ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 26 จดหมาย

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 26 จดหมาย

กลับเมืองหลวงหรือ

ลั่วเฉินขมวดคิ้วเอ่ย “ข้าไม่ชอบล้อเล่น”

เด็กหนุ่มอายุประมาณสิบสองสิบสามปี ขมวดคิ้วบอกว่าไม่ชอบล้อเล่น เหตุใดเมื่ออยู่ในสายตาของลั่วเซิงกลับรู้สึกว่าน่าขัน

“ท่านหัวเราะอะไร” ลั่วเฉินจับสายตายิ้มเยาะของลั่วเซิงได้อย่างเฉียบคม รู้สึกรำคาญเล็กน้อย

“ข้าไม่ได้ล้อเล่น ก็แค่มาบอกเจ้า”

ดวงตาของเด็กหนุ่มที่ราวกับอัญมณีสีดำจ้องไปที่ลั่วเซิง สังเกตอีกฝ่ายอย่างตั้งใจแล้วขมวดคิ้วแน่น “ท่านอย่าเอาแต่ใจตนเอง ท่านพ่อส่งท่านมาหลบภัย ท่านบอกว่าอยากกลับก็กลับเช่นนี้ได้หรือ”

ท่านพ่อกลัวว่าลั่วเซิงมาที่จวนท่านตาแล้วจะพาพวกสาวใช้อันธพาลกลุ่มหนึ่งมาก่อความวุ่นวายจึงให้หงโต้วตามมาได้แค่คนเดียว นั่นชัดเจนแล้วว่าตัดสินใจจะให้ลั่วเซิงอยู่ที่จินซา

“ไม่ต้องพูดว่าหลบภัยให้มันดูเกินจริงเช่นนั้นก็ได้ แค่ไม่อยากเห็นข้าก่อเรื่องใหญ่เลยส่งมาไว้ที่จวนตาก็เท่านั้น” ลั่วเซิงอดทนที่จะอธิบายอย่างมากและเอ่ยต่อ “ตอนนี้ข้าก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้นแล้วมิใช่หรือ”

ลั่วเฉินหมดคำพูดชั่วขณะ

เปลี่ยนเป็นดีขึ้นตรงไหน มิใช่ใช้เรื่องของเซิ่งจยาหลานสั่นคลอนไปทั่วทั้งเมืองจนทำให้ชื่อเสียงตระกูลบรรพบุรุษสูญสิ้นไปหมดหรอกหรือ

แน่นอนว่าในความคิดของเขา เซิ่งจยาหลานหาเรื่องใส่ตัวเอง เหล่าน้าสะใภ้ก็จัดการกับข่าวลือด้วยวิธีเอาหูไปหาเอาตาไปไร่ ทำให้เขาไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก แต่ลั่วเซิงก็เปิดเผยเรื่องฉาวนี้ด้วยท่าทีรุนแรง ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนกุลสตรีผู้สูงศักดิ์ที่เปลี่ยนจากร้ายเป็นดีเอาเสียเลย

ลั่วเซิงเอื้อมมือไปลูบศีรษะเด็กหนุ่ม “เอาเถอะ เรื่องของพี่สาวเจ้าไม่ต้องกังวลใจ รักษาตัวเองให้ดีก็พอ”

รอจนลั่วเซิงออกไป เด็กหนุ่มจึงได้สติกลับมา จับศีรษะด้วยความโกรธ

ลูบศีรษะเขาอีกแล้ว!

มีอย่างที่ไหนที่กุลสตรีสูงศักดิ์จะมาลูบศีรษะผู้ชายกันง่ายๆ เช่นนี้ น้องชายก็ไม่ได้!

คิดแล้วก็โกรธมาก ลั่วเฉินเอียงศีรษะสั่งฝูซง “ครั้งหน้านางมาอีกก็ปิดประตูให้แน่น”

ฝูซงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “หาก…หากส่งอาหารมาให้ล่ะขอรับ”

ลั่วเซิงเหลือบมองฝูซงอย่างสงสัย พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “หากเป็นอาหารก็ต้องรับไว้”

เรื่องง่ายๆ แค่นี้ยังต้องถาม เด็กรับใช้ของเขาทำไมถึงทึ่มเช่นนี้

ช่วงค่ำเป็นงานเลี้ยงครอบครัว

เมื่อเห็นคนอยู่กันครบอย่างหาได้ยาก ลั่วเซิงก็ใช้ผ้าเช็ดมุมปากแล้วพูดขึ้น “ท่านยาย ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่านเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งใบหน้าที่อ่อนโยน “เซิงเอ๋อร์มีเรื่องอะไรหรือ”

หมูสามชั้นน้ำแดงชามนั้นทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าติดใจรสชาติจนถึงทุกวันนี้ เมื่อเห็นหลานสาวที่สามารถทำหมูสามชั้นน้ำแดงได้อย่างต่อเนื่องก็สนิทใจเสียยิ่งกว่าเห็นหมูสามชั้นน้ำแดงเสียอีก

เซิ่งจยาอวี้เห็นท่านยายมีสีหน้าอ่อนโยนต่อลั่วเซิงก็อดบีบตะเกียบแน่นไม่ได้

ไม่ใช่อิจฉา เพียงแค่รู้สึกไม่ยุติธรรมเล็กน้อยเท่านั้น

ถึงแม้จะเป็นเรื่องของน้องสาวรองลั่วเซิงก็ถูกเสมอ แต่ก่อนหน้านี้ลั่วเซิงก่อเรื่องวุ่นวายมากมาย เหตุใดท่านยายไม่เคยถือสาเลยสักนิด

งานเลี้ยงครอบครัวดีๆ เช่นนี้ ลั่วเซิงยังอยากจะพูดอะไรอีก

ลั่วเซิงเห็นความสนใจของทุกคนพุ่งมาที่นางก็เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ข้าจะกลับเมืองหลวง”

ตะเกียบในมือของฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งแทบจะร่วงลง

ฮูหยินใหญ่กับฮูหยินรองมองตากัน มองเห็นความตกตะลึงในดวงตาของอีกฝ่าย

เซิ่งจยาอวี้กัดริมฝีปากเล็กน้อย

ลั่วเซิงต้องการทรมานคนอีกแล้วจริงด้วย!

เห็นลั่วเซิงดูไม่เหมือนล้อเล่น ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งก็เอ่ยห้วนสั้น “เซิงเอ๋อร์ ตอนที่ท่านพ่อของเจ้าให้คนมาส่งเจ้าตอนนั้นบอกไว้ว่าให้เจ้าอยู่ที่นี่กับท่านยายให้นานหน่อย…”

กล่าวว่าอยู่นานๆ หน่อยคือคำพูดอ้อมค้อม ความจริงแล้วแม่ทัพลั่วขอร้องให้ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งดูแลเรื่องงานแต่งของลูกสาวตน ต่อจากนี้ก็ให้ใช้ชีวิตอยู่ที่จินซา

ลั่วเซิงลดสายตาลงเม้มริมฝีปาก “ข้าคิดถึงบ้านเจ้าค่ะ”

เพียงแค่ประโยคเดียวทำให้ภายในเรือนยิ่งเงียบ แม้แต่ลั่วเฉินที่จะเอ่ยปากก็เม้มริมฝีปากแน่น

ลั่วเซิงมองฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่ง น้ำเสียงยังคงราบเรียบ “ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าเขียนจดหมายถึงท่านพ่อ ท่านพ่อรับปากให้ข้ากลับเมืองหลวงได้”

“จริงหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งรู้สึกคาดไม่ถึง สีหน้าสงสัยมองลั่วเซิง

ลั่วเซิงหยิบจดหมายออกมาจากใส่แขนเสื้อส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่ง “นี่คือจดหมายที่ท่านพ่อตอบกลับมาเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งลังเลใจเล็กน้อยยืนมือไปรับ หลังจากเปิดดูก็เงียบลง

เป็นจดหมายที่ท่านแม่ทัพลั่วเขียนจริง ใจความคือในเมื่อลูกสาวประพฤติตัวดีแล้ว เช่นนั้นก็กลับมาเถอะ และแสดงความขอบคุณต่อสกุลเซิ่งด้วย

หลังจากนั้นเนิ่นนาน ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งก็ถอนใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็กลับไปเถอะ”

นางเป็นเพียงแค่ยาย เรื่องใหญ่เช่นนี้ก็ต้องฟังพ่อแท้ๆ ของนาง

ลั่วเซิงลุกขึ้น โค้งคำนับต่อฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งอย่างนอบน้อม “ขอบคุณท่านยายที่อนุญาตเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งมุมปากขยับเล็กน้อย

นางไม่ได้อยากทำตามสักนิด ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น หมูสามชั้นน้ำแดงของนางจะทำอย่างไร

เมื่อคิดเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ใจสลาย

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งกระตุ้นจิตวิญญาณตัวเองขึ้นมาอย่างแรงกล้าหัวเราะกับลูกสะใภ้ทั้งสอง

ฮูหยินใหญ่กับฮูหยินรองยังอยู่ในความตื่นตะลึงและดีใจ

ตื่นตะลึงเรื่องที่คุณหนูหลานนอกตัดสินใจกลับเมืองหลวงรวดเร็วเช่นนี้ และดีใจที่คุณหนูหลานนอกกลับไปเสียที สกุลเซิ่งจะได้กลับคืนสู่ความสงบสุข

แต่ถูกฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งหัวเราะเช่นนี้ ทั้งสองคนอดที่จะอกสั่นขวัญหายชั่วครู่ไม่ได้และเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา

“เจ้าใหญ่ต้องดูแลบ้าน เจ้ารองต้องออกจากบ้านไปทำงาน จะให้เซิงเอ๋อร์ไปเมืองหลวงคนเดียวข้าไม่วางใจ สะใภ้ใหญ่ สะใภ้รอง พวกเจ้าคิดว่าบรรดาพวกคุณชายใครไปส่งเซิงเอ๋อร์เหมาะสมที่สุด”

ฮูหยินใหญ่กับฮูหยินรองสีหน้าเปลี่ยนไปทั้งหมด ทั้งคู่มองไปยังพวกคุณชายใหญ่เซิ่ง

คุณชายเซิ่งทั้งสี่ตะลึงงันอยู่กับที่

ส่ง ส่งพี่สาวกลับเมืองหลวงหรือ

“ไม่รบกวนพวกพี่ใหญ่แล้ว ข้ากับลั่ว…พี่สาวกลับเมืองหลวงด้วยกันได้” ในความเงียบที่น่าอึดอัดใจ ลั่วเฉินพูดขึ้นมา

“ไม่ได้”

ลั่วเฉินสีหน้าไม่พอใจจ้องลั่วเซิง “เหตุใดจึงไม่ได้”

ลั่วเซิงกล่าวตามความจริง “ร่างกายของเจ้าไม่ไหว เดินทางไกลเช่นนี้ล้มป่วยไปจะทำอย่างไร”

ลั่วเฉินโกรธมาก

ร่างกายใครไม่ไหว ตอนนี้มื้อหนึ่งเขากินหมั่นโถวได้ตั้งสองลูก

ลั่วเซิงเห็นลั่วเฉินไม่ยอมแพ้จึงเอ่ยอย่างเมินเฉยว่า “ท่านพ่อส่งเจ้ามาจวนท่านตาเพื่อรักษาอาการป่วย เจ้าไม่พูดสักคำก็จะหนีกลับไปไม่ยิ่งทำให้ท่านยายลำบากหรือ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งรีบเอ่ย “ใช่แล้ว เฉินเอ๋อร์ เจ้าออกจากบ้านไปไกลยายก็ยิ่งไม่ไว้วางใจ เจ้าอยู่ที่นี่ให้สบายใจเถอะ ให้พวกพี่ชายเจ้าไปส่งพี่สาวเจ้าก็พอ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยพลางมองกวาดสายตามองพวกหลานๆ

คุณชายเซิ่งทั้งสี่รู้สึกว่าเหมือนมีดเล็กๆ แทงเข้ามาในร่างกาย รู้ดีแก่ใจว่าหลบเลี่ยงไม่ได้ จะต้องมีสักคนที่โชคร้ายต้องเสียสละ

ผู้เดียวที่กลัวว่าจะถูกสั่งให้ไปอย่างคุณชายรองเซิ่งหัวเราะฮ่าๆ เอ่ย “ท่านยาย เรื่องใหญ่เช่นนี้พวกเราอยากปรึกษาเป็นการส่วนตัวสักครู่ ดูว่าใครไปส่งน้องหญิงจะเหมาะสมกว่า”

“ก็ดี” ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งพยักหน้ารับ

ให้หลานชายส่งหลานสาวกลับเมืองหลวงเพื่อแสดงให้เห็นว่าสกุลเซิ่งให้ความสำคัญกับอีกฝ่าย ส่วนจะเป็นหลานชายคนไหนนางไม่ได้บังคับ

ลูบท้องที่กินอิ่มจนพุงกางในทุกวันนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งรู้สึกจุกจนพูดไม่ออกชั่วขณะ การเดินทางเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ เซิงเอ๋อร์ไม่มีทางขาดอาหารอร่อยไปได้ ก็ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กบ้าคนไหนจะลาภปาก

เหลือบมองพวกหลานๆ ที่ใบหน้าบึ้งตึง ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งก็อุทานด้วยความไม่พอใจ

เจ้าเด็กพวกนี้ตัวอยู่ในความสุขแต่กลับไม่เห็นค่า!

“แยกย้ายกันเถอะ” แค่คิดว่าต่อไปจะไม่ได้กินอาหารที่หลานสาวทำ ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งก็หมดอารมณ์จะไล่คนแล้ว

พอได้ยินคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่ง ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปอย่างเป็นกังวล

หงโต้วกลับถึงเรือนก็ยืนอยู่ตรงหน้าลั่วเซิง เอ่ยถามอย่างจริงจัง “คุณหนู ท่านเขียนจดหมายถึงท่านแม่ทัพใหญ่เมื่อใดกัน แล้วได้รับจดหมายเมื่อใดหรือเจ้าคะ”

หรือว่าเป็นนังตัวดีคนไหนที่สะสางธุระของคุณหนูข้ามหน้านางกัน

จะยอมปล่อยผ่านไปได้อย่างไร!

ความจริงจังของสาวใช้ทำให้ลั่วเซิงตกตะลึงจึงสารภาพตามตรงว่า “ข้าไม่เคยเขียนแล้วก็ไม่เคยได้รับจดหมายด้วย”

“เช่นนั้นจดหมายฉบับนี้…”

“เอ่อ ข้าปลอมขึ้นมาเอง”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท