ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 148 สักกี่คนจะเข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 148 สักกี่คนจะเข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ

“เช่นนี้ก็จบแล้วหรือ”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

เขารู้สึกยังไม่สาแก่ใจ

“เช่นนั้นเจ้ายังจะเอาอย่างไรอีก”

ตี๋เหว่ยไท่เอ่ยถาม

“หนนี้จางอวี่ซูจะแต่งกับนางหรือไม่”

คำถามนี้ของเซียวจิ่นข่านกลับดูคล้ายพึมพำกับตนเสียมากกว่า

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบให้ลงเอยอย่างสุขสมหวัง”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

แท้จริงว่า บทลงเอยถูกใจทั้งสองฝ่ายที่สุดย่อมให้พึงพอใจ แต่ความพึงพอใจนี้ก็มีหมายถึงเรื่องที่อยู่สูงสุดด้วย

และเมื่อผ่านจุดสูงสุดนั้นไปแล้ว ความเศร้าซึมก็จะตามมาเป็นลำดับ

เซียวจิ่นข่านหาใช่พวกจิตวิปริต สิ่งที่เขาอยากเห็นก็ใช่ว่าให้คนทั้งสองนอนแผ่เลือดท่วมอยู่บนพื้น จากนั้นก็ร่ำไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย

เขาเพียงรับความเดียวดายบนที่ที่ยิ่งสูงยิ่งหนาวไม่ได้เท่านั้น

ยามทุกคนเมามาย ย่อมต้องมีคนหนึ่งมีสติ

เซียวจิ่นข่านไม่กล้าพูดว่าทุกคราวล้วนเป็นเขามีสติอยู่ผู้เดียว แต่รวมแล้วจำนวนครั้งที่เขามีสติก็มากกว่าคนข้างๆ มากมายนัก

ฉะนั้นความเดียวดายย่อมมีมากกว่าเช่นกัน

ใต้หล้าไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกลา แม้อาจเติมสุราจุดตะเกียงเริ่มงานเลี้ยงหนใหม่ แต่เมื่อใดที่งานเลี้ยงเริ่ม ก็ย่อมมียามที่ดนตรีจบผู้คนแยกย้ายร่ำไป

ฉะนั้น ขอเพียงเขายึดถือ ‘บรรทัดฐาน’ หนึ่งเอาไว้

ก็ดังเป็นการเอาไม้บรรทัดไร้รูปอันหนึ่งวางขวางอยู่ภายในใจ ไม่ว่าจะเผชิญกับสิ่งใดล้วนต้องวัดขอบเขตของมันก่อน

จะเป็นการสนทนาสัพเพเหระก็ดี ดื่มสุราโหวกเหวกโวยวายก็ดี

เมื่อถูกอีกฝ่ายจูงจมูกเดิน เขาว่าสิ่งใดก็ว่าตามนั้นคือประจบประแจง

ด้วยเหตุนี้เซียวจิ่นข่านจึงฟังให้มาก พูดให้น้อยเรื่อยมา

นานๆ ครั้งจะเอ่ยสักประโยค แต่ก็กลับทำให้รอบตัวตะลึงคำ[1] เบิกเนตรมังกรผยอง[2]

ผู้ที่ถูกจอกสุราและสุราจูงจมูกเดิน มีเท่าไรดื่มเท่านั้นคือผีสุรา

แต่เซียวจิ่นข่านแตะจอกน้อยและดื่มช้าๆ มาแต่ไร

ผู้ที่บางครายกจอกสุราขึ้น แต่กลับจูงสุราให้เดินตามได้ นับเป็นเซียนสุรา

เมื่อเทียบกันแล้ว จิ่วซานปั้นนับได้ว่าเป็นคนสุรา

เขาไม่ได้ถูกสุราจูงจมูกเดินให้ต้องเมามายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ก็ไม่อาจควบคุมตนให้วางจอกสุราลงได้ รู้ว่าเมื่อควรดื่มก็ดื่ม ควรหยุดก็หยุด

แต่เมื่อเป็นผีก็ยังไม่วายต้องเสียหน้า ได้สุรามากลับต้องเสียของสำคัญไปมากมายยิ่งกว่า ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงความเมามายไม่รู้จบหนแล้วหนเล่า

ทว่าเมื่อกลายเป็นเซียนก็กลับอยู่เหนือทุกสรรพสิ่งเกินไป แม้ดูมีเกียรติและมีสง่าราศีทุกประการ แต่ที่สุดแล้วจะเกิดช่องว่างกับโลกหล้า

ต้องรู้ก่อนว่า ไม่ว่าจะเป็นเซียนหรือเป็นผี ก็ล้วนต้องเท้าติดผืนดิน หัวค้ำท้องฟ้า[3] ด้วยกันทั้งสิ้น

ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่อาจ ‘แยกแยะห้าธัญพืชไม่ออก ร่างกายทั้งสี่ส่วนไม่ขยับ[4]’

ดังนี้แล้ว เป็นคนจึงนับว่าดีที่สุด

จริงๆ แท้ๆ เรียบๆ ง่ายๆ ควรร่ำไห้ก็ร่ำไห้ ควรหัวเราะก็หัวเราะ ไม่ไขว่คว้ายศถาบรรดาศักดิ์ รู้เพียงรู้จักเคารพยำเกรง

ต่อสู้จึงหาญกล้า เชื่อถือจึงภักดี ทุกเดือนมีเงินเหลือเก็บ ทุกมื้อมีธัญพืชเหลือกิน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

“ข้ายังคู่ควรเอ่ยถึงสุขสมหวังสองคำนี้อีกหรือ”

เซียวจิ่นข่านกล่าวอย่างหดหู่เล็กน้อย

ตี๋เหว่ยไท่เข้าใจความอึดอัดในใจเขาดี จึงไม่เอ่ยสิ่งใดอีก

“ข้าจะดื่มกับเจ้าจนหมดไหนี้ดีหรือไม่”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

นี่กลับเป็นการโกหกคำโตว่าเขาอยากดื่มสุรา

“ไม่ได้! ข้ารับปากหลิวรุ่ยอิ่งไว้แล้ว เมื่อเขาเสร็จเรื่องยังจะมาดื่มสุรากับข้าอีก”

เซียวจิ่นข่านเอื้อมมือไปกุมไหสุราที่บรรจุ ‘สูตรลับหมื่นสกุล’ ของตนพลางกล่าว

“เหตุใดใจแคบเพียงนี้”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าวอย่างไม่พอใจ

นั่นเพราะเขาอุตส่าห์สนใจใคร่ดื่มสุราขึ้นมา

ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะเรียกไม่ได้ว่าเซียวจิ่นข่านเป็นคนที่เขาชมชอบ แต่ก็ไม่ได้รังเกียจ และยังเป็นคนที่อยู่ในระดับเสมอกันกับเขาด้วย

โอกาสเช่นนี้น้อยลงทุกทีแล้ว

หนก่อนที่พวกเขาร่วมดื่มสุรากันนั้นยังเป็นเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีก่อน

ครานั้นตี๋เหว่ยไท่กำลังง่วนอยู่ในลานหลังเรือน

เขาปลูกแตงกวาเถาหนึ่งให้เกาะเลื้อยไปตามรั้ว

ด้วยความเอาใจใส่ดูแลอย่างดีมันจึงเติบโตเป็นที่น่าพึงใจ ทอดตามองไปก็นับได้ว่าออกผลมากมายทีเดียว

ตี๋เหว่ยไท่นับๆ ดู มีแตงกวาทั้งหมดอยู่เจ็ดสิบสามลูก

ด้วยกังวลว่าจะนับผิดไป ตี๋เหว่ยไท่ถึงกับนับอย่างเอาจริงเอาจังตั้งสองรอบครึ่ง

รอบที่สามยังไม่ทันนับเสร็จ เพราะบังเอิญมีธุระจึงต้องหยุดไปกลางคัน

จนทำธุระเสร็จ ฟ้าข้างนอกก็มืดเสียแล้ว ตี๋เหว่ยไท่หาได้มีแก่ใจยกตะเกียงออกไปนับใหม่อีกรอบหนึ่ง

ทว่า ตี๋เหว่ยไท่ก็ยังฝันหวานวางแผนจัดแจงแตงกวาทั้งเจ็ดสิบสามลูก

เอาไปผัดกี่ลูก เอาไปยำกี่ลูก เอาไปใส่กับหมูสับกี่ลูก ไว้กินสดกี่ลูก ท้ายสุดเหลือลูกที่ค่อนข้างแก่เอาไว้ ครึ่งหนึ่งเก็บไว้ทำพันธุ์ อีกครึ่งหนึ่งเอาไว้กินเป็นแตงแก่

ยามกินแตงแก่เหล่านี้กลับมีรสชาติต่างออกไป

แตงกว่าอ่อนมีรสสัมผัสกรอบ และยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ อบอวล

แม้แตงกวาแก่จะมีรสสัมผัสที่ห่างไกลจากในวันก่อนเอาการ หากกินสดย่อมให้รสสัมผัสเหี่ยวยวบยาบ

แต่หากนำไปผัดไฟแดง ใส่ซีอิ๊วถั่วแรกฤดูใบไม้ร่วง[5]ไปสักสองสามหยดก็จะสร้างสมดุลให้กับรสสัมผัสยวบๆ นั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ กลิ่นเปรี้ยวนิดๆ ที่โชยออกมาทำเอาอดน้ำลายสอไม่ได้

ตี๋เหว่ยไท่จึงหลับไปขณะดำดิ่งอยู่ในวิธีการกินแตงกวาทั้งเจ็ดสิบสามลูกของตน

แต่ค่ำคืนนั้น เขากลับนอนหลับไม่สนิท มักได้ยินเสียงคนก๊อกๆ แก๊กๆ ดังมาจากข้างนอก

แต่พอตั้งใจฟัง ก็กลับว่างเปล่าราวกับไร้ซึ่งสิ่งใด

จึงนึกว่าเป็นหนูที่ออกหากินยามค่ำคืนหรือไม่ก็ลมวูบที่ไม่รู้มาจากแห่งหนใด

แต่พอวันต่อมา ขณะที่ตี๋เหว่ยไท่หวังจะอาศัยแสงจากท้องฟ้ามานับแตงกวาที่เมื่อวานนี้ตนยังนับรอบที่สามไม่ทันเสร็จ

แต่ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้ากลับทำให้ตี๋เหว่ยไท่ที่ไม่ค่อยบันดาลโทสะกลับโกรธเกรี้ยวใหญ่โตยิ่งกว่าแสงเพลิง

แตงกวาของเขาหายไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง!

ที่น่าโมโหเป็นที่สุดก็คือ พวกลูกอ่อนๆ ที่ยังไม่ทันโตได้ที่ก็ถูกเก็บไปด้วย

ด้วยความเดือดดาล ตี๋เหว่ยไท่จึงเริ่มค้นหาตัวต้นเหตุของเรื่องนี้

ความจริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องลงแรงอะไรเลย นั่นเพราะคนที่ขโมยแตงกวาไปไม่ได้คิดจะปิดบังตนแต่อย่างใด

ตี๋เหว่ยไท่เดินตามรอยเท้าเปื้อนดินโคลน มาจนถึงที่พักของเซียวจิ่นข่าน

ได้เห็นแตงกวาแสนงามของตนถูกเซียวจิ่นข่านปอกเปลือกออก หั่นเป็นท่อน เอาใส่ไว้ในไหสุรา

เมื่อนั้นถึงกับเจ็บปวดใจหาใดเปรียบ

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“ข้ารู้ ข้าไม่มี ข้ายืมใช้สักคราว”

เซียวจิ่นข่านสกัดตี๋เหว่ยไท่กลับไปด้วยประโยคที่มีคำว่าข้าถึงสามคำติดต่อกัน

“หากเจ้าต้องการใช้ เจ้าก็ควรเริ่มปลูกแตงกวาของตนตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิสิ!”

ตี๋เหว่ยไท่บอกเสียงลั่น

“เจ้าเคยเห็นคนตาบอด เพาะปลูกด้วยหรือ”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

ตี๋เหว่ยไท่พลันพูดไม่ออกทันที…

กลับรู้สึกขึ้นมาว่าตนเองไม่ควรทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เกินไป

จะอย่างไรก็แค่แตงกวาไม่กี่ลูก เซียวจิ่นข่านก็เอาไปแล้ว กินก็กินไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เห็นต้องโมโหเช่นนี้

ยิ่งไปกว่านั้นเซียวจิ่นข่านก็พูดถูก

เดิมทีเขาก็เป็นคนตาบอดผู้หนึ่ง แล้วจะขอให้คนตาบอดผู้หนึ่งปลูกแตงเอาผลแตงอย่างไรกันเล่า

ตี๋เหว่ยไท่เกิดความรู้สึกผิดท่วมท้นอยู่ในใจ ถึงกับประสานมือขออภัยเซียวจิ่นข่าน

“ไม่ต้องหรอก ประเดี๋ยวจะให้เจ้าลิ้มลองสุราแตงกวาของข้า”

เซียวจิ่นข่านเอ่ย

การนำส้มสุกลูกไม้มาดองสุรานี้ เป็นเรื่องธรรมดาสามัญอยู่แล้ว

แต่โดยมากล้วนใช้วัตถุดิบที่เป็นยาได้

แต่เจ้าแตงกวานี้ เกรงว่าทั่วทั้งใต้หล้าคงมีเพียงเซียวจิ่นข่านที่นำมาดองสุรา

ตี๋เหว่ยไท่รู้สึกว่าเรื่องนี้ไร้เหตุผล แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามให้มากความ เกรงว่าตนจะเบาปัญญาเกินไป

จึงมาดื่มสุราแตงกว่าที่ว่านี่กับเซียวจิ่นข่าน

ความจริงแล้ว นี่มันใช่สุราแตงกว่าที่ไหนกัน

ไม่ใช่แค่แตงกวาท่อนหนึ่งที่แช่อยู่ในถ้วยสุราก็เท่านั้น

เซียวจิ่นข่านเพิ่งเอาใส่สุราไปไม่นานเท่าใร แล้วไหนเลยจะเข้าเนื้อเร็วปานนั้น

ฉะนั้น สุรายังเป็นสุรา แตงกว่าก็ยังเป็นแตงกวา

เหมือนยามทั่วไปที่ดื่มสุราแกล้มยำแตงกวาไม่ผิดเพี้ยน!

แต่ชั่วขณะนั้น ตี๋เหว่ยไท่ยังคิดไม่ทัน

ด้วยตลอดเวลาที่ดื่มสุรา เขาล้วนกำลังทบทวนความเดือดดาลไร้ที่มาของตน ทั้งดำดิ่งอยู่ในความรู้สึกผิดที่มีต่อคนตาบอดเช่นเซียวจิ่นข่านผู้นี้

กระทั่งดื่มหมดหนึ่งไห ตี๋เหว่ยไท่กลับมายังเรือนตน ย้อนนึกถึงเรื่องในวันนี้ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์

โบราณว่าไว้ ยึดหลักการไม่อะลุ่มอล่วย

แม้ครั้งนี้เซียวจิ่นข่านจะไร้เหตุผลจริงๆ แต่ตัวเขาเองกลับจำต้องผ่อนยอมให้ได้!

เมื่อเขามาถึงขั้นนี้แล้วก็สมควรต้องมีทั้งหลักการและต้องอะลุ่มอล่วยจึงจะถูก

ไม่ว่าเรื่องใดๆ ล้วนเพราะจุดเล็กทำให้เผยจุดใหญ่ กลยุทธ์ที่ตี๋เหว่ยไท่ใช้ตลอดมาก็คือการเก็บเนื้อเก็บตัว

เรื่องที่เกิดในยามนี้อธิบายแจ่มชัดว่า จิตใจเขายังหนักแน่นไม่พอ

แม้แตงกวาจะเป็นของที่ตนรักหนักหนา แต่ว่ากันตามตรงแล้วจะมากขึ้นบ้าง จะน้อยลงบ้าง ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร

ซ้ำแล้ว เซียวจิ่นข่านยังเป็นคนตาบอดผู้หนึ่ง

แต่เมื่อเขาคิดถึงตรงนี้ กลับรู้สึกขึ้นมาอีกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ

เซียวจิ่นข่านเป็นคนตาบอดจึงไม่มีทางปลูกแตงกวาเองได้ เรื่องนี้พอฟังขึ้น

แต่คนตาบอดเช่นเขาก็ไม่ใช่พวกขอทานตาบอดทั่วไปที่ขายความน่าเวทนาอยู่บนท้องถนน

ดวงตาในใจเขา กลับมองได้ชัดแจ้งยิ่งกว่าดวงตาจริงๆ ของตี๋เหว่ยไท่เสียอีก!

หนำซ้ำเซียวจิ่นข่านสามารถมาขโมยแตงกวาจากที่ดินของเขาไปได้ เช่นนั้นก็ต้องสามารถ ปลูกแตงกวาของตนได้ด้วย!

พอตระหนักได้ดังนั้น จึงเพิ่งรู้ว่าตนตกหลุมพรางเข้าให้เสียแล้ว!

ยามนี้แตงกวาไม่เหลือแล้ว ตนยังมาสำนึกเสียใจไปเปล่าๆ อยู่ตั้งครึ่งค่อนวัน

สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงของที่เรียกว่า “สุราแตงกวา” ที่ไม่ได้รสชาติดีอะไรไหหนึ่งเท่านั้น

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ยามมองเซียวจิ่นข่านในอาการขี้เหนียวที่อยู่ตรงหน้าตน ตี๋เหว่ยไท่พลันโมโหขึ้นมา แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงยกสุราไหเล็กไหหนึ่งออกมาจากห้องของตน ดื่มเองรินเอง

ที่แท้ในห้องเขานั้นมีสุรา เพียงไม่เอาออกมาให้คนเห็นง่ายๆ ก็เท่านั้น

“สำราญลำพังมิสู้สำราญเป็นหมู่!”

เซียวจิ่นข่านยื่นจอกออกมาพลางเอ่ย

ตี๋เหว่ยไท่กลับวางท่าไม่ไยดี ยังคงดื่มเองรินเองต่อไป

“ในห้องนี้มีเพียงเจ้าข้าสองคน จะมี ‘หมู่’ จากที่ใด”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

ธรรมเนียมแต่โบราณ สองคนเป็นคู่ สามคนเป็นหมู่ ยามนี้มีเพียงพวกเขาสองคน นับไม่ได้ว่าเป็นหมู่อย่างแน่แท้

“เจ้าและข้าสองคนล้วนเป็นผู้ที่คำนึงถึงใต้หล้า ผู้คนในใต้หล้าใช่จะมีแค่ร้อยล้าน ลำพังแค่หอทรงปัญญาของเจ้าแห่งเดียวก็มีไม่น้อยกว่าหลายพันแล้ว จะไม่ใช่ ‘หมู่’ ได้อย่างไร”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

ตี๋เหว่ยไท่คิดไม่ถึงว่าเซียวจิ่นข่านผู้นี้ถึงกับอาศัยคนหมู่มากทั้งใต้หล้าและจิตใจรักแผ่นดินมาข่มเขา

เวลานี้ กลับกลายเป็นเขาที่ขี่หลังเสือยากลงมาเสียแล้ว

หากให้เขาดื่ม ก็มีอันต้องตกเป็นเบี้ยล่าง

แต่หากไม่ให้เขาดื่ม ตนก็จะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว

ด้วยจนใจ ตี๋เหว่ยไท่จึงผลักไหสุราออกไป แต่ก็แสดงอาการไม่พอใจให้เห็นอย่างชัดเจน

เซียวจิ่นข่านรินให้ตนเองจอกหนึ่งพลางยิ้มชอบใจ ซ้ำยังหน้าด้านหน้าทนคิดจะดื่มจนหมดจอกกับตี๋เหว่ยไท่ แน่นอนว่าเขาต้องถูกปฏิเสธ

ทว่าเซียวจิ่นข่านหาได้สนใจ ยังคงดื่มจนหมดอย่างสำราญใจ

เมื่อวางจอกลงบนโต๊ะแล้ว ยังยกข้าขึ้นไขว่ห้าง ฮัมเพลง สุขอุรายิ่งนัก!

………………..

“จะว่าไปแล้ว เจ้าสองคนรู้วิธีใส่กรอบภาพหรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

จิ่วซานปั้นไม่มีทางไม่รู้

แม้แต่หนังสือที่เขาอ่าน กว่าครึ่งล้วนใช้มือคัดสำเนาออกมา

เพียงเอาแบ่งใส่มือ อย่างมากก็ให้ย่าของเขาใช้เข็มด้ายที่เอาไว้เย็บพื้นรองเท้ามาเย็บที่ช่องว่างตรงขอบสักสองเข็มก็นับว่าเย็บเล่มแล้ว

หากเป็นเรื่องเย็บหนังสือ ทังจงซงกลับคุ้นเคยยิ่ง

เพราะครั้งอยู่ในรัฐติง เขาทำงานอยู่เบื้องหลังโรงเรืองขวัญที่มีขนาดใหญ่แห่งหนึ่งอย่างลับๆ

‘มหัพภาคติ้งซี’ ที่โรงเรืองขวัญพิมพ์อยู่ทุกปีนั้น ไม่ใช่ว่าต้องมีการเย็บเล่มหลังพิมพ์ออกมาหรอกหรือ

ดังนั้นเขาย่อมต้องรู้วิธี

แต่หากเอ่ยถึงการใส่กรอบภาพ ทังจงซงกลับเป็นคนนอกวงการที่แท้จริง

นั่นเพราะเรื่องการใส่กรอบภาพจะใช้กับพวกภาพอักษรและภาพวาดมากกว่า

เขายังไม่มีเวลาว่างมากมายไปสนใจเรื่องผู้ดีพรรค์นั้น

หากมีเวลาดังว่า คงไปดื่มสุราเคล้านารีแล้ว

………………………………………

[1] รอบตัวตะลึงคำ หมายถึง สามารถพูดจนผู้คนที่นั่งอยู่โดยรอบต้องตกตะลึง

[2] เบิกเนตรมังกรผยอง อุปมาว่าในการพูดหรือเขียนบทความ สามารถใช้คำเพียงไม่กี่คำก็ทำให้มีความหมายที่ชัดเจนเยี่ยมยอดได้

[3] เท้าติดผืนดิน หัวค้ำท้องฟ้า หมายถึง ดำเนินชีวิตอยู่ในโลก (ที่อยู่ระหว่างฟ้าและดิน) ซึ่งหมายถึงสังคมโลกด้วย

[4] แยกแยะห้าธัญพืชไม่ออก ร่างกายทั้งสี่ส่วนไม่ขยับ หมายถึง ผู้ที่ขาดความรู้รอบตัว ไม่เข้าใจหลักการพื้นฐานของสังคม สายตาไม่กว้างไกล

[5] ซีอิ๊วถั่วแรกฤดูใบไม้ร่วง ว่ากันว่าทำจากถั่วที่ออกเป็นครั้งแรกในฤดูใบไม้ร่วง ถือเป็นซีอิ๊วชั้นดี

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน