ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 41 ฝนตกหนัก

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 41 ฝนตกหนัก

เว่ยหานควบม้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทิ้งพวกลั่วเซิงไว้ด้านหลังไกลลิบ

ด้านหน้ายังคงเป็นภูเขาและต้นไม้เขียวขจี

ม้าค่อยๆ ชะลอความเร็วลง

องครักษ์ดึงสายบังเหียนเข้ามาใกล้ และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามความสงสัยที่ค้างคาในใจ “นายท่าน ท่านเอากริชสีสันฉูดฉาดนี้มาทำอะไรหรือ”

เว่ยหานเหลือยมององครักษ์ด้วยสีหน้านิ่งเฉย รู้สึกว่ากริชในอ้อมอกน่ารำคาญมาก

เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเอากริชสีสันฉูดฉาดเล่มนี้มาทำไม!

เขาเอ่ยถึงกริช เดิมทีต้องการบอกเป็นนัยว่าเขาจำคุณหนูลั่วที่ปิดบังใบหน้าในค่ำคืนนั้นได้ และอยากเห็นความตื่นตระหนกของอีกฝ่ายเพื่อเป็นการยืนยันความคิดของเขา

คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะหยิบกริชออกมาและขายให้เขาอย่างใจกว้าง…ใบหน้าของเว่ยหานยิ่งดูเย็นชาเมื่อนึกถึงเรื่องนี้

“รู้สึกเสมอว่าท่านขาดทุน แม้ไม่ได้ใช้เงิน แต่ต้องทำงานให้กับคุณหนูลั่ว ลองเปลี่ยนเป็นคนอื่นสิ จ่ายสามหมื่นตำลึงขอให้ท่านช่วยยังไม่ได้เลย”

“พล่ามมาก! ข้าย่อมมีแผนการของข้า” เว่ยหานรู้สึกเสียหน้าจึงตะคอกอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเย็นชา

เจ้าสารเลวนี่ยังจะมาย้ำเตือนอยู่นั่นว่าเขาตกหลุมพรางตัวเอง

องครักษ์กลับเข้าใจความหมายของเว่ยหานผิดไป

มีแผนการอย่างนั้นหรือ

ช้าก่อน เขาละเลยอะไรไปหรือ

ใบหน้าอันงดงามของหญิงสาวแวบเข้ามาในสมองขององครักษ์

ใช่แล้ว เขาเคยคาดเดาว่านายท่านชื่นชอบคุณหนูลั่ว แต่เขาไม่อยากเชื่อว่านายท่านจะเป็นคนตื้นเขินเช่นนี้ แต่บัดนี้ไม่เชื่อไม่ได้แล้ว

มิเช่นนั้นจะอธิบายได้อย่างไรว่านายท่านยืนกรานที่จะเอากริชของหญิงสาวมาทำไม

เมื่อมองใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหล่าและเย็นชาของนายท่าน สายตาขององครักษ์ก็เต็มไปด้วยความนับถือ

ล้วนพูดกันว่านายท่านของพวกเขาต้องจะมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปจนแก่ ช่างไร้สาระสิ้นดี

“นายท่าน ต้องหากล่องมาใส่กริชของคุณหนูลั่วหรือไม่ขอรับ”

“หืม” เว่ยหานหันมององครักษ์ แววตาเผยความสงสัย

เขามองเด็กสาวนางนั้นไม่ออกก็แล้วไปเถิด เหตุใดกระทั่งองครักษ์ข้างกายก็ยังมองไม่ออกไปด้วย

กริชที่ถูกบังคับให้รับไว้จะต้องมีกล่องไปทำไม

ภายใต้การจับจ้องของเว่ยหาน องครักษ์ก็หัวเราะฮี่ๆ “ของแทนใจเช่นนี้หากทำหายหรือเม็ดพลอยหล่นหายคงไม่ดีแน่…”

เว่ยหานชะงักไปชั่วขณะแล้วควบม้าออกไปทันที ปล่อยให้องครักษ์หน้าหงายไป

เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านมาแล้วสามวัน พวกลั่วเซิงออกห่างจากเมืองจินซาและเข้าใกล้เมืองหลวงมากขึ้นเรื่อยๆ

ขบวนนี้เหลือเพียงแปดคน องครักษ์หายไปสี่คนเพราะพักฟื้นอยู่ที่เมืองก่อนหน้านี้

คุณชายสามเซิ่งลูบท้องอย่างเงียบๆ พลางเดินไปยังหน้าต่างของรถม้า “น้องหญิง พวกเราควรพักกินข้าวแล้วหรือไม่”

ฮือๆๆ เขาอยากกินขาหมูขอทาน ไม่มีขาหมูขอทาน มีน้ำแกงกระดูกสักชามก็ยังดี

หงโต้วอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่ “คุณชาย พวกเราเพิ่งกินอาหารเช้ายังไม่ถึงหนึ่งชั่วยามเลยนะเจ้าคะ”

“จริงหรือ” คุณชายสามเซิ่งดูงุนงง “เหตุใดข้าถึงรู้สึกเหมือนผ่านมานานมากแล้ว”

ลั่วเซิงยกม่านสีเขียวขึ้นพลางพยักเพยิด “พี่ชายดูท้องฟ้าเสียก่อน พวกเรารีบเดินทางเถอะ”

คุณชายสามเซิ่งแหงนมอง ท้องฟ้าแจ่มใสกลายเป็นหมู่เมฆก้อนโตและลมกระโชกแรง

ระหว่างทางเคยเจอฝนมาแล้ว การเดินทางขณะฝนตกไม่สมอารมณ์เท่าไรนัก

“เร่งความเร็วหน่อย” คุณชายสามเซิ่งตะโกน

รถม้าเร่งความเร็ว แต่ท้องฟ้ากลับแปรปรวนไวกว่า เมื่อครู่นี้ยังเห็นเป็นทะเลเมฆสีขาวอันกว้างใหญ่ แต่จู่ๆ กลับกลายเป็นเมฆครึ้มและได้ยินเสียงฟ้าร้องดังเป็นระยะๆ

จากนั้นแสงวาบก็แยกเมฆมืดทึบออกและฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก

ฝนครั้งนี้ทั้งตกหนักและกะทันหันนัก ม่านฝนมองไม่เห็นปลายทางทำให้ทัศนวิสัยของคนทั้งกลุ่มพร่ามัว ถนนโคลนก็ทำให้รถม้าเคลื่อนตัวฝ่าลมฝนไปได้ยากลำบากขึ้น

“น้องหญิง ด้นหน้ามีที่พัก เราไปหลบฝนกันเถอะ” คุณชายสามเซิ่งเช็ดน้ำฝนแล้วตะโกนเสียงดังผ่านม่านฝน

ลั่วเซิงย่อมไม่คัดค้านแน่นอน

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถึงจะฝืนก็คงไปไม่ได้ไกลเท่าใด มีแต่จะทำให้เหน็ดเหนื่อยอย่างเปล่าประโยชน์

เมื่อมีเป้าหมายในใจ ทุกคนก็รู้สึกกระฉับกระเฉง ความเร็วที่ลดลงเพราะฝนตกหนักก็เร่งขึ้นในทันใด เมื่อเข้าใกล้ที่พักนั่นก็พบว่าเป็นวัดร้าง

แม้จะเป็นวัดที่ร้าง แต่ก็หลบฝนได้ ไม่ต้องยุ่งยากในการขอความยินยอมจากเจ้าของด้วย

เมื่อรถม้าหยุด หงโต้วกระโดดลงจากรถและถือร่มกระดาษน้ำมันพยุงลั่วเซิงลงมา

ซิ่วเย่ว์เรีบดินตาม ถือร่มไม้ไผ่เพียงลำพัง

หงโต้วขยับร่มไปทางลั่วเซิงและกลอกตามองซิ่วเย่ว์

คุณหนูลำเอียง!

มีร่มสองคันในรถม้า คุณหนูกลับตั้งใจหยิบออกมาให้ท่ายายขี้เหร่ใช้หนึ่งคัน

นางคือสาวใช้ที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดชัดๆ แม้ตอนคุณหนูถูกส่งออกมา แม่ทัพใหญ่ลั่วก็อนุญาตให้พาสาวใช้ติดตามมาได้เพียงคนเดียว แต่คุณหนูก็เลือกนาง

นางชนะนังสาวใช้ตัวดีที่ร้องไห้ฟูมฟายเหล่านั้น ท่านยายขี้เหร่นับได้กับอะไร

ถุย ก็แค่คนขายเต้าฮวย!

หัวใจของสาวใช้ตัวน้อยรู้สึกราวกับถูกทอดในหม้อน้ำส้มสายชูที่กำลังเดือดปุดๆ เข้าวัดร้างถึงสงบสติอารมณ์ได้

วัดร้างมานาน แม้แต่รูปเทพเจ้ายังสูญหาย โต๊ะแท่นบูชาขาหักหนึ่งข้างจนล้มอยู่บนพื้นและมีฟืนแห้งกองอยู่ตรงมุมห้อง

ฟืนแห้งเหล่านี้ ทำให้พวกคุณชายสามเซิ่งมีความสุขยิ่งนัก รีบจัดสถานที่จุดไฟอย่างรวดเร็ว

เมื่อมองดูเปลวไฟลุกโชน คุณชายสามเซิ่งก็ยิ้มแหะๆ ให้กับลั่วเซิง “น้องหญิง ไฟแรงขนาดนี้ปล่อยว่างไว้ก็เสียดาย สู้วางหม้อทำอะไรกินดีหรือไม่”

ลั่วเซิงนิ่งเงียบ

นึกไม่ถึงว่าคำว่า ‘ว่าง’ จะใช้แบบนี้ได้ด้วย

เมื่อมองไปรอบๆ เห็นว่าทุกคนยกเว้นคนที่ลงจากรถม้าเนื้อตัวเปียกชุ่ม ลั่วเซิงจึงพยักหน้า “เคี่ยวชาขิงร้อนอบอุ่นร่างกายแล้วกัน”

คุณชายสามเซิ่งรู้สึกผิดหวังโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อนึกว่าวันฝนตกหนักยังได้จิบชาขิงร้อนก็ดีมากแล้วจึงรีบสั่งให้องครักษ์ย้ายของเข้ามา

หลังจากนั้นไม่นาน กลิ่นฉุนของชาขิงก็เริ่มฟุ้งกระจายไปทั่ววัดร้าง และชุดของพวกคุณชายสามเซิ่งก็แทบแห้งแล้ว

หงโต้วยกถ้วยให้กับลั่วเซิงก่อนแล้วค่อยทยอยยกให้คุณชายสามเซิ่งและคนอื่นๆ สุดท้ายก็ยกถ้วยชาขิงขึ้นดื่มอย่างมีความสุข

“หงโต้ว ยังขาดไปหนึ่งถ้วย” ลั่วเซิงเตือนขณะถือถ้วยลายครามร้อน

“ขาดหรือ ไม่นะเจ้าคะ… “ หงโต้วดูเหมือนจะเพิ่งสังเกตเห็นซิ่วเย่ว์จึงตบหน้าผาก “ตายจริง ลืมท่านยายขี้เหร่ไปเลย แต่ท่านยายขี้เหร่มีมือมีเท้า คงตักเองได้ใช่หรือไม่”

คุณชายสามเซิ่งที่กำลังดื่มชาขิงร้อน อดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปาก

สาวใช้หงโต้วเหมาะกับการเท้าสะเอวด่าคนมากกว่า แสดงละครได้ไม่แนบเนียนเลย

เกินจริงไปมาก!

ซิ่วเย่ว์อายุสามสิบกว่าย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อยกับสาวน้อยเป็นธรรมดาจึงตักชาขิงร้อนอย่างเงียบๆ และนั่งลงดื่ม

เมื่อจิบชาขิงร้อนผสมน้ำผึ้งแล้ว หางตาของซิ่วเย่ว์ก็เปียกชื้นเล็กน้อย

ครั้งหนึ่งท่านหญิงเองก็เคยทำชาขิงร้อนให้พระชายา นอกจากน้ำผึ้ง ท่านหญิงยังชอบเติมพริกไทยขาวเหมือนกับชาขิงร้อนตรงหน้าไม่มีผิดเพี้ยน

ทันใดนั้น ลั่วเซิงก็เหลือบมองซิ่วเย่ว์และถามว่า “ท่านยายขี้เหร่มีชื่อหรือไม่”

ซิ่วเย่ว์ชะงักและยิ้มออกมา “ข้าแก่แล้ว หน้าตาก็เป็นแบบนี้ ฟังคนเรียกท่านยายขี้เหร่จนชินแล้ว”

ลั่วเซิงส่ายศีรษะ “ไม่ได้สิ ในเมื่อติดตามข้าแล้ว คนอื่นเรียกเจ้าแบบนี้ มันขัดหูข้านัก”

ซิ่วเย่ว์หรี่ตาลง “ถ้าอย่างนั้น คุณหนูมอบชื่อให้ข้าด้วยเถิด”

ชื่อหนึ่งชื่อจะสำคัญอย่างไร นางจะเป็นซิ่วเย่ว์สาวใช้ของท่านหญิงตลอดไป

ลั่วเซิงดื่มชาขิงร้อนคำสุดท้ายแล้วยื่นถ้วยให้กับหงโต้ว “ถ้าอย่างนั้นก็เรียกว่าท่านอาซิ่วแล้วกัน”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท