำว่า ‘ผู้จริงแท้อาวุโส’ นางก็ขยับร่มกระดาษมันสีแดงกลับมา กดร่มลง หมอกกลับมาตำแหน่งเดิม บดบังใบหน้าแท้จริงของนางไว้

หนิงอี้เห็นแบบนั้นก็ยิ้มแหยๆ

เด็กหญิงใต้ร่มลังเล เหมือนกำลังคิดว่าจะพูดดีหรือไม่

ร่างนี้ของฉู่เซียวไม่ใช่ร่างที่นางอยากให้คนอื่นเห็น ก่อนหน้านี้ตอนที่สวีจั้งมาภูเขาม่วง นางไม่ได้ปรากฏกายเลยก็เพราะเรื่องของวิชา สุดท้ายต้องใช้จิตมาอยู่ข้างหลังสวีจั้ง

ภูเขาม่วงปิดภูเขาตลอดทั้งปี

หลังจากเนี่ยหงหลิงตาย ภูเขาม่วงก็เหลือเพียงนาง ‘คน’ เดียว วิชาที่ฉู่เซียวฝึกฝนทำให้นางอยู่มาได้เกินห้าร้อยปีเป็นคนแรก ทว่ามรณะตัดขาด การออกมาครั้งนี้ก็เพื่อตามหาศิษย์ที่ตนถูกใจ

เพราะการฝึกวิชาเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย ท้ายที่สุดตอนที่ออกเดินทาง จึงได้แต่หยิบเอาร่างเด็กหญิงเยาว์วัยออกมา ดีที่ระหว่างทางมานี้ ฉู่เซียวไม่ได้เจอคนโง่ไม่รู้จักดีชั่ว เดินทางมาได้อย่างราบรื่น ที่มาถึงเมืองหลวงเพียงลำพังด้วยร่างเด็กหญิงได้ก็ต้องยกความดีให้กับร่มกระดาษมันคันนี้

หนิงอี้มองร่มแดงนั้น เขาหยั่งเชิงถาม “ร่มนี้ของผู้อาวุโส…”

“คุณชายลู่เซิ่งแห่งเขาสู่ซานให้ข้ามา” ฉู่เซียวพูดเสียงเบามาก “ลู่เซิ่งกับเจ้าหรุยเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันมาก เมื่อก่อนสองคนก็มาเที่ยวเล่นที่ภูเขาม่วงบ่อยๆ ร่มแดงคันหนึ่งร่มขาวคันหนึ่ง ล้วนเป็นสมบัติระดับสูงสุดของเขาสู่ซาน ต่อมาเจ้าหรุยไปล่ายอดปีศาจที่แดนอุดร ดึงเส้นเอ็นกระดูกมัน ทำศึกตัดสินกับยอดปีศาจสูงสุดของใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ สู้จนร่มพัง ศึกนี้ได้สร้างชื่อเสียงของ ‘บุตรหินผาบูรพา’ หลังจากหลอมสร้างพินิจเหมันต์ ลู่เซิ่งก็ไม่อยู่เขาสู่ซานแล้ว เขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จึงทำพินิจเหมันต์เป็นแกนกระบี่ นานวันเข้าก็ใช้เป็นร่ม

ตอนนั้นสวีจั้งพกกระบี่ลงเขาสู่ซาน ตรงเอวห้อยกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง ร่มกระดาษมันอีกคัน ปุถุชนต่างคิดว่ากระบี่ยาวนั้นคือพินิจเหมันต์ สวีจั้งใช้กระบี่ยาวธรรมดานั่นสังหารคนไปมากมาย ใช้ไอสังหารหล่อเลี้ยงปราณกระบี่ ทำลายความกล้าหาญของอัจฉริยะไปหลายคน วันนั้นที่ทำศึกตัดสินกับอันดับสามรายนามดารา เขาชักพินิจเหมันต์ออกมาสังหารด้วยกระบี่เดียว และวันนั้นก็เป็นวันที่เขาได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง”

หนิงอี้ฟังเรื่องราวเก่าๆ ของเขาสู่ซานพลางรู้สึกเหม่อลอย เหมือนกลับไปในยุคนั้น

มิน่าสวีจั้งถึงทำพินิจเหมันต์เป็นแบบนั้น…คืนนั้นที่ออกล่าโจรม้าในเมืองสันติ สวีจั้งบอกกับตนว่าร่มกระดาษมันคันนี้เป็นของสำคัญ ตนคิดว่าพินิจเหมันต์หนักมาก แต่นานวันเข้าก็ยิ่งรู้ว่าน้ำหนักของสิ่งของเช่นนี้ ยังถูกตนประเมินต่ำไปอยู่ดี

หนิงอี้สูดลมหายใจเข้า

“ร่มแดงคันนี้ เดิมทีข้าจะให้กับเนี่ยหงหลิง” ฉู่เซียวเอ่ยเสียงแหบ “นางกับสวีจั้ง สองคนเคยท่องเดินทางใต้ฟ้าต้าสุยด้วยกัน พินิจเหมันต์กับร่มแดง หากไม่มีเรื่องราวภายหลัง ข้าก็คงไม่ออกจากภูเขาม่วงมาครั้งนี้”

“ผู้อาวุโสออกจากภูเขามาครั้งนี้…เพื่อตามหาศิษย์รึ” หนิงอี้เหมือนจับประเด็นสำคัญในคำพูดเจ้าภูเขาม่วงได้ ฟังจากน้ำเสียง เหมือนตั้งใจพูดให้ตนฟังด้วย “ผู้อาวุโสเจอคนที่ถูกใจแล้วหรือ”

ฉู่เซียวไม่เลี่ยงคำถามของหนิงอี้ แต่ตอบตรงๆ “ใช่”

หนิงอี้ก้มหน้าลง ยิ้ม เขาไม่ถามอะไรมากอีก แค่พูดอย่างคลุมเครือ “หากไม่ยินยอม ผู้อาวุโสก็จะชิงตัวกันโจ่งแจ้งไม่ได้หรอกกระมัง”

ฉู่เซียวทำเสียงหึ

หนิงอี้ยิ้มหน้าทะเล้น “ภูเขาม่วงเป็นที่ที่ดี น่าเสียดายว่าข้าเข้าเขาสู่ซานไปแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะขอไร้ยางอายฝึกฝนมหามรรคเกิดดับกับผู้อาวุโสแน่ ตอนนี้ยังทันหรือไม่ ผู้อาวุโสฉู่เซียว สอนข้าสักวิชาเถอะ ไม่ขอทุบตีลั่วฉางเซิงจนกลัวขี้ขึ้นสมอง แต่แค่ทุบตีเฉาหลันแห่งแดนอุดรได้ก็พอแล้ว”

“ได้สิ” เด็กหญิงใต้ร่มแดงเปิดใบร่มขึ้น เผยใบหน้าอมยิ้ม สายตามองไปรอบตัวหนิงอี้เหมือนคิดอะไรบางอย่าง “อยากจะจัดการเฉาหลันได้สบายๆ รึ ไม่มีปัญหา”

หนิงอี้พลันรู้สึกถึงความหนาว เขาก้มหน้าลงตามสายตาของเจ้าภูเขาม่วง รู้สึกสั่นไปทั้งตัว

“หนิงอี้ คุณสมบัติของเจ้าใช้ได้เลยจริงๆ อยากเข้าภูเขาม่วงเมื่อไรก็มาได้ น่าเสียดายว่าภูเขาม่วงข้าไม่รับบุรุษ อยากเป็นศิษย์ของข้า เจ้าก็ลองตวัดดาบตอนตัวเองเสีย หากทำใจไม่ได้ ข้าจะช่วยเจ้าเดี๋ยวนี้เลย” เด็กหญิงชุดแดงยิ้มแป้น ยกมือข้างหนึ่ง หมอกหุบเขานิรันดร์ไหลหลากเข้ามา

“ไม่ละๆ…” หนิงอี้รีบโบกมือปฏิเสธ ตรงหน้าผากเขามีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา เด็กหญิงชุดแดงตรงหน้าโบกมือ เมฆหมอกพุ่งเข้ามาแล้วก็สลายหายไป มาเร็วไปเร็ว ลมหายใจเดียวก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงบ

เด็กหญิงชุดแดงที่เก็บหมอกหุบเขานิรันดร์มองหนิงอี้พลางพูดนิ่งๆ “โลกนี้อาจจะมีวิชาคืนชีพคนตายอยู่จริงๆ ก็ได้”

หมอกไปและมาดูเหมือนตามอำเภอใจ แต่ความจริงมีเจตนารมณ์แฝงอยู่

หนิงอี้เงยหน้าขึ้นพบว่าจิตของตนไม่อาจส่งออกไปได้ ฉู่เซียวใช้ยอดวิชาปิดกั้นพื้นที่นี้ไว้ ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกไปได้

หนิงอี้เม้มปาก เขารู้ว่าสิ่งที่เจ้าภูเขาม่วงจะพูดต่อไปได้ เกรงว่าคงเป็นเนื้อหาในขอบเขตต้องห้ามนั้นอย่างแท้จริง

“การนั่งลืมของสำนักเต๋า การต่อไฟของฝ่ายพุทธ ล้วนเป็นวิชาคืนชีพในความหมายบางอย่าง” ฉู่เซียวเอ่ยราบเรียบ “พระโพธิสัตว์ของฝ่ายพุทธ ผู้สูงศักดิ์สวรรค์ของสำนักเต๋า ส่งต่อพลังบำเพ็ญทั้งชีวิตของตนไปยังผู้มีวาสนารุ่นต่อไป นี่เป็นโชควาสนายิ่งใหญ่ แต่ไม่ใช่การคืนชีพคนตายที่ภูเขาม่วงแสวงหา”

“หากเจ้าเคยพบซ่งเชวี่ยแห่งเขาวิญญาณ กูอีเหรินเจ้าปราชญ์บ่อหยก ก็จะรู้ว่ายอดฝีมือที่ได้รับการสืบทอดพลังมาสองคนนี้ หากวัดกันที่ผลลัพธ์ ผู้สูงศักดิ์สวรรค์กับพระโพธิสัตว์มีชีวิตอยู่มาได้จริงๆ แต่ความทรงจำในภพก่อนเลือนราง เหลือแค่เศษเล็กๆ น้อยๆ”

ใบหน้าเด็กหญิงชุดแดงราบเรียบ “ภูเขาม่วงข้าถูกจัดในเขาศักดิ์สิทธิ์ต้าสุย ผ่านมรสุมมาหลายพันปี หินครามในภูเขาไม่เคยพังทลายก็เพราะอาศัยวิชาต้องห้ามเกิดดับที่แกร่งที่สุดในโลก!”

“ผู้อาวุโส…วิชาคืนชีพคนตายอยู่ภูเขาม่วงจริงรึ” หนิงอี้ถามด้วยความเฝ้ารอคอย

“วิชาของภูเขาม่วง ไม่ได้ไปตามเส้นทางคืนชีพคนตาย แต่เป็นหากผู้บำเพ็ญยังไม่ตาย เช่นนั้นก็มีวิธีให้ตัวเองมีชีวิตยืนยาวได้” ฉู่เซียวส่ายหน้า

เด็กหญิงชุดแดงหรี่ตาลงพิจารณามองหนิงอี้ พบว่าใบหน้าอีกฝ่ายเหมือนจะมีความผิดหวังวูบผ่าน ก่อนจะยิ้มเย้าหยอก “พูดไปแล้ว เจ้าคิดว่าข้าล้อเจ้าเล่นหรือ”

หนิงอี้ส่ายหน้าก่อนยิ้มเจื่อนๆ “ความจริงข้าก็รู้เรื่องที่ผู้อาวุโสพูดมาอยู่แล้ว”

ฉู่เซียวเอ่ยราบเรียบ “สิบปีมานี้ นอกจากพันกรกับสวีจั้งแล้ว ก็ไม่มีใครเคยมาเยือนภูเขาม่วงข้าอีกเลย…มีเพียงข้อยกเว้นเดียว”

หนิงอี้เงยหน้าด้วยความงุนงง

“เมื่อไม่นานมานี้มีคนชื่อ ‘อู๋เต้าจื่อ’ กลับมาอีก” ฉู่เซียวมองหนิงอี้พลางเลิกคิ้วขึ้น “คนนั้นบอกว่าเขาเจอเบาะแสของวิชาคืนชีพแล้ว”

………………………

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน