ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 44 องครักษ์ที่ไว้ใจได้

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 44 องครักษ์ที่ไว้ใจได้

มีน้ำอุ่นอาบ มีอาหารร้อนๆ หากเทียบกับสิ่งที่พบเจอในวัดร้าง ที่นี่ก็คือสวรรค์เลยทีเดียว

ลั่วเซิงนอนหลับได้อย่างสบายใจ หลังจากล้างหน้าบ้วนปากแล้ว นางก็เดินออกจากห้อง

คุณชายสามเซิ่งกำลังรออยู่ข้างนอก ตรงหน้าเต็มไปด้วยร่มเงาของต้นไม้

“พี่ชายนอนไม่หลับหรือ”

คุณชายสามเซิ่งรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่หรอก เมื่อคืนข้านอนหลับสบายมากเลย”

เขาไม่คิดว่าลั่วเซิงจะดูกระปรี้กระเปร่าเช่นนี้ ทำเอาเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยอดทนสักเท่าไร

เขาแอบมองใบหน้านวลพวงแก้มแดงฝาดของลั่วเซิงแล้วรู้สึกชื่นชม อย่างไรเสียก็เป็นน้องหญิงหลานนอกที่ปลดเข็มขัดของไคหยางอ๋องโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเชียวนะ ยามเจอปัญหากลับมีความสงบเยือกเย็นกว่าเขามาก

ลั่วเซิงตั้งสติได้ดีกว่าคุณชายสามเซิ่งจริงๆ

ตายแล้วฟื้น พบกับโศกนาฏกรรมทั้งตระกูล ภายใต้แรงโจมตีเช่นนี้นางยังสามารถคงสติตัวเองเอาไว้ได้ หากเปรียบเทียบกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวัดร้างเมื่อวานนี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก

“พี่ชายจะไปกินอาหารเช้าที่ใดหรือ” ลั่วเซิงคิดว่าเมื่อวานนี้คุณชายสามเซิ่งต้องตกใจมากแน่ นางคิดว่าควรจะชดเชยให้กับชายหนุ่มผู้ไร้ความผิดนี้

“ก็กินอาหารเช้าที่โถงใหญ่ของโรงเตี๊ยมไปเถอะ กินเสร็จแล้วเราไปจ้างผู้คุ้มกันสินค้ากัน รีบเดินทางในขณะที่ฟ้ายังสว่าง เช่นนี้เราก็จะถึงเมืองถัดไปก่อนฟ้าจะมืด”

ลั่วเซิงพยักหน้า “เช่นนั้นก็กินอาหารที่โรงเตี๊ยมแล้วกัน”

พวกเขามาถึงโถงใหญ่แล้วก็พบว่ามีคนนั่งอยู่ไม่น้อย

แป้งทอดหอมเจียวโรยด้วยงา ข้าวเหนียวทอดสีทอง น้ำแกงรสเผ็ดและเส้นบะหมี่ใสๆ อาหารหลากหลายชนิดทำให้กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งโถง ชายหนุ่มผู้เหนื่อยล้ามีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

“น้องหญิง เรานั่งข้างหน้าต่างกันเถิด”

ทั้งกลุ่มเหลือเพียงห้าคนและไม่ได้ถือสาเรื่องตำแหน่งสูงต่ำ นั่งล้อมวงรอบโต๊ะหน้าต่าง อาหารจานต่างๆ ก็ถูกนำมาวางอย่างรวดเร็ว

ลั่วเซิงสั่งบะหมี่หยางชุนชามหนึ่งแล้วกินอย่างช้าๆ

บะหมี่มีเพียงหัวหอมซอย น้ำซุปดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจในการทำมาก รสชาติจืดชืด ไม่มีรสชาติอะไรเลย

คุณชายสามเซิ่งก็มีบะหมี่หยางชุนชามหนึ่งอยู่ตรงหน้า กินไปช้อนหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้ว

บะหมี่นี่ไม่อร่อยเลย

เขาแอบมองลั่วเซิง แม้เห็นว่านางค่อยๆ เคี้ยวและกลืนอย่างช้าๆ แต่ชามบะหมี่ก็หมดไปครึ่งหนึ่งแล้ว ก่อนจะถามอย่างกลัดกลุ้มว่า “น้องหญิงคิดว่าบะหมี่นี้เป็นอย่างไร”

ลั่วเซิงใช้ผ้าเช็ดมุมปาก ก่อนจะตอบด้วยคำพูดสั้นกะทัดรัด ได้ใจความ “ไม่อร่อย”

คุณชายสามเซิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกินเข้าไปคำใหญ่

เขาคิดว่าขอเพียงแค่ประสาทการรับรสของเขายังไม่ผิดปกติก็พอ ถึงจะไม่อร่อยก็ตาม อย่างน้อยเขาก็ไม่ควรจู้จี้จุกจิกมากกว่าน้องหญิงผู้เป็นหญิงสาว

“กลับไป ข้าจะทำบะหมี่ให้พี่กิน” ลั่วเซิงเอ่ยเสียงเบา เมื่อเห็นชายหนุ่มกำลังก้มหน้ากินบะหมี่

การไล่สังหารครั้งนี้พุ่งเป้ามาที่คุณหนูลั่ว ทำให้คุณชายสามเซิ่งพลอยเดือดร้อนไปด้วย เช่นนั้นก็ใช้อาหารรสเลิศปลอบใจก็แล้วกัน

คุณชายสามเซิ่งที่กำลังก้มหน้ากินบะหมี่เงยหน้าอย่างแรงทันใด ราวกับจะเปล่งแสงได้อย่างไรอย่างนั้น “จริงหรือ”

“แน่นอนว่าต้องไม่หลอกพี่อยู่แล้ว”

มีขาหมูขอทานตกถึงท้องเป็นประกัน ทำให้คุณชายสามเซิ่งไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “เช่นนั้นข้าจะไม่กินบะหมี่หยางชุน หากจะให้ดีขอเป็นหมูสามชั้นเลย!”

ลั่วเซิงครุ่นคิดสักครู่ ก่อนจะยิ้มพลางเอ่ย “เช่นนั้นก็ทำบะหมี่เครื่องผัด ใช้หมูสามชั้นที่มีไขมันหกส่วน เนื้อสี่ส่วนเป็นเครื่องผัด”

“ซู้ด” คุณชายสามเซิ่งกินบะหมี่ที่ไร้รสชาติอร่อยเข้าไปเต็มปากพร้อมกลืนน้ำลาย

เสียงเยาว์วัยของชายหนุ่มดังขึ้น “บะหมี่หยางชุนสองชาม แป้งทอดต้นหอมแปดชิ้น”

คุณชายสามเซิ่งชะงัก

เสียงที่คุ้นเคย น่าจะเป็นเพราะทิ้งภาพจำไว้ในใจเขาค่อนข้างลึกซึ้ง

เขาพลันมองไปทางนั้น ก่อนดวงตาจะเบิกโตอย่างห้ามไม่อยู่

ไม่แปลกใจที่ฟังคุ้นหู เพราะเขาเป็นองครักษ์ของท่านอ๋องไคหยางที่ต้องการซื้อขาหมูขอทานจากเขานั่นเอง!

คุณชายสามเซิ่งหันไปมองด้านข้างก็เห็นเว่ยหานอยู่ด้วยจริงๆ

เว่ยหานยังคงอยู่ในอาภรณ์แดง ยืนตระหง่านเงียบๆ ในห้องโถงใหญ่ ดูโดดเด่นไม่น้อย

คนงานรีบเข้ามาต้อนรับด้วยท่าทีนอบน้อม ก่อนจะนำทั้งสองไปที่โต๊ะหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับลั่วเซิงและคนอื่นๆ พอดี

ในเวลานั้นเอง องครักษ์ก็สังเกตเห็นลั่วเซิงและคณะจึงกระซิบเตือนเว่ยหานว่า “นายท่าน เป็นพวกคุณหนูลั่วขอรับ”

เว่ยหานเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาสบเข้ากับแววตาเยือกเย็นของหญิงสาวพอดี

เขาพยักหน้าเล็กน้อยและเบนสายตากลับ

“บะหมี่หยางชุนมาแล้ว…” คนงานถือถาดพร้อมบะหมี่หยางชุนสองชามและแป้งทอดต้นหอมหนึ่งชามมาให้

เว่ยหานหยิบแป้งทอดขึ้นมากิน

ลั่วเซิงวางตะเกียบลง มองเว่ยหานพลางครุ่นคิด

คุณชายสามเซิ่งที่กินจนอิ่มสังเกตเห็นบรรยากาศผิดปกติ ก่อนจะกระซิบ “น้องหญิง พวกเราจ่ายเงินและไปกันเถอะ”

“รอก่อน” ลั่วเซิงลุกขึ้นเดินไปหาเว่ยหาน

“น้องหญิง” คุณชายสามเซิ่งเรียกด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย แต่ถูกหงโต้วกลอกตาใส่อย่างแรง

“คุณชายหลานนอก อย่าขัดเรื่องดีๆ ของคุณหนูสิเจ้าคะ”

เรื่อง เรื่องดีๆ อย่างนั้นหรือ

ใบหน้าของคุณชายสามเซิ่งเครียดลงทันที

ใช่เรื่องดีๆ ที่เขาคิดไว้หรือไม่

“คุณหนูลั่วมีเรื่องอะไรหรือ” เว่ยหานวางตะเกียบลง มองลั่วเซิงด้วยใบหน้าเรียบเฉย

กริชสั้นสีฉูดฉาดยังคงอยู่ในอกเขา คอยย้ำเตือนเขาเสมอว่าว่าเขาคิดจะทำร้ายนาง ทว่าผลร้ายนั้นกลับย้อนเข้าตัว

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเพิ่มความระมัดระวังต่อหญิงสาวคนนี้มากกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว

องครักษ์ที่นั่งข้างเว่ยหานมองลั่วเซิงและกลับมามองนายท่านของตน ก่อนจะหยิบชามขึ้นแล้วเดินจากไปเงียบๆ

ใบหน้าหล่อเหลาที่เดิมทีไร้อารมณ์ความรู้สึกของเว่ยหานดูเคร่งเครียดขึ้น

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอคุณหนูลั่วบนถนนในเมืองหลวง เจ้าสารเลวสือเยี่ยนก็กลายเป็นคนไม่น่าเชื่อถือไปแล้ว

ลั่วเซิงนั่งลงตรงข้ามอย่างผ่าเผย ก่อนจะเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องจำข้อตกลงก่อนหน้านี้ได้หรือไม่เจ้าคะ”

เว่ยหานเลิกคิ้วขึ้น “ความจำของข้ายังไม่เลวร้ายถึงเพียงนั้น คุณหนูลั่วมีเรื่องอะไรก็พูดตรงๆ ได้เลย”

ลั่วเซิงยิ้มเล็กน้อย “พวกเราพบเจอคนร้ายตลอดทาง อยากจะขอให้ท่านอ๋องช่วยปกป้องพวกเราไปยังเมืองหลวงเจ้าค่ะ”

มาเร็ว ยังมิสู้มาได้ทันเวลา ความสามารถของไคหยางอ๋องนั้นน่าเชื่อถือมากกว่าผู้คุ้มกันกลุ่มหนึ่งที่ไร้ที่มาเสียอีก

เว่ยหานเงียบไปชั่วขณะ

จากที่นี่ไปยังเมืองหลวงอย่างน้อยก็ห้าหรือหกวัน จะให้เขาเป็นองครักษ์เป็นเวลาห้าหรือหกวันอย่างนั้นหรือ

เขาที่มีศักดิ์เป็นอ๋องไม่ได้ถือสาที่จะเป็นองครักษ์ให้เด็กสาวคนหนึ่ง ทว่าเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่เด็กสาวธรรมดา

นางเคยมีคดีมาก่อนน่ะสิ!

เว่ยหานไม่อยากถูกเด็กสาวคนหนึ่งปลดเข็มขัดอีกเป็นครั้งที่สอง

เสียงเย็นชาของเด็กสาวดังขึ้น “ช่างเถิด หากท่านอ๋องรู้สึกลำบาก อย่างนั้นก็แลกกริชนั้นเป็นเงินตำลึงให้ข้าก็ได้”

เว่ยหานกำมือแน่น ก่อนจะเผยรอยยิ้มไม่แยแสออกมา “หากคุณหนูลั่วคิดว่าการแลกเปลี่ยนนี้เหมาะสม ข้าก็ยินดีอย่างถึงที่สุด”

หากมีเงิน ยังจะมีคำสัญญานั้นอีกได้อย่างไร

ความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นควบคุมไม่ใช่เรื่องที่ดี ดังนั้น เว่ยหานจึงทำได้เพียงรักษารอยยิ้มเอาไว้ และลอบสาบานกับตัวเองว่าต่อไปจะพกเงินอย่างน้อยหนึ่งหมื่นตำลึงไว้กับตัวเวลาออกจากจวน

ลั่วเซิงลุกขึ้น ก่อนจะโค้งคำนับเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านอ๋องที่ช่วยดูแลล่วงหน้า ท่านอ๋องเชิญทานอาหารให้อร่อยเถิดเจ้าค่ะ พวกเราจะไปเก็บของก่อน”

ลั่วเซิงและคณะออกจากห้องโถงใหญ่ องครักษ์สือเยี่ยนยกชามเดินเข้ามา “นายท่าน ท่านจะไปส่งคุณหนูลั่วกลับเมืองหลวงจริงๆ หรือ”

“แล้วจะให้ทำอย่างไรล่ะ” เว่ยหานย้อนถามด้วยสีหน้านิ่งเฉย

สือเยี่ยนมีท่าทีชื่นชม “ไม่มีอะไรๆ ข้าน้อยก็แค่ถามสอบถามเท่านั้น”

ได้รับของขวัญแทนใจจากสตรีที่ตนรัก และยังได้โอกาสใกล้ชิดกับหญิงสาวในดวงใจตลอดเช้าค่ำ ที่สำคัญคือไม่ต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว แหม จะมีชายหนุ่มคนใดที่เก่งกว่านายท่านของพวกเขาอีกไหม

ส่วนเรื่องหญิงสาวผู้นั้นคือคุณหนูลั่ว…แค่กๆ การที่นายท่านตาไร้แววนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะเอามาปนกันไม่ได้

สือเยี่ยนมีความรู้สึกขัดแย้งอยู่เสมอในการชื่นชมการกระทำอันแข็งแกร่งของเจ้านายและยังกังวลเกี่ยวกับสายตาที่ไม่เฉียบแหลมของนายท่าน จนกระทั่งเขาหยุดพักระหว่างทางในวันนี้และได้กินบะหมี่เครื่องผัดจากคุณหนูลั่ว

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท