“นี่เบเรต์ กินข้าวคนเดียวไม่เหงาแย่เหรอจ๊ะ? ไม่สนุกเลยใช่ไหมล่ะ”
หลังจากหมดคาบที่4 ก็เป็นเวลาพักเที่ยงต่อ
ขณะที่ผมกำลังหยิบแซนด์วิชของตัวเองออกมากิน ผมก็หันไปเจอกับคำพูดถากถางของเอเลน่าที่กำลังตั้งท่าจะไปโรงอาหาร
“…..เอเลน่า คือว่านะ สุขภาพจิตของฉันมันไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้นหรอกนะ”
“ดะ เดี๋ยวก่อน! ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดแทงใจดำนายแบบนั้นสักหน่อย อย่าพึ่งเข้าใจฉันผิดไปแบบนั้นนะ”
“จริงๆฉันก็เข้าใจไปแบบนั้นไปเรียบร้อยแล้วล่ะนะ …สรุปแล้วเธออยากจะพูดอะไรกันแน่ล่ะ?”
ดูจากท่าทางที่รีบแก้ตัวอย่างตื่นตระหนกของเอเลน่า ผมก็คิดว่าเธอคงไม่ได้ตั้งใจจริงๆ
“อะ…ท ที่ฉันอยากจะบอกก็คือ เอ่ออ…คือว่า นายไม่เห็นต้องลำบากห่อข้าวจากบ้านมากินในห้องเรียนคนเดียวเลยก็ได้นี่นา คือฉันหมายถึง ฉะ–ฉันจะสร้างสถานการณ์เหมาะๆที่นายจะสามารถไปเข้าไปกินข้าวในโรงอาหารให้เอง! ”
“นั่นมันก็จริง แต่ว่า ฉันคิดว่าถึงไปกินที่โรงอาหารคนเดียวสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่ต่างกันหรอก ไม่ใช่เหรอ?”
“ท…ทำไมถึงคิดจะไปคนเดียวอีกแล้วเล่า! เรื่องแค่นี้เองเดี๋ยวฉันจะยอมไปเป็นเพื่อนด้วยก็ได้ เพราะว่ามันช่วยไม่ได้นี่นะ ใช่! มันช่วยไม่ได้! ”
ฮึ้มม! เธอเค้นเสียงในลำคอและหันหน้าหนี
“อ๋าา…จริงสิ ถ้างั้นเอเลน่าก็แค่เอาข้าวกล่องมากินที่นี่ด้วยกันเลย แค่นี้เราก็คลี่คลายปัญหาได้แล้วนี่เนอะ เยี่ยมไปเลย”
“นะ…อะไรล่ะนั่น…”
จงอย่าเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนอื่น แต่จงให้คนอื่นเปลี่ยนเพื่อเรา! ถึงจะพยายามหาเหตุผลมาแก้ตัวแค่ไหนมันก็ฟังไม่ขึ้นอยู่ดี แท้จริงแล้วผมก็แค่ขี้เกียจเท่านั้นเอง
ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา ขี้เกียจอะ ยุ่งยากจะตาย ไม่เอาด้วยหรอก
ทว่าถึงผมจะพูดไปแบบนั้นเอเลน่าก็ดูไม่ได้มีท่าทีต่อต้านแต่อย่างใด กลับกัน เธอกลับมีใบหน้าสีแดงจางๆกระพริบตาปริบๆสายตาเลิ่กลั่กไปมา
“น่ะ..นี่ หรือก็คือกินข้าวด้วยกันสองต่อสองงั้นเหรอ…? ”
“อื้อ”
“เอ่ออ คือว่า นี่หรือว่าบางที….นายคงไม่ได้คิดจริงจังเรื่องเมื่อเช้าจริงๆใช่มั้ย เรื่องที่พ่อของฉันพยายามจับฉันหมั้นกับนายนั่นน่ะ ”
“เดี๋ยวนะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการชวนเธอกินข้าวกลางวันด้วยกันล่ะ?”
“ยังไงนะ เอ่อ หมายถึงชีวิตคู่หลังจากนี้งั้นเหรอ? มันก็น่าจะเหมือนเป็นกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์?ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นก่อนแต่ง อะไรประมาณนั้นล่ะมั้ง….” //TN: ( ͡° ͜ʖ ͡°)
‘ถ้ามีเหตุผลอะไรแอบแฝงล่ะก็ รีบบอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะยะ!’ เอเลน่าหรี่ตามองหน้าผมราวกับจะพูดแบบนั้น
แน่นอนว่าผมไม่ได้คิดถึง ‘เรื่องอย่างว่า’ แน่นอน ไม่สิ ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องคิดแบบนั้นด้วย
“ไม่สิ เดิมทีแล้วฉันกับเอเลน่าก็เป็นแค่เพื่อนที่ดีต่อกันไม่ใช่เหรอ?”
“อ!! ”
“เพราะงั้นฉันเลยไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น แล้วก็ไม่ได้จริงจั—ง อะ…อาเร๊ะ? หรือว่า นี่ฉันคิดว่าเราเป็นเพื่อนกันไปเองคนเดียวงั้นเหรอ? ถ้างั้นฉันก็ปล่อยไก่ตัวใหญ่ออกไปแล้วสิเนี่ย อุหวาาน่าอายจังเลยน้าา”
“ฉ–ฉันเองก็ไม่ได้คิดเหมือนกันแหละย่ะ…”
พลังอันเหลือล้นในคำพูดของเธอเริ่มหดหายไปไหนก็ไม่รู้
เธอเป็นคนที่ซื่อตรง และด้วยความซื่อตรงของเธอนั้น ก็รีบอธิบายเหตุผลของตัวเองออกมา
“ฉ..ฉันน่ะก็แค่อยากจะสนิทสนมกันให้มากขึ้นในฐานะ ‘เพื่อน’ ก็แค่นั้นแหละนะ! ไม่ได้มากหรือน้อยไปกว่านั้นเลยนะ! ”
“ถ้าเขินขนาดนั้น ก็ไม่เห็นต้องพูดออกมาเลยก็ได้นี่นา”
“งึมมมม~อ๊ะ! จำได้แล้ว ก่อนหน้านี้นายก็เคยแกล้งฉันแบบนี้ด้วยนี่นา! … ฉันจะโกรธจริงๆแล้วนะ!! ”
“อุ๊บบฮ่าๆ เรื่องนั้นต้องขอโทษด้วยจริงๆ ฮะๆ”
(ทำให้เธอโกรธอีกแล้วสิ…)
ถ้าผมแหย่เธอไปมากกว่านี้ เอเลน่าก็จะยิ่งอารมณ์เสียกว่าเก่าแหง
“เฮ้ออ..พอละ ก็ได้..เอาตามที่นายว่ามาก็ได้ กินข้าวด้วยกัน —สักสามครั้งต่อสัปดาห์… ”
“ถึงฉันจะพูดไปแบบนั้นก็เถอะ แต่มันจะดีเหรอ?”
“ถ้างั้นก็สองครั้งต่อสัปดาห์! ”
“อะ—”
(ไม่น่าพูดไปเลยตัวฉัน ปากพาซวยแท้ๆ….)
อย่างที่เคยบอกไป นั่งกินข้าวคนเดียวมันก็เหงาจริงๆนั่นแหละ อย่างน้อยๆมีเพื่อนคุยมันก็ยังดีกว่า ผมรู้สึกเสียดายจริงๆที่จำนวนครั้งมันลดลง
ในขณะที่ผมกำลังคิดว่ามีวิธีไหนที่จะทำให้จำนวนครั้งมันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้บ้าง
“อะ เอ๊อะ อา ขะ ขะขะขะขออภัยในความไม่สะดวกนะคั๊บ! ”
“เอ๋?”
“อ๊ะ ทะ ท่าน เบเบ เบเบเรต์! คือว่าท่านลูน่ากำลังเรียกหาท่านเบเรต์อยู่น่ะคั๊บ! ”
“เอ๊ะ?”
เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งกำลัง พูดคุย? กับเบเรต์ด้วยสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด
เมื่อผมมองไปที่ประตูทางเข้าก็พบกับลูน่าที่ยืนถือหนังสืออยู่ในมือและหันแววตาที่ดูง่วงนอนนั่นมาทางผม
“ขอโทษทีนะ ขอบคุณที่อุส่าห์มาบอก”
“อั๊บ เอ้ย คนับ!? ขะ ขะ ขอตัวก่อนนะค้าบบบ~!!”
และหลังจากที่เพื่อนร่วมชั้นทำภารกิจของตนเองลุล่วงไปได้ด้วยดี? เขาก็รีบแจ้นออกจากพื้นที่อย่างรวดเร็ว
(ผมล่ะสงสัยจริงๆว่าเขาไปได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับตัวผมแบบไหนมาถึงได้กลัวซะขนาดนั้น….)
ผมก็ไม่ได้แปลกใจมากนักหรอก แต่พอเจอเข้าต่อหน้าแบบนี้แล้วก็ช็อกไปเลยเหมือนกัน
“ก็อย่างที่ได้ยิน ฉันโดนเรียกตัวแล้วน่ะ เดี๋ยวกลับมานะ”
“กะ…โกหกน่า คุณหนูลูน่าคนนั้นงั้นเหรอ….”
ช่วยไม่ได้ที่เอเลน่าจะส่งเสียงตกอกตกใจเสียขนาดนั้นออกมา ก็เพราะว่าลูน่าค่อนข้างเป็นคนดังในโรงเรียนนี้อยู่พอสมควร
มีข่าวลือเกี่ยวกับตัวเธอว่า ไม่ว่าจะในเวลาเรียนหรือเวลาทานข้าวเธอก็ไม่เคยก้าวออกจากห้องสมุดเลย เว้นเสียแต่เวลากลับบ้าน เธอใช้เวลาทุกนาทีในการอ่านหนังสือแม้กระทั่งตอนกินข้าวก็ตาม
หรือก็คือ การที่เธอออกมาจากห้องสมุดในเวลานี้เป็นครั้งแรกของเธอ การเรียกหาคนอื่นก่อนแบบนี้ก็เป็นครั้งแรกของเธออีกเช่นกัน
มีนักเรียนเพียงแค่หยิบมือเดียวหรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ที่จะไม่รู้ข้อมูลนี้ ซึ่งเบเรต์ก็เป็นหนึ่งในนั้น
“นี่นายเคยรู้จักกับเธอมาก่อนงั้นเหรอ!? ”
“ก็ใช่น่ะสิ ท-ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะ ลูน่าเองก็เป็นนักเรียนที่นี่เหมือนกันไม่ใช่รึไง จะรู้จักก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนนี่”
ผมไม่รู้จริงๆว่าทำไมเอเลน่าถึงดูตกใจขนาดนั้น จากนั้นผมก็ได้เดินเข้าไปหาลูน่า
“ไม่เจอกันสักพักแล้วสินะคะ ตั้งแต่เมื่อวาน..เบเรต์ เซนต์ฟอร์ด”
“หวัดดี..”
ใบหน้าไร้อารมรณ์และนํ้าเสียงเรียบเฉยของลูน่ายังคงเป็นเช่นเดิม
“ที่ฉันมาวันนี้เพราะมีธุระกับคุณน่ะค่ะ ”
“โอ๊ะ อะไรเหรอๆ?”
“ขอโทษนะคะ ก่อนอื่นเลยขอถามอะไรสักเรื่องได้มั้ยคะ พอดีมันเป็นเรื่องที่กวนใจฉันอยู่น่ะค่ะ”
หลังจากที่พูดแบบนั้น ลูน่าก็หันหน้าไปทางเอเลน่า
“ใกล้กันจังเลยนะคะ กับเธอคนนั้นน่ะ”
“ก็นะ ก็สนิทกันพอสมควร บางทีอาจเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดล่ะมั้ง”
“….งั้นเหรอคะ เพื่อนที่ดีที่สุดสินะคะ ”
“อะ อือ?”
(ทำไมเสียงลูน่าถึงดูเย็นยะเยือกขนาดนั้นล่ะ รู้สึกเสียวสันหลังวาบยังไงก็ไม่รู้แหะ….)
พอเป็นลูน่าแล้วผมไม่สามารถอ่านความคิดจากสีหน้าของเธอได้เลยจริงๆ ความรู้สึกเมื่อกี้..เอาเถอะคงคิดไปมากไปเองแหละมั้ง
“แล้วคุณมีความสัมพันธ์ทางครอบครัวกับคุณหนูเอเลน่ารึเปล่าคะ”
“เปล่านะ ไม่ใช่แบบนั้นหรอก เพราะเอเลน่าเป็นคนเดียวในห้องที่กล้าเข้ามาคุยกับฉันน่ะ”
“ไม่เห็นจะเข้าใจเลยค่ะ คุณเองก็เป็นคนใจดีนี่คะ”
“ลูน่าลืมไปแล้วเหรอ? ก็ฉันน่ะมีแต่ข่าวลือแย่ๆเต็มไปหมดนี่นา”
“…..ฉันลืมไปแล้วค่ะ”
เธอยอมรับด้วยเสียงแผ่วเบาและพยักหน้าน้อยๆ
“เหตุผลก็พอยอมรับได้ค่ะ ว่าแต่ ตอนนี้คนมามุงกันเต็มไปหมดเลยนะคะ”
“ขอโทษทีนะ”
“ไม่หรอกค่ะ สาเหตุนึงก็อาจจะมาจากฉันด้วยแหละค่ะ”
ลูน่าและเบเรต์ผู้โด่งดังกำลังสนทนาในช่วงพักกลางวัน
เป็นเรื่องปกติที่จะเป็นจุดสนใจเพราะเป็นบุคคลที่ต่างกันคนล่ะขั้วแต่กลับมายืนคุยกันกลางโถงทางเดินแบบนี้
“แล้วลูน่ามีธุระอะไรเหรอ?”
“ฉันมาให้คำตอบสำหรับคำชวนของคุณค่ะ”
“อะ….”
ชั่วขณะนั้น..
‘น่าเสียดายนะคะ แต่ว่าท่านลูน่าคงไม่ยอมมาเที่ยวด้วยหรอกค่ะ’
‘ถ้าให้อธิบายสั้นๆ ก็เพราะท่านลูน่าชอบอ่านหนังสือมากกว่าที่จะออกมาเที่ยวเล่นน่ะค่ะ’
‘เธอปฏิเสธคำเชิญของทุกคนเลยล่ะค่ะ เธอมักจะพูดว่า ‘อ่านหนังสือมันสนุกกว่า’ น่ะค่ะ’
‘เธอมีแนวโน้มจะพูดว่า ‘ฉันไม่อยากเจียดเวลาว่างไปเล่นกับคุณหรอกนะ มันเสียเวลาเปล่า’ ยิ่งถ้าเป็นผู้ชายเธอจะพูดด้วยสีหน้าเย็นชาเป็นพิเศษเลยล่ะค่ะ….’
เรื่องตอนคุยกับเชียแว๊บเข้ามาในหัวอีกครั้ง
ผมรู้ตัวว่ากำลังจะโดนปฏิเสธแน่ๆ ในขณะที่กำลังเตรียมใจยอมรับ กลับได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิด
“ —ตกลงค่ะ จะอาทิตย์นี้ หรืออาทิตย์หน้าก็ได้ไม่มีปัญหาค่ะ”
“เห๊ะ?”
“ก็บอกว่า ตกลง ไงคะ”
“จะ..จะดีเหรอ!? ”
“จะแปลกใจอะไรขนาดนั้นคะ ก็คุณชวนฉันเองนี่คะ”
“ม..มันก็ใช่ แต่ฉันได้ยินมาน่ะ ว่าลูน่าไม่เคยตอบรับคำชวนของใครเลย”
“ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่คะ…. แล้ว จะไม่ไปเหรอคะ”
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น คือฉันดีใจน่ะ”
”ถ้างั้นก็ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องนั้นแล้วค่ะ“
“อะ..อือ”
(ผมรู้สึกเหมือนกับว่า….เธอเขินหน่อยๆรึเปล่านะ…?)
แต่ว่าใบหน้าของเธอยังก็คงเรียบเฉยเหมือนเดิม
อย่างกับว่าลูน่ามีพลังป้องกันลึกลับบางอย่างคอยปกปิดใบหน้าของเธออยู่
“คือว่า ฉันมีอะไรบางอย่างจะขอก่อนที่เราจะไปเที่ยวด้วยกันน่ะค่ะ”
“อะไรเหรอ?”
“มันอาจจะฟังดูเข้าใจยากนิดหน่อยนะคะ แต่ว่า ฉันใช้เวลาว่างทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือ ฉันเลยไม่รู้ว่าตอนออกไปเที่ยวข้างนอกควรทำยังไง หรือทำอะไรบ้าง เพราะงั้นฉันอยากให้คุณเป็นคนจัดการทั้งหมดเลยค่ะ”
ดวงตาของเธอเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยและเธอก็จ้องมาที่ผมด้วยสายตาที่มีความปราถนาแรงกล้า
“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว ก็ฉันเป็นคนชวนเธอเองนี่นา”
“ขอบคุณมากค่ะ ถ้างั้นคุณก็เลือกวันและเวลามาได้เลยนะคะ ยังไงฉันก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากอ่านหนังสืออยู่แล้ว”
“เข้าใจแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น ฉันทำธุระของฉันเสร็จแล้ว งั้นก็ขอตัวก่อนนะคะ”
ในขณะที่ลูน่าคำนับให้เล็กน้อยและกำลังจะไป
“เอ่อ ลูน่า คือว่ามีอีกเรื่อง”
“อะไรเหรอคะ”
“หนังสือที่เธอถืออยู่นั่นคืออะไรงั้นเหรอ? คือว่าหนังสือที่เธอแนะนำฉันเมื่อวันก่อนมันสนุกมากเลยล่ะ ฉันก็เลยสนใจน่ะ”
“ตะ..ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ค่ะ ถ -ถ้างั้นก็..”
“อะ…..”
ลูน่าปฏิเสธอย่างไม่ใยดี และหันหลังควับอย่างรวดเร็วและรีบวิ่งเหยาะๆออกไป
******
หนังสือที่ลูน่าถืออยู่นั้นมีทั้งหมดสามเล่ม
มีแค่เพียงหนังสือเล่มตรงกลางที่ไม่มีใครสามารถเห็นมันได้ มันคือหนังสือเกี่ยวกับแฟชั่นและสไตล์การแต่งตัว
ลูน่าวางแผนที่จะปรึกษากับคุณบรรณารักษ์เพื่อเตรียมตัวสำหรับวันที่จะได้ออกไปเที่ยวเล่น หรือ ‘เดท’ ของเธอ