ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 139 กุ้งน้อย

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 139 กุ้งน้อย

เว่ยเหวินสุดท้ายก็ไม่อาจทนทานการโน้มน้าวใจของจูหานซวงได้จึงพยักหน้าตกลง

จูหานซวงกล่าว “ไม่อยากอาหารจึงควรไปลอง หากอร่อยก็นำกลับมาให้พระชายาด้วย”

ประโยคนี้สะกิดใจเว่ยเหวิน

หลังจากจูหานซวงเห็นเว่ยเหวินพยักหน้า นางก็ยกยิ้มมุมปากน้อยๆ

ร้านมีหอสุรานี้นางต้องไปให้ได้ แน่นอนว่าไปกับท่านหญิงต้องสะดวกกว่าไปคนเดียวอยู่แล้ว

ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรีสูงศักดิ์ หากไปกินอาหารที่หอสุราเพียงลำพังจะดึงดูดสายตา เกิดทำให้ไคหยางอ๋องมีภาพจำว่านางทำตัวเหลวไหลไม่เรียบร้อยจะทำเช่นไร

แต่หากสหายผูกผ้าเช็ดหน้าที่มีสถานะสูงกว่านางไปด้วย สถานการณ์ย่อมต่างออกไป

ยิ่งไปกว่านั้นนางได้ยินมาว่ามีสตรีสูงศักดิ์ไม่น้อยจับกลุ่มกันไป

ทั้งสองคนมาถึงยังถนนชิงซิ่ง และเห็นหอสุราที่ภายนอกหน้าตาธรรมดาตั้งอยู่

“ที่นี่ก็คือร้านมีหอสุราหรือ” เว่ยเหวินมองลูกค้าเข้าๆ ออกๆ ร้านด้วยความตกตะลึง

ด้วยสายตาเฉียบแหลมของนางย่อมดูออกว่าคนเหล่านี้เป็นผู้สูงศักดิ์ร่ำรวยทั้งสิ้น ขนาดจดจำใบหน้าคุ้นเคยได้อยู่หลายคน

“เอ๋ นั่นหลานสาวสองคนของรองเจ้ากรมราชรถ[1]หวังมิใช่หรือ นึกไม่ถึงว่าจะอยู่ที่นี่ด้วย” จูหานซวงกล่าวราบเรียบด้วยท่าทางเรียบเฉย

ตำแหน่งรองเจ้ากรมราชรถเป็นเพียงตำแหน่งขุนนางชั้นสี่ อยู่ในเมืองหลวงไม่ได้มีลำดับชั้นมากนัก หลานสาวของเขาในสายตาสตรีชั้นสูงอย่างจูหานซวงนับว่าไม่มีสิ่งใดพิเศษ

ทั้งสองฝ่ายได้พบปะกันในงานเลี้ยงบ้างแต่ก็น้อยครั้งมาก

“เข้าไปก่อนเถอะ” เว่ยเหวินมองคนที่ผ่านไปผ่านมาแล้วกล่าวเสียงเบา

ทั้งสองคนเดินไปถึงหน้าประตูกลับถูกหงโต้วขวางเอาไว้

“ขออภัยด้วยลูกค้าทั้งสองท่าน วันนี้ลำดับเลขของหอสุราเราแจกหมดแล้วเจ้าค่ะ”

“แจกลำดับเลข?” จูหานซวงได้ฟังก็ชะงักไป

แม้ในใจหงโต้วจะเกลียดชังจูหานซวงเพียงใด แต่เป็นคนงานในหอสุรามานานเช่นนี้ย่อมระงับอารมณ์ได้จึงอธิบายว่า “ช่วงเย็นหอสุราของเรารับรองแขกเพียงสิบโต๊ะ หากมากกว่านั้นก็ต้องรอพรุ่งนี้แล้ว”

นี่เป็นสิ่งที่พวกนางพยายามทักท้วงกันแทบตาย คุณหนูถึงได้ตัดสินใจตั้งกฎใหม่นี้ขึ้นมา

มีคนตะกละมากเกินไป คนทำงานหนักอย่างพวกนางจะเอาสิ่งใดกินเล่า

เด็กสาวในชุดเรียบๆ ตรงตู้คิดเงินได้ยินเสียงที่หน้าประตูจึงกวาดตามองมา

เมื่อเห็นเว่ยเหวิน ลั่วเซิงก็ใจกระตุก

รอมาตั้งนาน ปลาใหญ่ไม่มา มีกุ้งน้อยมาก่อนก็นับว่าไม่เลว

บุตรสาวมากินแล้ว ยังต้องกังวลว่าบิดานางจะไม่มากินหรือ?

ส่วนเรื่องรับแขกช่วงเย็นเพียงสิบโต๊ะ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะพวกหงโต้วโวยวายถึงได้ตัดสินใจเช่นนี้ แต่เป็นเพราะนางวางแผนไว้นานแล้ว

นางเปิดหอสุราแห่งนี้เดิมทีก็ไม่ใช่เพื่อเงิน แต่เพื่อสังหารคน

ดังนั้นจึงกำหนดราคาสูงตั้งแต่เริ่มต้น กำหนดกลุ่มลูกค้าให้อยู่ในขอบเขตผู้ร่ำรวยสูงศักดิ์ แม้คนเหล่านี้จะไม่สามารถมากินได้ตลอดเวลาก็ตาม

เมืองหลวงมีผู้ร่ำรวยสูงศักดิ์มากมายเหมือนขนวัว นางล้างมือทำน้ำแกง ไม่ใช่เพื่อคอยปรนนิบัติรับใช้พวกเขาทุกวี่ทุกวัน

อย่างเช่นพวกเสนาบดีจ้าวที่กระตือรือร้นมากในช่วงแรก เมื่อกระเป๋าเงินของพวกเขาแฟบลง ช่วงหลายวันมานี้ก็ไม่มาแล้ว

แต่ชื่อเสียงของหอสุราเลื่องลือออกไปแล้วจึงมีแขกใหม่มาใช้บริการโดยไม่ต้องกังวล

ผู้คนเห็นอาหารเป็นดังท้องฟ้า ไม่มีวันยอมพลาดแน่

หลังจากสำรวจมาหลายวัน จำกัดจำนวนที่สิบโต๊ะกำลังดี

บางคืนไม่เต็มสิบโต๊ะ แต่ก็มีบางวันที่มีคนต้องกลับไปมือเปล่าดังเช่นวันนี้

จูหานซวงเหลือบไปเห็นร่างชุดแดงที่นั่งลำพังอยู่ตรงมุมห้องโถง ไหนเลยจะเต็มใจจากไป สีหน้านางบึ้งตึงเล็กน้อย “จำกัดแค่สิบโต๊ะ? ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าหอสุราจำกัดลำดับเลขด้วย”

“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ หอสุราของพวกเราก็เป็นเช่นนี้” หงโต้วตั้งหน้าตั้งตาอธิบาย “พื้นที่ของหอสุราเล็ก ห้องโถงใหญ่นั่งได้เพียงหกโต๊ะ ห้องส่วนตัวซื่อมีเพียงโต๊ะเดียว เมื่อโต๊ะนั่งเต็มแล้ว ลูกค้าที่มาต่อก็ต้องรอลูกค้าคนก่อนหน้ากินเสร็จก่อน เช่นนี้เมื่อรอให้ลูกค้ากินอาหารเสร็จก็ถึงเวลาปิดร้านพอดี”

ส่งลูกค้าจอมตะกละเหล่านี้ไปหมดแล้ว พวกนางก็สามารถกินข้าวอย่างสบายใจได้แล้ว

เวลานี้เองโค่วเอ๋อร์ก็เข้ามายอบกายให้เด็กสาวทั้งสอง “ลูกค้าทั้งสองเชิญเข้าข้างในได้เจ้าค่ะ”

จูหานซวงเห็นคุณหนูสองคนของรองเจ้ากรมราชรถลุกขึ้นก็อดเอ่ยขึ้นไม่ได้ “รอเดี๋ยวก่อน”

หญิงสาวทั้งสองมองไป จากนั้นก็รีบยอบกายทำความเคารพเว่ยเหวิน

หนึ่งในนั้นถามจูหานซวงอย่างสุภาพ “คุณหนูจูเรียกพวกเรามีเรื่องใดหรือ?”

จูหานซวงยิ้มอย่างสงวนท่าที “ข้ากับท่านหญิงมาช้าไป ไม่ทราบว่า…”

หางตานางเหลือบมองคนชุดแดงแวบหนึ่ง เดิมคิดจะกล่าวว่าจะขอลำดับเลขให้พวกนางแทนได้หรือไม่ ทว่าปากกลับเปลี่ยนความคิด “ไม่ทราบว่าขอร่วมโต๊ะได้หรือไม่?

หากแย่งเอาลำดับเลขมา คงกลายเป็นคนบ้าอำนาจในสายตาเขาผู้นั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คุณหนูแซ่หวังทั้งสองยังจะกล่าวสิ่งใดได้อีก ทำได้เพียงตอบตกลงอย่างไม่ลังเล

สี่คนนั่งพอดีหนึ่งโต๊ะ

หลังได้ฟังโค่วเอ๋อร์แนะนำรายการอาหารและราคาแล้ว จูหานซวงก็ข่มกลั้นความตกใจและถามเว่ยเหวินว่า “ท่านหญิงอยากทานสิ่งใด? วันนี้ข้าเลี้ยงเอง”

นางได้ยินมาว่าหอสุราแห่งนี้ราคาสูงลิ่ว ทว่าคิดไม่ถึงว่าจะแพงหูฉี่เช่นนี้

“เช่นนั้นก็ลิ้นเป็ดกระเทียมดำหนึ่งจาน แตงกวาเสื้อกันฝนหนึ่งที่ เพิ่มบะหมี่หยางชุนอีกชาม” หลายวันมานี้เว่ยเหวินไม่อยากอาหารเท่าใด แต่ด้วยการกระตุ้นจากกลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งอยู่ในห้องโถง นางจึงสั่งอาหารอย่างสบายใจ

“เพิ่มเนื้อวัวตุ๋นอีกที่ เนื้อแช่วุ้นหนึ่งจาน เกี๊ยวปลาอีกหนึ่งที่” จูหานซวงยิ้มเล็กน้อยมองหญิงสาวทั้งสองนาง “ทั้งสองท่านอยากกินสิ่งใด”

หญิงสาวอายุมากกว่าหน่อยรีบกล่าวว่า “คุณหนูจูไม่ต้องสนใจพวกเราหรอก”

จูหานซวงถอนหายใจหนักๆ ทว่าสีหน้ายังคงแสดงออกอย่างสบายๆ “ร่วมโต๊ะอาหารเดียวกัน ยังต้องคิดบัญชีแยกกันหรือ คุณหนูหวังทั้งสองอย่างกินสิ่งใดก็สั่ง คิดบัญชีรวมกับจวนกั๋วกงไปเลย”

หญิงสาวทั้งสองยังคงปฏิเสธแข็งขัน

จูหานซวงลอบเอ่ยว่ายังดีที่รู้ประสา รู้สึกมองทั้งสองคนสบายตาขึ้นมาก

“เช่นนั้นคุณหนูหวังทั้งสองเชิญสั่งตามสบาย”

เด็กสาวสองนางถอนหายใจโล่งอกอย่างชัดเจน เด็กสาวที่อายุมากกว่าสั่งอาหารกับโค่วเอ๋อร์ “บะหมี่หยางชุนสองชาม แตงกวาเสื้อกันฝนหนึ่งที่ก็พอแล้ว”

บะหมี่หยางชุนหนึ่งชามห้าตำลึงเงิน แตงกวาเสื้อกันฝนสองตำลึงเงิน สั่งมากินแค่นี้ก็ต้องเสียเงินหลายสิบตำลึงเงินแล้ว สำหรับพวกนางแล้วเป็นจำนวนเงินไม่ใช่น้อย

พวกนางสองพี่น้องเบี้ยหวัดรายเดือนแค่สองตำลึงเงิน รวมเงินสำหรับใช้ไปมาหาสู่เหล่าพี่น้องแล้วด้วย

คุณหนูใหญ่หวังมองน้องสาวด้วยสายตาอบอุ่น

ล้วนกล่าวกันว่าอาหารสุราของร้านมีหอสุราอร่อยมาก นางอยากเชิญน้องสาวมาชิมดู

เพียงแต่น่าเสียดายในกระเป๋าเงินช่างขัดสน กินได้เพียงบะหมี่หยางชุนชามเดียว

หากรสชาติอร่อยสมคำร่ำลือ รอให้ถึงปีใหม่ในมือมีเงินเหลือเฟือ นางค่อยพาน้องสาวมากิน ถึงเวลานั้นต้องกินเนื้อตุ๋นและเนื้อแช่วุ้นด้วย

โค่วเอ๋อร์จดจำเอาไว้ จากนั้นก็ยิ้มหวานให้จูหานซวง “ลูกค้าอยากลองชิมสุราส้มด้วยหรือไม่เจ้าคะ เป็นสุราที่หอสุราเราหมักเองโดยเฉพาะ รสชาติสะอาดสดชื่น สัมผัสนุ่มคอ ไม่เหมือนกับสุราส้มที่เคยดื่มทั่วไป”

“เช่นนั้นก็เอาสุราส้มมาหนึ่งกา” จูหานซวงในใจเลือดไหลหยด ทว่าสีหน้าเรียบเฉย

“ได้เจ้าค่ะ ทุกท่านรอสักครู่”

ขณะที่โค่วเอ๋อร์กำลังสนทนากับลูกค้าโต๊ะนี้ สตรีในชุดเสื้อผ้าธรรมดาที่นั่งอยู่ตรงตู้รับแขกกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

“อาซิ่ว ข้าจะทำอาหารสักอย่าง” ลั่วเซิงที่ไม่รู้โผล่มาห้องครัวด้านหลังเมื่อใดกล่าวขึ้น

ซิ่วเย่ว์หลีกทางให้ จากนั้นก็เอ่ยปากถาม “คุณหนูจะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ”

“ฟักเขียวอำพัน”

นัยน์ตาซิ่วเย่ว์หดลง

ฟักเขียวอำพัน?

ฟักเขียวมีวิธีทำหลายวิธี ล้วนเรียกว่าฟักเขียวอำพันได้ทั้งนั้น ทว่าฟักเขียวอำพันที่แท้จริงในใจนางมีเพียงวิธีเดียว

พ่อครัวที่สอนท่านหญิงทำอาหารในตอนนั้นเคยกล่าวไว้ ทั้งดินแดนตอนใต้มีคนทำวิธีนี้ได้มีไม่เกินสามคน คนแรกคืออาจารย์ของนาง คนอีกคนคือศิษย์พี่นาง อีกคนหนึ่งก็คือนาง

“คุณหนูเตรียมจะทำอาหารรายการใหม่ของพรุ่งนี้หรือเจ้าคะ”

ฟักเขียวอำพันที่แท้จริงต้องใช้เวลาอย่างนั้นสี่ชั่วยามถึงจะทำเสร็จ

“ไม่ อีกเดี๋ยวจะยกไปให้ลูกค้าโต๊ะหนึ่ง ดังนั้นจึงจะใช้ลูกเล่นอย่างหนึ่ง รสชาติแม้จะด้อยไปบ้าง ทว่าก็ยังกินได้”

ซิ่วเย่ว์ตกตะลึง

[1] รองเจ้ากรมราชรถ เป็นขุนนางขั้นสี่ มีหน้าที่คอยดูแลม้าและราชรถของราชวงส์และส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท