ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 127 พบกันโดยบังเอิญ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 127 พบกันโดยบังเอิญ

สายฟ้าฟาดพร้อมเสียงอสนีบาตในใจของฮูหยินเสนาบดียิ่งรุนแรงขึ้น แต่ละครั้งกระทบไปถึงขั้วหัวใจ

เปรี้ยง ยี่สิบตำลึง เปรี้ยง สามสิบตำลึง…

ฮูหยินเสนาบดีต้องมองตาแก่ที่เรือนของนางใหม่เสียแล้ว

อาหารราคาแพงขนาดนี้ มีคนเลี้ยงเขาติดต่อกันถึงสองวันเชียวหรือ

คิดไม่ถึงเลยว่านายท่านจะโชคดีนัก

โค่วเอ๋อร์เห็นฮูหยินเสนาบดีนิ่งเงียบไปชั่วขณะก็รีบเอ่ยอย่างเอาใจ “สุราส้มของร้านเราราคาถูกกว่าสุราปกติเจ้าค่ะ กาละยี่สิบตำลึงเงินเท่านั้น”

ฮูหยินเสนาบดีคล้ายกับได้สติขึ้นมาทันที

เป็นเจ้ามื้อแต่พอได้ยินราคาอาหารแล้วนิ่งเงียบ นางไม่อาจยอมเสียหน้าแก่ๆ นี้ได้

“งั้นเอาอาหารแต่ละอย่างมาหนึ่งจาน สุราส้มหนึ่งกา จากนั้นค่อยตบท้ายด้วยเกี๊ยวปลาแล้วกัน” หัวใจของฮูหยินเสนาบดีราวกับโดนกรีด แต่ใบหน้ากลับต้องแสร้งทำทีสุขุม

“เจ้าค่ะ”

โค่วเอ๋อร์เดินออกไปส่งรายการอาหาร ด้านผู้ดูแลก็อยู่ที่โต๊ะคอยปรนนิบัติ

หลังจากนั้นไม่นาน เด็กสาวในชุดอาภรณ์สีเรียบก็เลิกม่านเดินเข้ามา พร้อมกับถาดใบหนึ่งในมือ

รอยยิ้มบนริมฝีปากของจี้จิ่วฮูหยินแข็งค้าง

นี่ไม่ใช่คุณหนูลั่วหรอกรึ นางจดจำอีกฝ่ายได้อย่างลึกซึ้งยิ่ง!

ลั่วเซิงเดินเข้ามาใกล้ จากนั้นจึงวางจานเครื่องเคียงลงทีละจาน กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่คือเครื่องเคียงที่มอบให้เป็นของขวัญ ลูกค้าทุกท่านสามารถลองชิมได้เจ้าค่ะ”

กล่าวพลางก็หันไปพยักหน้าให้สวี่ฟางเป็นการทักทาย

ด้วยมีผู้อาวุโสกว่าหลายคน สวี่ฟางจึงไม่ได้เอ่ยอะไรมากนัก เพียงหยัดกายลุกขึ้นค้อมให้อย่างมีมารยาท

“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณคุณหนูลั่วแล้ว” ฮูหยินเสนาบดีตอบกลับเสียงเรียบ

ด้วยอาหารที่แพงเช่นนี้ เป็นเรื่องปกติยิ่งหากจะมีเครื่องเคียงเล็กๆ น้อยๆ ให้

เมื่อเห็นว่าลั่วเซิงวางเครื่องเคียงเสร็จแล้วแต่ก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ฮูหยินเสนาบดีจึงกระแอมไอเบาๆ “พวกเรามีผู้ดูแลคอยปรนนิบัติก็พอแล้ว คุณหนูลั่วมิต้องเสียเวลามาดูแลหรอก”

“เช่นนั้นเชิญพวกท่านทานอาหารตามสบายเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงหาได้สนใจคนที่ไม่ใช่เป้าหมายไม่ เหตุผลที่นางส่งเครื่องเคียงมาให้เป็นการส่วนตัวนี้ก็เพราะสวี่ฟาง

หลานชายมาก็มีเครื่องเคียงให้ หลานสาวมาก็ย่อมต้องมีเครื่องเคียงเช่นกัน ไม่อาจลำเอียงให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้

อีกอย่าง เมื่อเปรียบเทียบกับตระกูลหลินแล้ว สถานการณ์ในจวนฉางชุนโหวก็ซับซ้อนยิ่งกว่า เด็กทั้งสองที่พี่หญิงใหญ่ทิ้งไว้นั้นทำให้นางเป็นห่วงมากกว่าเดิม

วันนี้หลังจากสวี่ฟางกินอาหารมื้อนี้แล้ว ไม่แน่ว่านางอาจพาสวี่ชีมาด้วยสักวันหนึ่ง

ลั่วเซิงพยักหน้าให้สวี่ฟางเล็กน้อยแล้วผินกายออกไป

ฮูหยินเสนาบดีและคนอื่นๆ เริ่มหยิบตะเกียบแล้วเอื้อมมือไปคีบเครื่องเคียง

หน่อไม้น้ำมันแดงช่วยให้สดชื่น เมล็ดหุยเซียงกรอบส่งกลิ่นหอมหวาน มันม่วงเหลียงเฟิ่นแม้จะรสหวานแต่ก็ไม่เลี่ยน ตบท้ายด้วยกุ้งแช่บ๊วยก็ยิ่งอร่อยมากขึ้น

เหล่าฮูหยินกวาดจานอาหารเครื่องเคียงไปไว้อย่างสงวน อดไม่ได้ที่จะให้ภัยต่อราคาอาหารที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่

เครื่องเคียงที่มอบเป็นของขวัญให้อร่อยถึงเพียงนี้ เมื่อคิดถึงเนื้อตุ๋นราคาจานละยี่สิบตำลึงก็น่าจะคุ้มค่า

ฮูหยินเสนาบดีนึกถึงรสชาติอันยอดเยี่ยมของกุ้งแช่บ๊วยก็หันไปเอ่ยถามกับผู้ดูแล “ข้าขอสั่งเครื่องเคียงจานนี้เพิ่มอีกได้หรือไม่”

ผู้ดูแลยิ้มกล่าว “ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ เครื่องเคียงมอบให้เป็นของขวัญเท่านั้น มิได้ไว้ขายเจ้าค่ะ”

ประจวบเหมาะกับที่โค่วเอ๋อร์และหงโต้วเดินเข้ามาพร้อมอาหาร

หงโต้วกล่าวตอบฉับไว “เครื่องเคียงมิใช่ว่าทุกโต๊ะจะได้เจ้าค่ะ”

“มิใช่ว่าจะได้ทุกโต๊ะอย่างนั้นหรือ” เหล่าฮูหยินเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ถูกแล้วเจ้าค่ะ อย่างไคหยางอ๋องแม้จะมาที่นี่สองวันติดแล้ว แต่เขากลับไม่ได้เครื่องเคียงใดเลย” หงโต้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังราวกับร้านทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ

เหล่าฮูหยินเสนาบดีอดภูมิใจเล็กน้อยมิได้ รู้สึกว่าพวกนางเองก็มีหน้ามีตาไม่น้อย

แม้แต่ไคหยางอ๋องที่มาที่นี่ติดต่อกันสองวันก็ยังมิได้รับเครื่องเคียง ไหนเลยจะกล่าวได้ว่าพวกนางมีหน้ามีตายิ่งกว่าไคหยางอ๋อง

อะแฮ่ม นี่มันน่ายินดีจริงๆ

ชั่วขณะหนึ่ง แม้แต่จี้จิ่วฮูหยินก็ยังเกิดความรู้สึกดีอันน้อยนิดต่อลั่วเซิงที่เพิ่งเข้ามาพร้อมกับเครื่องเคียง

ตราบใดที่คุณหนูลั่วไม่ได้จ้องหลานชายของนาง นั่นก็นับว่าดีแล้ว

“ไก่แช่น้ำมัน สไบนางและผ้าขี้ริ้ว เนื้อตุ๋น ลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวกระเทียมดำ ลูกค้ารับประทานให้อร่อยนะเจ้าคะ”

เหล่าฮูหยินทั้งหลายต่างมองไปที่ไก่แช่น้ำมันเป็นอย่างแรก

บนจานกระเบื้องเคลือบสีขาวมีไก่ตัวหนึ่ง หนังของมันย้อมด้วยสีทอง ส่งกลิ่นหอมฉุย

โค่วเอ๋อร์ชี้แจง “จานนี้มองแล้วคล้ายกับไก่ทั้งตัว แต่ความจริงได้หั่นเป็นชิ้นๆ ไว้เรียบร้อย จึงทานได้สะดวกมาก เนื้อไก่ที่คัดสรรมาก็เป็นไก่อ่อนที่ดีที่สุด น้ำมันที่ใช้ราดนั้นก็เป็นสูตรลับของทางร้าน กรอบนอกนุ่มใน อร่อยมาก…”

ฮูหยินเสนาบดีและคนอื่นๆ คล้ายกับทนฟังต่อไม่ได้อีกแล้ว ทยอยกันหยิบตะเกียบเอื้อมมือไปทางจานใบนั้น เป็นดังที่โค่วเอ๋อร์กล่าวไว้เนื้อสีทองส่งกลิ่นหอมฉุยหั่นเป็นชิ้นไว้เรียบร้อยแล้วจึงคีบขึ้นมาอย่างง่ายดาย

หลังจากกัดเนื้อไก่กรอบนอกนุ่มในไปคำหนึ่งแล้วก็ไม่มีใครสนใจจะพูดคุยกันอีก ต่างใช้ตะเกียบหยิบชิ้นต่อไปขึ้นมา

โค่วเอ๋อร์ยังคงเอ่ยไม่ยอมหยุด “ฮูหยินลองชิมสไบนางและผ้าขี้ริ้วดูด้วยสิเจ้าคะ สไบนางผ้าขี้ริ้วของร้านเราต่างไปจากผ้าขี้ริ้วทั่วไป”

มีขนมแปดชิ้นวางเรียงซ้อนกันอย่างเรียบร้อยบนจานกลมอีกจานหนึ่ง วางซ้อนกันจนแทบจะมองไม่เห็นเงาของผ้าขี้ริ้ว หากไม่มีการบอกคงคิดไปแล้วว่านี่คือเต้าหู้แช่แข็งที่ถูกทอดจนชุ่มน้ำมันแล้ว

ฮูหยินเสนาบดียกตะเกียบขึ้น ท่าทางลังเลระหว่างผ้าขี้ริ้วและเนื้อไก่เล็กน้อย ก่อนจะคีบแผ่นที่ดูคล้ายเต้าหู้นั้นขึ้นมา

ทันทีที่เต้าหู้ก้อนถูกส่งเข้าปาก ฮูหยินเสนาบดีก็ตะลึงงัน

นี่คือผ้าขี้ริ้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ

แม้จะมีรสชาติของผ้าขี้ริ้วอยู่ แต่มีกลิ่นหอมยิ่งกว่า ให้ความรู้สึกคล้ายกับกำลังกินหมูสามชั้น แต่ไม่รู้สึกถึงความมันแม้แต่น้อย

ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็หยิบชิ้นต่อไปขึ้นมา

หนึ่งโต๊ะห้าคน หากแต่มีผ้าขี้ริ้วทั้งหมดเพียงแปดชิ้น หนิงกั๋วกงฮูหยินและสวี่ฟางจึงกินเพียงคนละหนึ่งชิ้นเงียบๆ เท่านั้น

หลังจากได้ลิ้มรสของเนื้อตุ๋นและลิ้นเป็ดกระเทียมดำก็อร่อยเช่นเดิมไม่ต้องอธิบายให้เสียเวลา

เมื่อเห็นว่าจานแต่ละใบเริ่มเห็นถึงก้นจานแล้ว พวกนางจึงคิดจะดื่มกัน

สุราสีอำพันบรรจุอยู่ในกาแก้ว เมื่อเทออกมากลับมีสีใส โปร่งแสง ไร้ร่องรอยสิ่งเจือปน

ด้วยกรรมวิธีในการหมักสุรา แม้แต่สุราส้มที่ดีที่สุดในตลาดก็ยังมีสีขุ่นมัว ไม่เคยเห็นสุราใดที่สะอาดและโปร่งแสงเช่นนี้มาก่อน

ฮูหยินเสนาบดีจิบคำหนึ่งแล้วทอดถอนใจไม่หยุด “เมื่อเทียบกับสุราส้มนี้แล้ว สุราส้มที่ข้าเคยดื่มแต่ก่อนก็กลายเป็นน้ำล้างแก้วที่ยากจะกลืน”

จี้จิ่วฮูหยินพยักหน้าสนับสนุน

อาหารอร่อยเช่นนี้ สุราที่เลิศล้ำ สั่งมาเพียงอย่างละจานจะพอได้อย่างไร

เอาอาหารมาเพิ่ม!

พร้อมสุราอีกกา!

สุดท้ายโค่วเอ๋อร์ก็รายงานใบคิดเงินด้วยเสียงหวาน “ไก่แช่น้ำมันสี่จาน สไบนางผ้าขี้ริ้วสิบจาน เนื้อตุ๋นและลิ้นเป็ดกระเทียมดำอย่างละหนึ่ง สุราส้มห้ากา และเกี๊ยวปลาห้าจาน ทั้งหมดคิดเป็นเงินห้าร้อยแปดสิบตำลึงเงินเจ้าค่ะ”

จี้จิ่วฮูหยินนั่งนิ่ง

ฉับพลันนางก็รู้สึกว่าไม่อาจยอมรับใบคิดเงินของสี่ร้อยกว่าตำลึงของตาแก่ได้ พวกนางเป็นสตรีกลับกินอาหารมื้อเดียวเกือบจะหกร้อยตำลึง!

ฮูหยินเสนาบดีเองก็นั่งนิ่งเช่นกัน

นางจะต้องกลับไปถามเขาอีกครั้ง เมื่อวานนี้และเมื่อวานซืนผู้ใดกันที่เป็นคนเลี้ยงเขา

นี่ นี่คงเป็นมิตรภาพที่แน่นแฟ้นมากเลยกระมัง

“อะแฮ่ม เถ้าแก่ของเราบอกมาว่า นางและคุณหนูสวี่มีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เช่นนั้นวันนี้อาหารทั้งหมดจะลดให้ครึ่งราคาเจ้าค่ะ ลูกค้าจ่ายเพียงสองร้อยเก้าสิบตำลึงเงินเท่านั้น” โค่วเอ๋อร์ส่งยิ้มให้กับฮูหยินเสนาบดี “มิทราบว่าลูกค้าจะจ่ายเลย หรือลงบัญชีไว้หรือเจ้าคะ”

ฮูหยินเสนาบดีฝืนยิ้มด้วยความเจ็บปวด “ลงบัญชี”

สองร้อยเก้าสิบตำลึงนี่เป็นจำนวนที่น้อยแล้วหรือ

นางได้ยินตาแก่บอกมาว่าร้านนี้แพงจึงตั้งใจพกตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงมา

แต่ก็ยังไม่พอ…

“เจ้าค่ะ” โค่วเอ๋อร์ยื่นใบคิดเงินให้ กิริยาท่าทางกระฉับกระเฉง

ยามนี้โถงด้านล่าง มีลูกค้าด้วยกันทั้งสิ้นสี่โต๊ะ

เว่ยหานนั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียว เสนาบดีจ้าวและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาหลินเถิงนั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง ส่วนหลินจี้จิ่วหรืออาจารย์หลินก็พาหลานชายคนรองหลินซูมาด้วยที่อีกโต๊ะหนึ่ง

ยังมีชายฉกรรจ์ผู้นั้นที่ตั้งหน้าตั้งตากินเกี๊ยวปลา ดูแล้วผิดหูผิดตาไปจากลูกค้าคนอื่นเล็กน้อย

เสนาบดีจ้าวและหลินจี้จิ่วสบตากัน นัยน์ตาประหนึ่งมีดาบกำลังฟาดฟันกันอยู่

เสนาบดีจ้าวคิดในใจ ‘ถ้ารู้ว่าวันนี้หลินจี้จิ่วจะมา คงไม่ต้องสนใจว่าหลินเถิงจะกินอะไร อย่างไรเขาก็เป็นเพียงเจ้านายเท่านั้น มิใช่ปู่เสียหน่อย’

ด้านหลินจี้จิ่วเองก็ตัดสินใจแล้วว่า ‘เขาจะสนใจเพียงอาหารของหลานชายคนรองเท่านั้น หลานชายคนโตมาทำงาน แน่นอนว่าไม่ต้องจ่าย!’

คิดว่ามันง่ายนักรึ หลังมื้อนี้เขายังต้องปวดหัวว่าจะอธิบายใบคิดเงินเมื่อวานให้ฮูหยินฟังอย่างไร

ตอนนั้นเอง ผู้ดูแลก็พาฮูหยินเสนาบดีและคนอื่นๆ ลงบันไดมา

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท