ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 104 ท่านหญิงบันดาลโทสะ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 104 ท่านหญิงบันดาลโทสะ

“เสียชีพได้ แต่มิยอมเสียศักดิ์ศรีหรือ” ลั่วเซิงเผยยิ้ม ยกมือขึ้นเคาะศีรษะของคุณชายน้อยเบาๆ “มิใช่ว่าเจ้าโดนพวกเขาทุบตีจนโง่ไปแล้วหรือ”

คุณชายน้อยพลันหน้าเปลี่ยนสี กุมหน้าผากแล้วรีบถอยกรูดไปยังมุมกำแพง ในน้ำเสียงเย็นชาแฝงความตระหนก “ข้า ข้าเคยได้ยินเรื่องของเจ้า”

หากเป็นคุณหนูลั่วที่ฉุดคนไปเป็นนายบำเรอ เขายอมโดนพวกคนเมื่อครู่ตีจนตายเสียยังดีกว่า!

ลั่วเซิงเองก็เริ่มหงุดหงิดแล้ว

มิใช่ว่าโมโหที่หลานชายมีท่าทีต่อต้านนาง แต่โมโหเพราะเขาไม่รู้วิธีที่จะปกปก้องตนเองแม้แต่น้อย กระจ่างชัดแล้วว่ามีวิธีที่ดียิ่งกว่าให้เลือกสรร แต่เขากลับเลือกวิธีที่ลำบากที่สุด

แม้กระทั่งดีชั่วก็แยกแยะไม่ได้ ไม่รู้หนักรู้เบา

สำหรับสวี่ชีนั้นคุณหนูลั่วเป็นคนแปลกหน้าโดยแท้จริง หลังจากช่วยเขาไว้จากสถานการณ์นั้นแล้ว เจ้าเด็กโง่คนนี้ไม่เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเอ่ยขอบคุณอย่างไร แต่ยังทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายอยู่ในสถานะที่ไม่เป็นมิตรกันได้ด้วยประโยคเดียว

จะว่าโง่ก็มิใช่ คงทะนงตนในศักดิ์ศรีกระมัง

ลั่วเซิงเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าจะส่งเจ้ากลับเรือน”

“ไม่ต้อง” คุณชายน้อยปฏิเสธกลับทันควันโดยไม่คิดไตร่ตรอง จ้องลั่วเซิงเขม็ง แววตาเปี่ยมด้วยความระแวดระวัง

ลั่วเซิงถอนหายใจ เอ่ยถาม “สวี่ชี เมื่อครู่ข้าเพิ่งจะช่วยเจ้าไว้มิใช่หรือ”

“ข้าไม่ต้อง….”

ลั่วเซิงเอ่ยขัดวาจาของเขา “ไม่ว่าเจ้าจะต้องการหรือไม่นั้น ก็เป็นความจริงว่าผู้อื่นได้ช่วยเหลือเจ้าแล้ว ก่อนที่อีกฝ่ายยังไม่เรียกร้องสิ่งใดเพื่อแลกกับการตอบแทนบุญคุณ เจ้าไม่ควรกล่าวขอบคุณสักคำหรือ”

ในความเป็นจริง มีกี่คนกันตกอยู่ในสถานการณ์อับจนหนทางแล้วไม่อยากให้ใครสักคนปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือเล่า การบอกว่าไม่ต้องการนั้นเป็นเพียงความภาคภูมิใจในตนเองที่อธิบายไม่ได้และน่าหัวเราะเยาะก็เท่านั้น

คุณชายสูงศักดิ์ท่านหนึ่ง อีกอย่างยังเป็นคุณชายจากจวนโหวผู้ไร้มารดาแท้ๆ คอยปกป้อง ด้วยนิสัยเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะต้องประสบพบเจอกับความยากลำบากมากน้อยเพียงใด

สวี่ชีได้ยินคำถามนั้นก็นิ่งงัน ใบหน้าฉายความละอายแวบหนึ่ง จากนั้นก็โต้กลับด้วยความโมโห “นั่นเพราะเจ้าอยากทำมันเองต่างหาก ข้าไม่กล่าวขอบคุณแล้วมันจะทำไมเล่า”

ลั่วเซิงยกกระโปรงแล้วเดินตรงไปยังทางเข้าตรอก น้ำเสียงราวกับไม่สนใจไยดี “เจ้าเอ่ยขอบคุณแล้วเนื้อมันจะหายไปสักชิ้นหรือ”

สวี่ชีเม้มปากไม่พูดจา

แน่นอนว่าแม้จะกล่าวขอบคุณนั้นเนื้อย่อมไม่หายไปสักส่วน แต่หากอีกฝ่ายมีเจตนาไม่ดีต่อเขาเล่า

ลั่วเซิงเลิกคิ้วเล็กน้อย “ดูท่าเจ้าเองก็รู้ว่าถึงจะกล่าวขอบคุณเนื้อก็หาได้หายไปสักส่วนไม่ เช่นนั้นเอ่ยสักคำแล้วจะเป็นอะไรไปเล่า”

ดวงตาของนางจดจ้องไปยังใบหน้าของคุณชายน้อย มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มเยาะ “กล่าวสักคำแล้วเจ้าจะเสียศักดิ์ศรีอย่างนั้นหรือ”

“ข้า…” สวี่ชีอยากจะตอบกลับว่าไม่ใช่ แต่ก็คิดอีกครั้งว่าหากอธิบายไปแล้วจะเป็นการสนองความต้องการของอีกฝ่าย

เช่นนั้นก็คงจะดูเหมือนเสียศักดิ์ศรีกว่าเดิม

ลั่วเซิงยังคงขยับเท้าตรงไปข้างหน้า แสงสว่างยิ่งสาดประกายกล้า

“คนจะมีศักดิ์ศรีหรือไม่มีนั้น หาใช่มองจากสิ่งนี้” ลั่วเซิงหยุดเท้า แล้วหันกายกลับมามองคุณชายน้อยจอมดื้อรั้น

สวี่ชียกมือขึ้นมาป้องแสงเข้าดวงตา

ความสว่างที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันทำให้เขามึนงง ความหงุดหงิดใจเองก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

เขาเดินตามหญิงสาวผู้นี้ออกไปนอกตรอกโดยไม่รู้ตัว

ลั่วเซิงรอจนสวี่ชีลดมือลง ก็ค่อยๆ ยิ้มจางออกมา “เอาล่ะ ข้าไม่อยากพูดไร้สาระมากไปกว่านี้แล้ว ให้ข้าส่งเจ้ากลับจวน หรือจะตามข้ากลับจวน เจ้าเลือกเอาสักอย่างเถอะ”

คุณชายน้อยใบหน้าตื่นตะลึง “เจ้าเป็นอย่างที่คิดไว้ เป็นอย่างที่คิดไว้…”

เป็นดังคาดว่าจะให้เขาเป็นนายบำเรอ!

เสียงของลั่วเซิงเย็นเยือกยิ่งกว่าเก่า “รีบตัดสินใจซะ”

สวี่ชีมองใบหน้าหญิงสาวที่สวมหน้ากากเย็นชา จากนั้นจึงมองไปที่บุรุษผู้มีสีหน้าสบายๆ และสุดท้ายจึงหันมองไปยังสาวใช้ที่ท่าทางดูดุร้ายแล้วประกาศเสียงกร้าว “ข้าจะกลับจวน””

ลั่วเซิงผงกศีรษะเบาๆ

ก็ยังมิได้โง่เง่าถึงขั้นนั้น

“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”

สวี่ชีใบหน้าเครียดขึงตลอดทาง แต่ก็ผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยเมื่อพบว่านี่เป็นเส้นทางกลับไปยังจวนฉางชุนโหวจริงๆ

“พวกเขารุมกลุ้มตีเจ้าเพียงคนเดียวเช่นนี้บ่อยรึ”

คาดว่าน้ำเสียงของหญิงสาวคงคล้ายกับคุยเรื่องสัพเพเหระมากเกินไป สวี่ชียังไม่ทันได้ทันได้มีท่าที

ต่อต้าน เขาก็โพล่งปากออกมา “ถ้าใช่แล้วจะทำไมหรือ”

“ใช่ก็คือใช่ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ เหตุใดต้องย้อนถามกลับ การยั่วผู้อื่นให้เกิดโทสะ กวนใจผู้อื่นนั้นจะทำให้เจ้าคิดว่าเจ้ามีศักดิ์ศรีหรือ”

สวี่ชีสะดุ้งเล็กน้อย

แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยคิดจริงจังเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ว่าการยอมปฏิบัติตามและเชื่อฟังผู้อื่นนั้นนับว่ามีศักดิ์ศรีด้วยหรือ

“เจ้ายั่วยุคนอื่น สามารถทำให้อีกฝ่ายกล้ำกลืนความเจ็บช้ำ นี่ก็พอจะฝืนนับว่ามีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง”

“คุณชายน้อยพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว “ฝืนนับหรือ”

ลั่วเซิงพยักหน้า “ใช่ อีกฝ่ายอาจโกรธแต่ไม่กล้าพูดออกมาเพราะฐานะของเจ้า ยกตัวอย่าง ข้าเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ ข้าสั่งสอนคนพวกนั้นจนศีรษะเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ นี่เรียกว่าฝืนนับว่ามีศักดิ์ศรี แม้จะห่างไกลจากคำว่ามีศักดิ์ศรีอย่างแท้จริงอยู่บ้างก็ตาม”

“ถ้าอย่างนั้นอะไรคือการมีศักดิ์ศรีอย่างแท้จริง” สวี่ชีถามออกมาโดยไม่รู้ตัว

ลั่วเซิงมองไปที่คุณชายน้อยแล้วยิ้มจาง “การใช้ความสามารถของเจ้าในการทำให้อีกฝ่ายสยบแก่เจ้า นั่นคือสิ่งที่เรียกว่ามีศักดิ์ศรีอย่างแท้จริง เจ้าทำเช่นนี้มิได้เรียกว่ามีศักดิ์ศรี เรียกว่าเป็นเป็ดปากแข็ง มีหลุมอยู่ในสมอง เรียกว่าโง่…”

คราวนี้ คุณชายน้อยนิ่งเงียบ

ลั่วเซิงราวกับลืมหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ไปแล้ว อยู่ๆ ก็ถามขึ้นอีกรอบ “ในเมื่อพวกเขารุมรังแกเจ้าเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่บอกผู้ใหญ่เล่า”

“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร!”

ลั่วเซิงยืนนิ่ง หันมองไปทางคุณชายน้อย “เหตุใดจะไม่ได้เล่า”

คุณชายน้อยรู้สึกราวกับกำลังโดนสบประมาท ตอบกลับด้วยความโมโห “แม้แต่เด็กน้อยไม่กี่ขวบยังรู้ว่ามิควรไปบอกผู้ใหญ่ หรือว่าข้านั้นรู้ความน้อยยิ่งกว่าเด็กไม่กี่ขวบกัน”

“เด็กน้อยอายุเท่าไรกันเล่า” ลั่วเซิงหันมองคุณชายน้อยเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจ้าไปได้ยินวาจาเช่นนี้มาจากเด็กคนไหนกัน”

“น้องชายทั้งสองของข้าเคยเอ่ยเช่นนี้เมื่อสองสามปีก่อน” สวี่ชีโพล่งออกมา

แพขนตาของลั่วเซิงสั่นไหวแผ่วเบา ขอบตาคล้ายกับมีน้ำค้างแข็งก่อตัว

จวนฉางชุนโหวนั้นดีจริงๆ

พี่หญิงใหญ่ทิ้งบุตรชายและบุตรสาวไว้คู่หนึ่ง สวี่ชีจนบัดนี้ก็ยังมิได้หมั้นหมาย เวลาโดยส่วนใหญ่ก็ต้องอาศัยอยู่ในจวนอื่น สวี่ชีจึงเติบใหญ่ด้วยนิสัยดื้อรั้นไร้เหตุผลเช่นนี้

ในทางกลับกัน บุตรสาวและบุตรชายของภรรยาใหม่ฉางชุนโหวเล่า

บุตรสาวนั้นเพิ่งจะอายุได้สิบสองปีก็มีชื่อเสียงว่ามากความสามารถแล้ว ส่วนบุตรชายทั้งสองยังบอกอะไรมากไม่ได้เพราะยังเด็กนัก แต่เมื่อไม่กี่ปีก่อน พวกเขากลับรู้ว่าต้องพูดคำพูดพวกนี้กับพี่ชายคนโต

ยามนี้เด็กชายทั้งสองอายุยังไม่ถึงสิบปี นั่นหมายความพวกเขาอายุเพียงไม่กี่ขวบเมื่อไม่กี่ปีก่อน

เด็กอายุไม่กี่ขวบกลับบอกพี่ชายของตนว่าหากถูกทุบตีแล้วไม่อาจไปฟ้องผู้อาวุโส และเป็นเช่นที่คาดการณ์ไว้ว่าพี่ชายไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครรับรู้จริงๆ และหลังจากนั้นเขาก็ตกเป็นเป้าของการทุบตีอย่างป่าเถื่อนจากคุณชายวัยใกล้เคียงกันจากจวนต่างๆ

จวนฉางชุนโหวไม่ทราบเรื่องนี้ หรือดูเหมือนจะไม่รู้ และเมื่อไม่มีใครออกหน้าแทนสวี่ชี คนอื่นก็ไม่สามารถกล่าวหาว่าจวนฉางชุนโหวไม่แยแสบุตรชายของภรรยาเอกคนแรกได้

วิธีการไร้ยางอายและโหดร้ายเช่นนี้ หากมิใช่แผนการของภรรยาใหม่ฉางชุนโหว เช่นนั้นนางก็มิใช่ท่านหญิงชิงหยางแล้ว

แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับฉางชุนโหวสวี่ลี่คนเจ้าเล่ห์นั่น จะต้องมีสักวันที่นางจะชำระบัญชีของตนแน่

เช่นนั้นตอนนี้ ก็คิดดอกเบี้ยสักจำนวนหนึ่งก่อนแล้วกัน

“น้องชายทั้งสองของเจ้าเคยโดยคุณชายคนอื่นรุมตีมาก่อนหรือไม่”

สวี่ชีชะงัก จากนั้นจึงส่ายหน้า

ลั่วเซิงหัวเราะเยาะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คำพูดที่เด็กน้อยสองคนนั่นกล่าวจะเชื่อถือได้อย่างไร นี่มิใช่ว่าเจ้าถูกเอาเปรียบแล้วยังไม่รู้ตัวหรอกหรือ”

“แต่ว่า…”

“แต่ว่าอะไรหรือ หรือเจ้าคิดว่าตนไม่ฉลาดเทียบเท่าน้องชายทั้งสองของเจ้า”

สวี่ชีนิ่งเงียบ

เขาทำอะไรก็ไม่เก่งสักอย่าง บางครั้งความจริงแล้วก็มีความรู้สึกเช่นนี้

ยิ่งเมื่อได้เห็นว่าน้องสาวมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย ได้รับคำชมจากคนอื่นมากมาย เมื่อคิดถึงตนเองและพี่สาวคนโตที่มีฐานะปานกลางพอๆ กัน ความรู้สึกนี้ก็ยิ่งลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เห็นคุณชายน้อยนิ่งเงียบ ลั่วเซิงก็โมโหจนจมูกแทบเบี้ยวแล้ว

คิดเช่นนี้จริงหรือ

ทั้งๆ ที่ ทุกคนมีบิดาคนเดียวกัน แล้วนี่ไม่ได้หมายความว่ามารดาแท้ๆ ของเจ้าปัญญาอ่อนด้อยกว่ามารดาของคนอื่นหรือ

เช่นนั้นก็หมายความว่าพี่หญิงใหญ่ของนางโง่สินะ

นางและพี่ใหญ่เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน เช่นนั้นก็หมายความนางโง่ด้วย!

นางโง่อย่างนั้นหรือ

ลั่วเซิงหันใบหน้าพลันแข็งกระด้าง ไปสั่งสือเยี่ยนทันที “แบกสวี่ชีขึ้น กลับจวน!”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท