ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 56 ไม่ให้พบ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 56 ไม่ให้พบ

ลั่วเซิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ส่งเสียงอืมออกมาเบาๆ อย่างสงวนท่าทีและเมินเฉยแล้วเดินก้าวเข้าประตูใหญ่เรือนหมอเทวดาไปอย่างเชื่องช้า

กระทั่งถึงเวลานี้ ลั่วอิงสามพี่น้องยังคิดว่าเหมือนฝันไป

“นาง นางทำได้แล้วจริงๆ หรือนี่” ลั่วเย่ว์มองแผ่นหลังลั่วเซิงพลางทำเสียงพึมพำ

ลั่วฉิงขอบตาแดงขึ้นมาเล็กน้อย พยักหน้าอย่างแรง “ใช่ น้องสามทำได้แล้ว”

พวกนางเป็นคุณหนูของจวนแม่ทัพใหญ่ โดยปกติมีเกียรติและสูงศักดิ์ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งจะถูกเด็กเฝ้าประตูตัวเล็กๆ ทำให้ลำบากใจต่อหน้าผู้คนมากมายในที่สาธารณะเช่นนี้

และคนที่ช่วยพวกนางกำจัดความยากลำบากไปได้ก็คือลั่วเซิง เป็นพวกนางเองที่คิดว่าคนที่กำเริบเสิบสานโอหังอวดดีอย่างลั่วเซิงจะสร้างแต่ปัญหา

ในเวลานี้ ความรู้สึกของลั่วฉิงซับซ้อนยิ่ง

ลั่วเซิงหันกลับไปมองครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อย “พวกท่านยังจะยืนงงอะไรกันอยู่”

ลั่วอิงสามพี่น้องรีบจับชายกระโปรงเดินตามไป คำพูดของลั่วเซิงไม่ได้ทำให้พวกนางไม่พอใจเลยสักนิด พวกนางยังยิ้มให้กับใบหน้าที่เย็นชาเหมือนน้ำแข็งนั้น

ในเวลานี้ลั่วเซิงไม่มีอารมณ์ว่างมาใส่ใจความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของบรรดาพี่สาวน้องสาวหรอก

ทางที่จัดวางด้วยแผ่นหินสีเขียวมาจนถึงหน้าประตู กิ่งก้านและใบเขียวขจีของต้นไหวใหญ่ปกคลุมไปครึ่งลานกว้าง มุมระหว่างกำแพงมีดอกสายน้ำผึ้งเลื้อยคลุมจนเต็ม สลับกันระหว่างสีทองสีเงิน สวยงามเป็นพิเศษ

ลั่วเซิงพักสายตารออย่างเงียบๆ

หากไม่มีอะไรผิดพลาด นางก็จะได้พบกับหมอเทวดาหลี่โดยเร็ว ชายชราคนนั้นที่เคยอยากรับนางเป็นศิษย์เพียงเพราะของกินแต่กลับโดนนางปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

ถึงแม้ว่าลั่วเซิงบอกไม่ได้ว่าหมอเทวดาหลี่อายุเท่าไหร่ คนที่นางเจอเมื่อสิบกว่าปีก่อนก็คือชายชราผมหงอกขาวคนหนึ่งที่ดูกระฉับกระเฉงและมีจิตใจดี ก็ไม่รู้ว่าผ่านมาหลายปีแล้ว หมอเทวดาหลี่จะเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด

เด็กเฝ้าประตูเริ่มเรียกคนเข้าไป

คนมาหาหมอที่ได้รับป้ายหมายเลขเขียนไว้ก้าวขึ้นบันไดตามเด็กเฝ้าประตูไป คนที่เหลืออยู่ในลานกว้างก็ประหม่าขึ้นมา

หมอเทวดารับรักษาคนไข้มากที่สุดสามคนต่อวัน คนอื่นมีโอกาสแล้ว ความหวังที่จะมาถึงตนเองก็ริบหรี่ลง

คนแรกเข้าไปไม่นานก็เดินออกมา ดูสีหน้าก็รู้ว่าผลลัพธ์ไม่ดี

คนผู้นั้นก็ไม่พูดอะไรมาก ไม่มีเหลือความคิดที่จะดูเรื่องสนุกจึงเดินออกประตูลานกว้างไปอย่างเงียบๆ

ต่างก็รู้ว่าขอรับการรักษาจากหมอเทวดายากยิ่ง หากไม่ใช่โรคที่หมอธรรมดาเองก็หมดปัญญารักษา ใครจะกอดความหวังอันริบหรี่มาถึงที่นี่

คนในลานกว้างมองแผ่นหลังของคนผู้นั้นที่หดหู่ใจ ทั้งรู้สึกดีใจและเห็นใจ

ไม่นานคนเหล่านี้ก็ไม่มีเวลาเห็นอกเห็นใจใคร เด็กเฝ้าประตูพาคนเข้าไปแล้วก็ออกมาทีละคน ทุกคนต่างเข้าใจความเห็นอกเห็นใจนี้

กระทั่งหมายเลขสิบห้า คนนั้นที่เดินออกมานั้นเปลี่ยนสีหน้าไปอย่างสิ้นเชิง

“ขอบคุณมาก!” คนผู้นั้นขอบคุณเด็กเฝ้าประตูซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เด็กเฝ้าประตูมุมปากยกขึ้น เอ่ยอย่างนอบน้อม “เป็นเพราะว่าของที่ท่านนำมาเข้าตาหมอเทวดามากกว่า ข้าน้อยมิอาจยอมรับคำขอบคุณได้”

คนผู้นั้นนำถุงเงินยัดใส่มือเด็กเฝ้าประตู สีหน้าตื่นเต้นเดินออกจากประตูลานกว้างไป

เหล่าคนที่ถูกปฏิเสธแต่ไม่ยอมกลับและคนที่ยังเรียกไม่ถึงแห่กันไปห้อมล้อม แย่งกันถามว่า “หมอเทวดาตอบรับแล้วหรือ”

คนผู้นั้นพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ “ใช่แล้ว หมอเทวดาถามข้าถึงอาการป่วยของบิดาข้า ตอบตกลงว่าภายในสองวันจะไปรักษา”

“ยินดีกับท่านด้วย” ทุกคนทยอยแสดงความยินดี ส่วนจะมีคนที่จริงใจมากน้อยเท่าใดก็คงมีแต่สวรรค์ที่รู้

คนที่เข้าไปภายหลังดูแล้วโชคไม่ดี รวมถึงคุณหนูรองจูหานซวงแห่งจวนอันกั๋วกง

“คุณหนูลั่ว เชิญเข้าไปได้” ในใจของเด็กเฝ้าประตูแม้เกลียดชังลั่วเซิง แต่เมื่อได้ลิ้มรสความร้ายกาจของนางแล้วก็ไม่กล้าก่อเรื่องอีก

ลั่วเซิงพอใจกับสิ่งนี้ พยักหน้าเล็กน้อย

เห็นลั่วอิงกับอีกหลายคนจะเดินตามเข้าไปด้วยกัน เด็กเฝ้าประตูรีบเอ่ยขึ้น “คุณหนูลั่วเข้าไปคนเดียวก็พอแล้ว หมอเทวดาไม่ชอบคนเยอะ”

ลั่วอิงกับคนที่เหลืออดมองลั่วเซิงไม่ได้

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกท่านก็รอข้าที่ลานกว้างเถอะ”

“น้องสาม เจ้า…จะทำสำเร็จใช่หรือไม่” ลั่วอิงถามเสียงเบา

ลั่วเซิงยกมุมปากเล็กน้อย “พี่หญิงใหญ่ เรื่องนี้ข้าไม่กล้ารับปาก ในโลกนี้มีอะไรแน่นอนเสียที่ไหน”

ลั่วอิงใบหน้าแดงก่ำ เอ่ยอย่างเขินอาย “ข้ากล่าวผิดไปแล้ว”

นางเป็นพี่ใหญ่ จวนลั่วเจอวิกฤตควรที่จะดูแลน้องๆ แต่ยามนี้กลับต้องพึ่งน้องสามให้ออกหน้า นางถามเช่นนี้ยิ่งเพิ่มความกดดันให้น้องสาม ไม่ควรเลยจริงๆ…

“ถึงอย่างไรข้าก็จะพยายามอย่างถึงที่สุด” ลั่วเซิงพูดจบก็เดินเข้าไปด้านใน เฉียดไหล่จูหานซวงที่ยืนอยู่ด้านล่างบันไดหินไป

เสียงเย็นชาดังขึ้น “บางคนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา หมอเทวดาเคยกล่าวไว้ ถึงแม้คนของจวนแม่ทัพใหญ่นำอัญมณีหายากที่สุดในโลกมาให้ก็ไม่มีทางรักษาแม่ทัพใหญ่ลั่วเป็นอันขาด ข้าขอเตือนนะ อย่าทำให้ตัวเองต้องอับอายขายหน้าเลย”

ลั่วเซิงกลับไม่มองด้วยซ้ำ ตะโกนเรียกหงโต้วเสียงเบา

“บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ!” หงโต้วตอบกลับเสียงสดใส

“ดูแลคุณหนูทั้งสามให้ดี หากมีใครรังแกคุณหนูทั้งสาม ลงมือได้เลยแล้วค่อยว่ากัน” ลั่วเซิงพูดจบก็ก้าวขึ้นบันไดหินไป

หงโต้วทำใบหน้าดุร้าย สายตาท้าทายจูหานซวง

จูหานซวงกำหมัดแน่น โกรธจนตัวสั่นไปทั้งตัว

ลั่วเซิงนังสารเลว ไม่เคยเห็นคนของจวนอันกั๋วกงอยู่ในสายตาเลย!

หากเป็นเมื่อก่อนก็ไม่เป็นไร ยามนี้แม่ทัพใหญ่ลั่วใกล้หมดลมหายใจแล้ว ลั่วเซิงเอาความมั่นใจมาจากที่ใดถึงปล่อยให้สาวใช้ให้มาท้าทายนางตามอำเภอใจเช่นนี้

นางตั้งตนเป็นอริกับลั่วเซิงเท่านั้นจึงแสร้งทำเป็นไม่เห็นความอวดดีของสาวใช้ลั่วเซิง

หากนางยังมีศักดิ์ศรีก็ไม่ควรลดตัวมาทะเลาะกับสาวใช้ชั้นต่ำต่อหน้าทุกคน

ลองคิดดูว่าหากคุณหนูรองผู้สูงส่งแห่งอันกั๋วกงตบตีกับสาวใช้ ไม่ อาจจะเป็นสถานการณ์ที่ทุบตีฝ่ายเดียว จูหานซวงก็กลัวจนตัวสั่นเป็นลูกนกแล้ว

เมื่อมองเห็นลั่วเซิงเข้าไป คนที่ถูกปฏิเสธรับรักษาก็ไม่มีใครยอมกลับไป

ความอยากรู้อยากเห็นกับการชมดูเรื่องสนุกเป็นธรรมชาติของคนส่วนใหญ่เสมอ

“คุณหนูลั่ว เอาของที่ท่านนำมาให้หมอเทวดาดูได้” เด็กเฝ้าประตูกำชับด้วยความคิดรอชมเรื่องขำขัน

การทำให้เด็กเฝ้าประตูตัวน้อยลำบากใจด้วยวาจาคมคายแล้วจะอย่างไร หมอเทวดาแค่ได้ยินว่าเป็นคนจวนลั่วก็ต้องไล่ออกไปอย่างแน่นอน

ลั่วเซิงดูเหมือนไม่ได้ยินคำกำชับของเด็กเฝ้าประตู มองฉากกั้นที่ปักลายสมุนไพรร้อยชนิดอย่างเหม่อลอย

นางรู้ว่าชายชราอยู่ด้านหลังฉากกั้นนั้น

“คนของจวนแม่ทัพลั่วรึ” เสียงหนึ่งที่คุ้นเคยและแปลกหูดังขึ้นจากด้านหลังฉากกั้น

ลั่วเซิงกดความตื่นเต้นเอาไว้ เอ่ยเสียงดังชัดเจน “ข้าคือลูกสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่ว วันนี้ตั้งใจมาขอให้ท่านช่วยรักษาท่านพ่อของข้าเจ้าค่ะ”

เสียงพูดนางเพิ่งเงียบลง เสียงรำคาญใจของหมอเทวดาหลี่ก็ดังมาจากหลังฉากกั้น “กลับไปเถอะ ฝูหลิง เรียกคนต่อไปเข้ามา”

“คุณหนูลั่ว หมอเทวดาเชิญท่านออกไป” เด็กเฝ้าประตูยิ้มเล็กน้อยพลางผายมือเชิญให้ลั่วเซิงออกไป

สีหน้าลั่วเซิงไม่มีความโกรธและความพ่ายแพ้ที่ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเลยสักนิด “ท่านหมอเทวดายังไม่เห็นของที่ข้านำมาเลย”

เสียงนั้นดูรำคาญใจยิ่งกว่าเดิม “ไม่จำเป็นต้องดู ออกไป!”

“คุณหนูลั่ว ท่านออกไปเถอะ หากทุกคนที่มาหาท่านหมอตอแยเช่นท่าน หมอเทวดาก็ไม่ต้องทำอย่างอื่นแล้ว” เด็กเฝ้าประตูยิ้มเอ่ย

รอยยิ้มนี้ไม่ใช่เกรงใจ แต่เป็นการเสียดสี

ลั่วเซิงมองฉากกั้นแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย

ในความทรงจำ หมอเทวดาไม่ใช่คนที่ไม่ปรานีใครเช่นนี้

ทว่า นางพลันนึกขึ้นได้ทันทีว่า ตอนนั้นนางคือท่านหญิงชิงหยาง แต่ตอนนี้นางคือคุณหนูลั่ว

นิ่งเงียบไปชั่วขณะ ลั่วเซิงก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แต่ยาบำรุงปราณในมือข้าก็เป็นของที่ท่านหมอเทวดามอบให้ เหตุใดท่านหมอเทวดาทำเป็นไม่รู้จักข้าล่ะเจ้าคะ”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท