ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 85 อวี้เสวี่ยนซื่อ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 85 อวี้เสวี่ยนซื่อ

ลั่วเซิงรับกริชส่งให้หงโต้วที่รีบเดินเข้ามา ถามเว่ยหานอย่างสงบว่า “ท่านอ๋องยังมีเรื่องอื่นใดอีกหรือไม่”

เว่ยหานมองใบหน้าเงียบสงบของหญิงสาว เลียปากเล็กน้อย “ไม่มีเรื่องอื่นแล้ว”

มีเรื่องอื่นหรือไม่ คุณหนูลั่วไม่รู้หรือ

แต่ทว่าบัดนี้ก็ไม่ใช่เวลาคุยธุระที่ดี เขาทำได้เพียงค่อยหาเวลาคุย

“เช่นนั้นเราขอล่วงหน้าไปก่อน” ลั่วเซิงย่อเข่าเล็กน้อย หันไปพูดกับแม่ทัพใหญ่ลั่วว่า “ท่านพ่อ เราไปกันเถอะเจ้าค่ะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วพยักหน้าอย่างรอไม่ไหว เขารีบพาบุตรสาวทั้งสามกลับไปทันที

เว่ยหานหยุดอยู่ที่เดิม แววตาคลุมเครือ

เว่ยเชียงที่ทำตัวเป็นคนนอกมาตลอดเดินเข้ามาเรียกเสด็จอา

เว่ยหานหันไปมองเว่ยเชียง เดินออกไปพลางถามว่า “องค์รัชทายาทมีอะไรหรือ”

เว่ยเชียงพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าเสด็จอามีมิตรภาพกับคุณหนูลั่ว”

เขาคอยมองอยู่ข้างๆ เงียบๆ รู้สึกว่าไคหยางอ๋องปฏิบัติต่อคุณหนูลั่วอย่างแตกต่าง

หรือว่า… ถูกคุณหนูลั่วปลดเข็มขัดจนเกิดความรักขึ้นนะ

เว่ยหานมองเว่ยเชียงนิ่ง น้ำเสียงราบเรียบ “เรื่องของผู้ใหญ่ องค์รัชทายาทมิต้องกังวล”

เว่ยเชียงอ้ำอึ้ง มิอาจโต้แย้งได้

เขาอายุมากกว่าไคหยางอ๋องไม่น้อย แต่จะโตกว่าอย่างไรก็ต้องเรียกเขาว่าอา หากเรื่องแพร่ออกไปว่าคนเป็นหลานถามเรื่องชายหญิงของผู้ใหญ่ก็คงดูน่าเกลียดจริงๆ

แต่เขาแค่ถามลองเชิงเท่านั้น ถึงกับต้องวางมาดเช่นนี้เลยหรือ

ต่อหน้าเว่ยหาน เว่ยเชียงไม่สามารถเผยสีหน้าโมโหได้ จนเมื่อร่างสีแดงเข้มนั้นเดินเข้าไปในจวนไคหยางอ๋อง เขาก็ทำหน้าบอกบุญไม่รับทันที

เขาผู้เป็นองค์รัชทายาทคนนี้อยู่อย่างอึดอัดคับข้องใจจริงๆ

“องค์ชายจะกลับวังแล้วหรือ” เว่ยเฟิงเดินมาข้างกายเว่ยเชียง ถามด้วยน้ำเสียเสียดาย

เว่ยเชียงมองกลับมาที่เว่ยเฟิง

ถึงแม้ตามกฎหมายแล้วบัดนี้ทั้งสองเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้องกัน แต่สายเลือดจากมารดาเดียวกันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะเมื่อเว่ยเฟิงเติบโตขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือหน้าตาของทั้งสองนับวันก็ยิ่งคล้ายกัน

สำหรับน้องชายคนนี้แล้ว เว่ยเชียงยังถือว่าอ่อนโยนกับเขา เขาพยักหน้าเบาๆ “อืม ต้องกลับไปแล้ว”

เว่ยเฟิงเรียกความกล้า พูดเสียงเบาว่า “องค์ชาย เสด็จแม่… คิดถึงท่านมากเลยนะ วันนี้เป็นวันเกิดของนาง และยังเกิดเรื่องแย่ๆ เช่นนี้อีก ท่านอยู่นานอีกหน่อยไม่ได้หรือ”

เว่ยเชียงรอเว่ยเฟิงพูดจนจบด้วยสีหน้าเฉยเมย เอ่ยเพียงสองพยางค์ว่า “ไม่ได้”

ต่อหน้าคนนอก เขาต้องปกปิดความเฉยเมยที่มีต่อสองสามีภรรยาผิงหนานอ๋อง แต่ต่อหน้าเว่ยเฟิงกลับไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น

เขาแตกหักกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดตั้งแต่เมื่อสิบสองปีก่อน

ครานั้นเว่ยเฟิงยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ไม่ได้เกี่ยวโยงเรื่องนี้จึงยังคงเหลือมิตรภาพพี่น้องเล็กน้อยระหว่างกัน

เว่ยเฟิงกลับไม่เข้าใจท่าทีของเว่ยเชียงเลย

“องค์ชาย เรื่องเมื่อสิบสองปีก่อนนั้น… ท่านเองก็มีส่วนร่วม…”

ผู้ได้รับความดีความชอบคือพี่ใหญ่แท้ๆ เหตุใดจึงแค้นเคืองพ่อแม่ทีหลังเล่า

เขาเคยเห็นเสด็จแม่แอบร้องไห้หลายครั้ง

เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เว่ยเฟิงก็รู้สึกไม่พอใจ

เว่ยเชียงโกรธจัดราวกับถูกสัมผัสเกล็ดย้อนเข้า ใบหน้าพลันเคลือบด้วยน้ำค้างแข็ง “ข้าไม่อยากได้ยินใครพูดถึงเรื่องเมื่อสิบสองปีก่อนอีก เว่ยเฟิง เจ้าจำไว้”

โค่นล้มจวนเจิ้นหนานอ๋อง เขามีส่วนร่วมในนั้น แต่เขาไม่เคยคิดเอาชีวิตลั่วเอ๋อร์

วันนั้น เขาแต่งงานกับลั่วเอ๋อร์แล้ว เขาไม่เคยคิดให้ลั่วเอ๋อร์ตายไปพร้อมกับจวนเจิ้นหนานอ๋อง

ทว่าลูกธนูที่พุ่งมาจากความมืดกลับเอาชีวิตของลั่วเอ๋อร์ไป

ลั่วเอ๋อร์ตายต่อหน้าเขาโดยที่ยังสวมชุดแต่งงานอยู่

ทุกครั้งที่คิดถึงฉากเมื่อสิบสองปีก่อน ความเจ็บแค้นของเว่ยเชียงก็ทวีคูณจนทำให้อึดอัดภายในไปหมด

เมื่อเห็นเว่ยเชียงโมโห เว่ยเฟิงก็ระงับความไม่พอใจและพูดอย่างขมขื่น “รู้แล้ว”

ก็ยังโทษเสด็จพ่อเสด็จแม่เพราะท่านหญิงชิงหยางอยู่ไม่ใช่หรือ

เขายังจำท่านหญิงชิงหยางได้ นางเป็นพี่สาวสูงส่งใจกว้างและมากความสามารถ ทำลูกกวาดที่อร่อยเป็นพิเศษมาเอาใจน้องสาวคนเล็ก ทำให้นางน้ำลายไหลได้

อันที่จริงเขาเองก็ชอบกิน แต่ตอนนั้นเขาอายุแปดขวบแล้ว ย่อมไม่สามารถวนเวียนไปมารอบกายท่านหญิงชิงหยางเพื่อลูกกวาดเม็ดหนึ่งเหมือนน้องเล็กได้

ต่อมา ท่านหญิงชิงหยางตาย พี่ใหญ่ก็ไม่คุยกับเสด็จพ่อเสด็จแม่อีกเลย

ตอนแรกเขาไม่เข้าใจ จนเมื่อเขาโตขึ้นจึงเข้าใจ

พี่ใหญ่ชอบท่านหญิงชิงหยาง โกรธเสด็จพ่อเสด็จแม่เพราะการตายของท่านหญิงชิงหยาง

แม้เขาจะเสียใจกับการตายของท่านหญิงชิงหยาง แต่กลับไม่เข้าใจท่าทีของพี่ใหญ่

แม้จะโกรธอย่างไรก็ไม่น่าจะโกรธได้เกินสิบปี

เสด็จพ่อพูดถูก หากท่านหญิงชิงหยางไม่ตาย พี่ใหญ่จะทำอย่างไร

มีภรรยาที่ครอบครัวเป็นกบฏ พี่ใหญ่จะแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทมาได้หรือ

พี่ใหญ่โดดเด่นท่ามกลางหลานมากมายของเสด็จลุงได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทแล้วยังได้แต่งสตรีผู้สูงศักดิ์เป็นชายา มีอะไรไม่พออีกหรือ

หากเปลี่ยนเป็นเขา… เว่ยเฟิงยกมุมปากโค้งขึ้น

เขาขอบคุณเสด็จพ่อเสด็จแม่ยังไม่ทันเลย จะแค้นเคืองได้อย่างไร

เทียบกับแผ่นดินแล้ว หญิงงามไม่มีอะไรเลย แต่เมื่อมีแผ่นดินแล้ว หญิงงามแบบใดจะมีไม่ได้?

เว่ยเฟิงข่มอารมณ์ไม่พอใจที่พุ่งขึ้นมาอีกครั้งไว้ มองส่งเว่ยเชียงจากไป

เว่ยเชียงกลับถึงวังบูรพา ได้รับการต้อนรับจากหญิงงามในชุดฝ่ายใน

“องค์ชายกลับมาแล้วหรือเพคะ”

ใบหน้าของเว่ยเชียงไร้ซึ่งอารมณ์โมโห สีหน้ากลับมาอ่อนโยนและราบเรียบเช่นปกติ

เขาพยักหน้าน้อยๆ ถามว่า “หว่านเอ๋อร์ดีขึ้นแล้วหรือยัง”

“ดีขึ้นแล้วเพคะ กินข้าวต้มเนื้อได้แล้ว ตอนนี้กำลังนอนพักเพคะ” หญิงงามในชุดฝ่ายในยิ้มตอบ

“เช่นนั้นก็ดี เจ้าไปดูแลหว่านเอ๋อร์เถอะ นางตื่นมาคงจะหาแม่”

“เพคะ”

เว่ยเชียงจากไปนาน หญิงงามในชุดฝ่ายในจึงเรียกสมุนภักดีมาถาม “องค์รัชทายาทไปไหนมา”

สมุนภักดีตอบอย่างระวังว่า “ทูลพระชายารัชทายาท องค์ชายไปหาอวี้เสวี่ยนซื่อเพคะ”

ชายารัชทายาทเผยรอยยิ้มหยันอย่างคิดไว้แล้วออกมา

นางรู้ว่าองค์ชายไปที่นั่นอีกแล้ว

ก็แค่ผู้หญิงอายุเกือบสามสิบและยังเสียโฉม กลับครองใจองค์รัชทายาทได้นานเพียงนี้

นางเคยสืบประวัติของอวี้เสวี่ยนซื่อ

ว่ากันว่านางเป็นสาวใช้ของท่านหญิงชิงหยาง บุตรสาวคนที่สามของจวนเจิ้นหนานอ๋อง พอข่าวเรื่องท่านหญิงชิงหยางเกิดเรื่องส่งกลับมายังจวนผิงหนานอ๋อง นางก็ชนกระแทกเสากับสาวใช้คนหนึ่ง

สาวใช้คนนั้นเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนอวี้เสวี่ยนซื่อรักษาชีวิตเอาไว้ได้เพราะถูกคนมือไวคว้าเอาไว้ทัน เพียงแต่หน้าผากทิ้งรอยแผลเป็นไว้ ซึ่งปกติแล้วนางจะใช้ผมหนาๆ ปิดบังเอาไว้

เพื่อพิสูจน์ข่าวที่ได้ยินมา นางเคยสั่งให้อวี้เสวี่ยนซื่อเปิดหน้าผาก นางเห็นรอยแผลเป็นบนหน้าผากขาวเนียนตามคาด

รัชทายาทผู้อ่อนโยนได้ยินเรื่องนี้ก็โมโหนางยกใหญ่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานางก็ไม่สนใจสตรีต่ำต้อยนั่นอีก

ด้วยฐานะของนางไม่คุ้มที่จะเห็นเสวี่ยนซื่อที่มาจากสาวใช้คนหนึ่งเป็นศัตรู ทั้งๆ ที่คนที่เขาใส่ใจจริงๆ คือท่านหญิงชิงหยาง

กับคนตายคนหนึ่ง นางยิ่งไม่มีทางสู้ด้วยได้

เพียงแต่ว่าคิดๆ แล้วเสวี่ยนซื่อคนหนึ่งเป็นที่โปรดปรานขององค์รัชทายาทหลายปีเช่นนี้ก็ยากที่จะสงบอารมณ์ได้

หลังจากรู้สึกหดหู่ใจ ชายารัชทายาทก็ไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมต่อ นางก้าวเท้าเดินไปที่ห้องของบุตรสาว

เว่ยเชียงเดินสาวเท้าไปที่ตำหนักด้านข้างแห่งหนึ่ง รู้สึกวิตกกังวลในใจอย่างบอกไม่ถูก

“เสวี่ยนซื่อ องค์รัชทายาทเสด็จมาแล้วเจ้าค่ะ” นางกำนัลรับใช้พูดกับสตรีร่างผอมผมหนาดกดำในห้องคนหนึ่ง

[1] เสวี่ยนซื่อ คำเรียกสำหรับสนมในองค์รัชทายาท ซึ่งยังไม่มีตำแหน่งใดๆ แต่อาจได้ถวายการรับใช้องค์รัชทายาทและเป็นที่โปรดปรานระดับหนึ่ง

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท