ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 109 ดีร้าย

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 109 ดีร้าย

คุณชายน้อยที่ถูกหงโต้ววางไว้บนตั่งยังคงนิ่งเฉย

ลั่วเซิงขมวดคิ้ว

หรือวันนี้จะหนักหนาสาหัสเกินไป จนหลานชายรู้สึกกลัว

หงโต้วเอ่ยเตือนจากด้านข้าง “คุณหนู คุณชายใหญ่สวี่สลบไปแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ ตอนที่ท่านบอกว่าจะพาเขากลับมาที่จวน บ่าวสังเกตเห็นว่าเขาพยายามดิ้นก็เลยใช้มือสับหลังคอเขาเจ้าค่ะ”

สื่อเยี่ยนที่ไม่พูดไม่จามาโดยตลอดส่ายหัวอย่างเงียบๆ

คุณชายใหญ่สวี่โชคร้ายนัก เด็กคนนี้จากวันนี้ไปคงได้ซวยตลอดปีเป็นแน่แท้

ลั่วเซิงหันไปพยักหน้าให้หงโต้ว “ทำดีมาก”

นางคิดว่าหลานชายของนางสำนึกได้แล้วก็เลยไม่ต่อต้าน ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเพราะหงโต้วที่ทำให้เขาหมดสติ

จากมุมมองนี้ คงจะเป็นหนทางอีกยาวไกลในการให้คำชี้แนะแก่หลานชายตัวน้อย

“โค่วเอ๋อร์ ไปตามหมอมาหน่อยเถอะ”

หงโต้วรีบร้อนกล่าว “ไม่ต้องเรียกหมอหรอกเจ้าค่ะ บ่าวจัดการเอง!”

สาวใช้เอื้อมมือออกไปอย่างฉับไวราวกับสายฟ้าแล้วหยิกคุณชายน้อยอย่างแรง

สวี่ชีส่งเสียงครวญคราง ก่อนจะค่อยๆ รู้สึกตัว

เมื่อหันมองสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย สวี่ชีก็ผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ

“ที่นี่ที่ไหนกัน”

“นี่คือจวนแม่ทัพใหญ่ไงเล่า” หงโต้วยิ้มกริ่มตอบกลับ

“จวนแม่ทัพใหญ่หรือ” สวี่ชีพึมพำ ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองไปที่ลั่วเซิงด้วยความโกรธ “เจ้านี่มัน เจ้าพาข้ามาที่นี่จริงๆ ด้วย! เหตุใดถึงได้มีสตรีไร้ยางอายเช่นเจ้าอยู่ในโลก…”

สื่อเยี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็เอาแต่ส่ายหัว

เจ้าเด็กคนนี้สมองใช้การไม่ได้ แต่ใจกล้าไม่น้อย

แน่นอนว่าหงโต้วรีบตีเขาทันที “สามหาว กล้าพูดกับคุณหนูของข้าเช่น…”

“หงโต้ว” ลั่วเซิงเอ่ยปรามเบาๆ

หงโต้วหยุดปาก ถลึงตามองสวี่ชีด้วยความหงุดหงิด

ลั่วเซิงหันไปสั่งโค่วเอ๋อร์ “ไปตามหมอให้เข้ามาดูอาการบาดเจ็บของคุณชายใหญ่สวี่”

“ไม่ต้อง!” สวี่ชีปฏิเสธเสียงแข็ง

โค่วเอ๋อร์ไม่เหลือบมองสวี่ชีแม้แต่น้อย หันหลังกลับเดินออกไป

ลั่วเซิงมองสีหน้าดุร้ายของคุณชายน้อยแล้วเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าอย่าทำให้ยุ่งยากเลย หลังจากพบหมอแล้ว ท่านพ่อของเจ้าก็จะมารับ หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็แค่อยู่ต่อ”

“เจ้าคิดว่าตระกูลของเจ้าสามารถปิดฟ้าด้วยมือเดียวหรือ อย่างไรข้าก็เป็นคุณชายใหญ่ของจวนฉางชุนโหว…”

“บุตรชายคนโตของจวนโหวที่ถูกทุบตีทุกวัน” ลั่วเซิงรับคำเสียงเรียบ

สวี่ชีเดือดดาลจนใบหน้าซีดขาว “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!”

ลั่วเซิงหย่อนกายลงนั่ง สีหน้าไม่แยแส “ไม่ใช่เรื่องของข้าหากเจ้าถูกทุบตี แต่หากเจ้าปล่อยให้แม่เลี้ยงเกลี้ยกล่อมเหมือนคนโง่ นั่นก็เป็นเรื่องของข้าแล้ว”

“ถึงข้าจะโดนแม่เลี้ยงปฏิบัติเหมือนคนโง่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย” สวี่ชีคำราม

วันนี้หลังจากฟังการสนทนาระหว่างลั่วเซิงและหยางซื่อ ตลอดจนคำซุบซิบนินทาของฝูงชนที่รับชมความสนุกสนาน ความคิดของคุณชายน้อยที่มีต่อหยางซื่อก็สั่นคลอนเล็กน้อย

หากแต่ความลังเลใจนี้ไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับมารดาเลี้ยงของเขา

สวี่ชีคิดว่าคำถามนี้จะอุดปากลั่วเซิงได้ หากแต่เด็กสาวที่อยู่ตรงข้ามกลับยิ้มอย่างเกียจคร้านแล้วเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ “เพราะข้าไม่มีมารดาน่ะสิ สิ่งที่แย่ที่สุดคือการสูญเสียแม่ของตัวเองไปและถูกแม่เลี้ยงเลี้ยงดูมาอย่างโง่เขลา โดยที่ไม่รู้ว่าโง่เลยด้วยซ้ำ”

นี่มันความเข้าใจผิดแบบไหนกัน

สวี่ชีโกรธมาก “แม่เลี้ยงของข้าไม่ได้แย่อย่างที่เจ้าว่า”

เขาถูกเลี้ยงให้เป็นคนโง่ตั้งแต่เมื่อไหร่

“เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า ตอนที่เจ้าทำผิดพลาดเมื่อครั้งเป็นเด็ก แม่เลี้ยงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร”

สวี่ชีได้ยินก็เช่นนี้ก็รู้สึกกล้าขึ้น “แม่เลี้ยงปฏิบัติต่อข้าด้วยความเมตตาอ่อนโยน แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยขึ้นเสียงเลยสักประโยค”

“แล้วถ้าเจ้าไม่ตั้งใจเรียน แม่เลี้ยงของเจ้าจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร”

สวี่ชีคล้ายกับมีพละกำลังมากยิ่งขึ้น “หากข้าโดดเรียนท่านพ่อก็จะโบยข้า แม่เลี้ยงก็จะหยิบยามาทาให้ข้า”

“อ้อ เช่นนั้นทุกครั้งที่เจ้าก่อเรื่องให้ท่านอาจารย์โกรธ แม่เลี้ยงเจ้าทำอย่างไรเล่า”

“แม่เลี้ยงก็จะหาอาจารย์ที่ดียิ่งกว่าเดิมให้ข้า!” ยิ่งสวี่ชีเอ่ยมากเท่าไร เขาก็สัมผัสได้ว่าเด็กสาวตรงหน้านั้นน่ารังเกียจมากขึ้นเท่านั้น กระจ่างชัดว่าเขาและแม่เลี้ยงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไร้สิ่งบาดหมาง

แม้แต่มารดาที่ให้กำเนิดเขา เกรงว่าก็คงจะไม่อ่อนโยนกับเขามากไปกว่าที่แม่เลี้ยงปฏิบัติต่อเขา

เห็นว่าคุณชายน้อยยังคงยืนกรานโต้แย้ง ไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างดีชั่วได้ ลั่วเซิงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

รู้สึกเป็นทุกข์ โกรธ และเสียใจแทนพี่หญิงใหญ่

หากแต่ยิ่งความรู้สึกนี้เกิดขึ้นมากเท่าไร การสอนสั่งหลานชายไร้ประโยชน์คนนี้ให้ดีก็ยิ่งสำคัญมากขึ้นเท่านั้น

“แล้วแม่เลี้ยงของเจ้าปฏิบัติต่อน้องชายทั้งสองและน้องสาวของเจ้าอย่างไรเล่า” ครั้งนี้ลั่วเซิงใช้น้ำเสียงอ่อนลง

สวี่ชีสะดุ้ง อดคิดไม่ได้ว่าในตอนเด็กๆ เมื่อน้องสาวของเขาไม่มีความอดทนในการดีดฉิน แม่เลี้ยงจะลงโทษนางด้วยการให้นับถั่ว เมื่อนับเสร็จ หลังจากน้องสาวร้องไห้แล้วก็ร้องขอดีดฉินด้วยตนเอง

เขายังนึกถึงครั้งที่น้องสามเอาหมึกชโลมใส่เคราอาจารย์อย่างซุกซน แม่เลี้ยงตีมือของน้องสามจนบวมเป่งแล้วให้เขาคุกเข่าต่อหน้าอาจารย์เพื่อขอโทษ จนกว่าอาจารย์จะพยักหน้ารับแล้วยอมสอนต่อ จากนั้นจึงให้สาวใช้ทายาให้น้องสาม

ครั้งนั้นแม้แต่น้องรองก็โดนลงโทษด้วย แม่เลี้ยงกล่าวว่าเป็นเพราะน้องรองไม่ดูแลน้องสามให้ดี

เรื่องเหล่านี้แต่เดิมถูกฝังไว้ในส่วนลึกของความทรงจำของเขามาเป็นเวลานาน เขาเมินเฉยเมื่อสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น และยังรู้สึกซาบซึ้งใจเมื่อแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อเขาแตกต่างออกไป หากแต่ยามนี้เมื่อเด็กสาวตรงหน้าเอ่ยขึ้นมาด้วยความไม่สบอารมณ์ สวี่ชีก็จำเรื่องราวทั้งหมดได้ทันที

เขาไม่อาจไม่ยอมรับ เป็นความจริงที่ว่าแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อเขาแตกต่างจากไปจากบรรดาพี่น้อง

เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็ก เขาไม่ลังเลเลยที่จะคิดเลยแม้แต่น้อยว่าแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อเขาอย่างดี ทว่า ในยามนี้ เมื่อหันกลับมามองสายตาถากถางของเด็กสาว สวี่ชีกลับเริ่มลังเล

“เจ้าทำผิดแต่กลับไม่โดนดุด่าก็เลยไม่เกรงกลัวที่จะทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ้าโดดเรียนแต่กลับได้รับการปฏิบัติอย่างอ่อนโยน ตั้งแต่นั้นมาการโดดเรียนจึงเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เจ้าโมโหอาจารย์ก็เลยได้อาจารย์ท่านใหม่ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่รู้จักเคารพอาจารย์ท่านใดจึงกลายเป็นคนเขลาที่รู้จักแต่การต่อยตีแต่ไร้ความรู้ความสามารถ”

ลั่วเซิงกล่าวถึงตรงนี้ก็ผุดยิ้มเย็นชา “เจ้าคิดว่าแม่เลี้ยงเลี้ยงดูเจ้าอย่างดี แต่เจ้ากลับเติบโตมาเป็นคนที่ไม่แม้แต่จะพอใจในตนเองด้วยซ้ำ เจ้าคิดว่าแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อบุตรชายบุตรสาวของนางด้วยความรุนแรง แต่พวกเขากลับกลายเป็นคนโดดเด่น อะไรดี อะไรไม่ดี คนอื่นเอ่ยไปก็ไร้ประโยชน์ มิสู้เจ้าลองไตร่ตรองดูก็ได้”

อะไรคือดีและอะไรคือไม่ดีกันนะ

จู่ๆ สวี่ชีก็คล้ายกับหมดเรี่ยวแรงจะโต้แย้ง คิ้วขมวดมุ่นใช้ความคิด

โค่วเอ๋อร์รีบร้อนพาหมอท่านหนึ่งเข้ามา

“ให้เขาดูอาการ” ลั่วเซิงหยัดกายขึ้นแล้วเดินออกไป

ดวงตะวันยังคงสาดแสงอยู่ข้างนอก นับเป็นช่วงเวลาที่ดียิ่ง

“เซิงเอ๋อร์…” แม่ทัพใหญ่ลั่วก้าวเข้ามาภายในลานของเสียนอวิ๋นย่วนอย่างรีบร้อน

“ท่านพ่อรีบร้อนเช่นนี้ มีเรื่องใดหรือเจ้าคะ” ลั่วเซิงเดินเข้าไปหา เอ่ยถามอย่างเอาใจ

แม่ทัพใหญ่ลั่วกระตุกมุมปากอย่างรุนแรง

เซิงเอ๋อร์นับวันยิ่งนิ่งสุขุม ครั้งนั้นที่ปลดเข็มขัดของไคหยางอ๋องออกก็ยังรีบเอ่ยกับเขาตรงไปตรงมาอย่างรวดเร็ว

“เซิงเอ๋อร์ ได้ยินมาว่าเจ้าพาคุณชายใหญ่ของจวนฉางชุนโหวกลับมาหรือ”

ลั่วเซิงผงกศีรษะรับคำ ใบหน้าไม่เปลี่ยนสี “เจ้าค่ะ”

“เหลวไหล รีบส่งเขากลับไปเดี๋ยวนี้”

“ท่านพ่อโปรดวางใจ ลูกเพียงทำเรื่องงดีๆ พาคุณชายใหญ่สวี่กลับมาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้มารดาเลี้ยงของเขาประวิงเวลา รอกระทั่งฉางชุนโหวมารับแล้ว ข้าก็จะปล่อยเขากลับไป”

“จริงหรือ”

ลั่วเซิงยิ้มจาง “ลูกเคยโกหกท่านพ่อด้วยหรือเจ้าคะ ท่านมิรู้หรือว่าข้าเกลียดแม่เลี้ยงมากที่สุด”

แม่ทัพใหญ่ลั่วนวดจมูกของตนเบาๆ

เรื่องนี้เขาย่อมเชื่อ เมื่อไม่กี่ปีก่อนเคยมีแม่สื่อมาทาบทามเขาเรื่องการแต่งงาน ครั้นเซิงเอ๋อร์ทราบข่าวก็สังหารแม่สื่อทิ้งแล้วโยนร่างนางทิ้งเข้าไปในเล้าหมูของเพื่อนบ้าน

ตั้งแต่นั้นมา ไม่มีแม่สื่อคนใดกล้ามาเยี่ยมเยียนประตูใหญ่ของจวนลั่วอีกเลย

ตราบใดที่เซิงเอ๋อร์ยินยอมจะปล่อยเขาไป ก็ไม่เป็นไรแล้ว

คิดถึงเรื่องนี้ แม่ทัพใหญ่ลั่วก็กวาดตามองไปทางสื่อเยี่ยนเล็กน้อย หยั่งเชิงถาม “พ่อดูแล้วเด็กหนุ่มผู้นี้คุ้นตานัก มิใช่เป็นองครักษ์ส่วนตัวของไคหยางอ๋องหรอกหรือ”

“เจ้าค่ะ” ลั่วเซิงไม่คิดว่า หัวข้อสนทนาจะเปลี่ยนเป็นเรื่องของสื่อเยี่ยนในฉับพลัน

แม่ทัพใหญ่ลั่วกระแอมไอออกมาคำหนึ่ง “แม้พ่อจะมองแล้วว่าเป็นความเต็มใจ แต่อย่างไรเขาก็เป็นคนของไคหยางอ๋อง มิสู้ส่งเขากลับไปดีกว่ากระมัง”

สือเยี่ยน “??”

ใครเต็มใจกัน!

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท