ตอนที่ 217 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ
ในลานบ้าน
เด็กหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิบนพื้นพลันขมวดคิ้วขึ้น เปล่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
ใบหน้าที่เดิมทีเรียบนิ่งพลันเหยเกยขึ้นมา
หน้าผากเขามีเหงื่อซึมออกมาเต็มไปหมด เขาเหนื่อยล้าถึงที่สุด เอนตัวไปข้างหลัง พิงกลางหยกนุ่มหอม
เผยฝานนั่งตัวตรง เงยหน้าขึ้นมองยันต์บนฟ้าแตกกระจาย
กระดองเต่าบนฟ้าจวนนั้นส่งเสียงดังวิ้ง
นางประคองบ่าหนิงอี้ไว้ ดวงตาเพ่งมองค่ายกลเขาศิลาเต่าบนฟ้าจวนกดลงมาช้าๆ แต่กลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
ชุดคลุมดำของหนิงอี้เกิดไอชั่วร้ายสีดำขึ้น
การกำจัดกลิ่นอายมรณะ ขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งก้านธูป…นางจะยื้อได้ถึงหนึ่งชั่วยามหรือไม่
เผยฝานริมฝีปากแห้งแตกเล็กน้อย นางปรายตามองไปที่สันกำแพง ใบครามของต้นครามหมื่นปีกระถางนั้น ใบตกลง โคลงเคลง ค่ายกลที่กดบนฟ้าจวนเหมือนจะแปลกไปเล็กน้อย ไม่ใช่แค่กดลงอย่างรุนแรง แม้แต่อุณหภูมิรอบข้างยังสูงขึ้นด้วย
เผยฝานเม้มริมฝีปาก นางคิ้วขมวดเข้าหากัน กำลังคิดว่าความร้อนนี้มาจากที่ใด…นี่คือค่ายกลของเขาศิลาเต่าหรือ
“เขาจะมาแล้ว”
ดวงจิตของผู้อาวุโสฉู่เซียวยังเหลือเศษเสี้ยวอยู่ นางเปล่งเสียงดังขึ้นในความคิดเด็กสาว
“เขาหรือ”
เผยฝานพูดงึมงำ “เขา…เขาคือใครกัน”
เจ้าภูเขาม่วงไม่ตอบคำถามนี้ตรงๆ แต่หัวเราะเสียงเบา “ยังจำที่ข้าบอกกับเจ้าได้หรือไม่”
“เจ้ามีตัวตนที่สามได้ ตัวตนที่จะทำให้เจ้าออกไปดู ไปเที่ยวเล่น เจอเรื่องลำบากอะไร ขอแค่เอ่ยนามสำนักก็จะแก้ไขปัญหาได้”
ฉู่เซียวเอ่ยสบายๆ “จำนามของข้าไว้ จะมีประโยชน์มาก”
เพิ่งเอ่ยจบ กระดองเต่าที่ลอยอยู่บนฟ้าจวนพลันสั่นไหวพริบตาหนึ่ง
เด็กสาวเงยหน้าขึ้น ก็เข้าใจแจ่มแจ้งโดยพลัน
……
หมอกของหอยอดวิสุทธิ์เกิดคลื่นลมขึ้น
“คุณชายซูมู่ไม่อยากเล่นหมากแล้วรึ”
อวิ๋นสวินนั่งบนม้านั่งหิน เขามองผู้แข็งแกร่งราชันดาราหอยอดวิสุทธิ์ที่หลับตาพักผ่อนอยู่พลางเอ่ยเสียงเบาและเนิบนาบ “ความจริงก็อีกไม่นานหรอก คุณชายพักผ่อนเถอะ เรื่องทางจวนเจ้าลัทธิน่าจะจบในอีกไม่ช้าแล้ว”
ซูมู่เลิกคิ้วขึ้น เขารู้สึกไม่ได้ถึงพลังของโลกภายนอก และไม่รู้ด้วยว่าจวนหนิงอี้ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น
“แค่ผู้บำเพ็ญแห่งเขาศิลาเต่ารึ” ซูมู่สูดลมหายใจเบาๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ มองเจ้ากรมข่าวกรองใหญ่พลางเอ่ยทีละคำ “หลิงสวินเป็นกายวิญญาณอมตะที่หาได้ยากแห่งแดนบูรพา แต่ก็ออกจากเขามาเร็วเกินไป ยังไม่ได้สืบทอดวิชาลับเขาศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้มีกรมข่าวกรองหนุนหลังก็อาจจะทำอะไรไม่ได้มาก”
อวิ๋นสวินถอนหายใจก่อนจะส่ายหน้า
“กรมข่าวกรองไม่ได้หนุนหลังหลิงสวิน ศึกของเขาศักดิ์สิทธิ์ บุญคุณความแค้นส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับสามกรมข้า” ใบหน้าหล่อเหลาของอวิ๋นสวินเต็มไปด้วยความเรียบนิ่งและเฉยชา เขาเอ่ยเนิบนาบ “ข้าไม่สนใจผลการต่อสู้ครั้งนี้หรอก และไม่สนใจด้วยว่าแดนบูรพาจะได้ของที่อยากได้กลับไปหรือไม่”
อวิ๋นสวินมีพลังบำเพ็ญเหนือกว่าซูมู่ขั้นหนึ่ง
เขาปิดด้านหลังของหอยอดวิสุทธิ์ จิตของตนออกไปได้สบาย
“ความจริงข้าไม่เข้าใจมาตลอดว่าเหตุใดหอบัวถึงจัดหนิงอี้แห่งเขาสู่ซานไปอยู่อันดับหนึ่งรายนามดารา” เจ้ากรมข่าวกรองใหญ่หนุ่มรูปหล่อถามเสียงเบา “ข้าไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย ก็เหมือนที่ว่าเหตุใดคุณชายเฉินอี้ถึงชื่นชมหนิงอี้ ข้าว่าความจริงนี่มันไร้สาระมาก…ข้าอ่านเรื่องเกี่ยวกับหนิงอี้มาไม่ต่ำกว่ายี่สิบครั้ง เขาเป็นอัจฉริยะจริงๆ แต่ข้ามองไม่ออก…ว่าเหตุใดเขาถึงได้เป็นอันดับหนึ่งรายนามดารา”
ซูมู่มองอวิ๋นสวินก่อนยิ้มอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ากำลังถามข้าอยู่รึ”
“ใช่”
อวิ๋นสวินพยักหน้า เขาเป็นคนสั่งปิดหอยอดวิสุทธิ์ แต่กลับไม่มีสีหน้าผิดแปลกใดๆ เลย เหมือนกับพูดคุยเล่นกับสหายเก่าที่สนิทสนม เขาถามอย่างจริงใจ “ลั่วฉางเซิงเป็นเซียนจุติได้สมศักดิ์ศรี ต่อให้เขาออกจากสิบขอบเขต ก็ยังมีคนอื่นอีก…เช่นศิษย์เอกของฝูเหยาแห่งเขาลั่วเจีย หรือไม่ก็ผู้บำเพ็ญพเนจรคนนั้นแห่งแดนอุดร”
ซูมู่ซ่อนสิบนิ้วสองมือไว้ในชุดคลุม เขาทำมุทรามือลับๆ และเชื่องช้า เงียบเชียบไร้เสียง
“คุณชายหยวนฉุนแห่งหอบัวยอมรับและชื่นชมคนคนหนึ่ง จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยรึ” ซูมู่มองอวิ๋นสวินก่อนจะพูดอย่างเฉยเมย “ตอนที่เจ้าเพิ่งมาถึงกรมข่าวกรอง คุณชายหยวนฉุนถูกใจเจ้า ดันตำแหน่งเจ้าขึ้นไป มีเหตุผลหรือไม่ สวีจั้งเมื่อสิบปีก่อนเพิ่งออกจากเขาสู่ซาน ทุกคนเห็นกันหมด มีเพียงคุณชายหยวนฉุนที่บอกว่าเขามีท่วงท่าแห่ง ‘ปราณกระบี่นิรันดร์’ มีเหตุผลหรือไม่”
อวิ๋นสวินหัวเราะเสียงเบา
เจ้ากรมข่าวกรองใหญ่หนุ่มคนนี้พูดเสียงเบาและทุกข์ใจ “นี่ล่ะปัญหา…คุณชายหยวนฉุนยอมรับข้า ข้าก็ยอมรับตัวข้าเองเช่นกัน คุณชายหยวนฉุนยอมรับสวีจั้ง ข้าเองก็ยอมรับเขา บุรุษแห่งเขาสู่ซานคนนั้นมีเจตนารมณ์ที่ไม่มีวันยอมแพ้อยู่ในสายเลือด”
“แต่ข้าไม่ยอมรับหนิงอี้ ข้าไม่เห็นอะไรที่น่าชมเชยจากในตัวเขาเลย” อวิ๋นสวินเอ่ยเรียบๆ “เดิมทีเป็นเพียงจอกแหนลอยมาเจอกัน ข้ากับหนิงอี้ยังไม่เคยพบกัน ถึงจะไม่เรียกว่าชมเชย แต่ก็ไม่ถึงกับน่ารังเกียจ ทว่า…ลูกน้องที่ข้าชื่นชมมากที่สุด กลับตายลงในหอยอดวิสุทธิ์อย่างเงียบเชียบเพราะการตรวจสอบเขา”
ซูมู่หรี่ตาลง
“เสิ่นหลิง กู้เชียน สวีจิ่น…พวกเขาเป็นคนหนุ่มสามคนที่ข้าชื่นชมมากที่สุด กรมข่าวกรองเมืองหลวงในอนาคตจะเป็นเวทีที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขา” อวิ๋นสวินมองซูมู่ด้วยรอยยิ้ม “คุณชายคงไม่เคยได้ยินชื่อสามคนนี้มาก่อนสินะ”
แววตาซูมู่สับสนเล็กน้อย
เขารู้จักเสิ่นหลิง คนหนุ่มผู้หยิ่งทระนงของกรมข่าวกรอง นั่งตำแหน่งเจ้ากรมน้อย อวิ๋นสวินดู ‘หนุ่มมาก’ แต่อายุจริงเลยหน้าตาไปไกล ได้ยินว่าตั้งใจจะให้เสิ่นหลิงรับช่วงต่อ
นี่อธิบายเรื่องราวได้หลายอย่าง
ส่วนกู้เชียนกับสวีจิ่น…
ซูมู่พยายามนึกถึงอีกสองนาม คิดอยู่นานก็คิดไม่ออก
“ผู้บำเพ็ญทุกคนของกรมข่าวกรอง เว้นแต่ตำแหน่งเจ้ากรมน้อยที่ต้องยืนในแสงสว่างแล้ว คนอื่นจะซ่อนในเงามืด ข่าวกรองของพวกเขา นอกจากข้าแล้ว ก็มีเพียงผู้บัญชาที่ขึ้นตรงเท่านั้นที่จะรู้”
อวิ๋นสวินเอ่ยอย่างเฉยชา “เอกสารของกู้เชียนกับสวีจิ่นถูกเสิ่นหลิงทำลาย ป้ายชีวิตของสามคนแตกหมด”
พลันเกิดแสงสว่างวาบขึ้นในความคิดซูมู่ เขาจ้องอวิ๋นสวินก่อนถามอย่างจริงจัง “ข้าจำได้แล้ว…เป็นผู้บำเพ็ญสองคนนั่นที่คิดจะลอบเข้ามาขโมยเอกสารในหอยอดวิสุทธิ์”
อวิ๋นสวินเอ่ยนิ่งๆ “ใช่”
ซูมู่พูดขึ้น “คิดจะขโมยเอกสารส่งเข้าวัง มีโทษถึงตาย”
อวิ๋นสวินพูดนิ่งๆ อีกครั้ง “ใช่”
“แต่ว่ามือสังหารเป็นใคร” เจ้ากรมข่าวกรองใหญ่เอ่ยอย่างเฉยชา “ข้าเห็นแค่ศพสองคน แล้วอีกคนล่ะ”
ซูมู่ก้มหน้าลง ส่ายหน้า
“ตอนยกศพออกจากหอยอดวิสุทธิ์ ใบหน้าเสียโฉมไปแล้ว แยกไม่ออก ข้าไม่รู้ว่ามือสังหารเป็นใคร…พวกเขาตายในหอยอดวิสุทธิ์ ตอนถูกคนพบก็ฟ้าสางแล้ว”
ซูมู่พูดอย่างยากลำบาก “หากข้าบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหอยอดวิสุทธิ์ เจ้าจะเชื่อหรือไม่”
อวิ๋นสวินมีใบหน้าไร้ความรู้สึก
สีหน้าเขาอธิบายทุกอย่างแล้ว
ไม่เชื่อเลย
“เหตุผลนี้มันฟังไม่ขึ้น” อวิ๋นสวินพ่นลมหายใจ ก่อนจะพูดเสียงเบา “ข้าพูดเรื่องพวกนี้ก็แค่จะบอกเจ้าว่า วันนี้ข้าติดค้างน้ำใจคนอื่น มาหอยอดวิสุทธิ์ ยืมเวลาเจ้าหนึ่งชั่วยาม ต่อให้ไม่ติดค้างน้ำใจตรงนี้…ข้าก็ต้องมา”
เจ้ากรมข่าวกรองใหญ่หนุ่มยืนขึ้นช้าๆ
ซูมู่หน้าเย็นชาลง เขาลุกขึ้นเช่นกัน ก่อนกัดฟันพูด “อวิ๋นสวิน เจ้าจะทำอะไร”
“เปล่า แค่จะอ่านเอกสารสักหน่อย” อวิ๋นสวินเอ่ยนิ่งๆ “เอกสารที่ส่งเข้าวัง หอยอดวิสุทธิ์จะเก็บสำเนาไว้ตลอด ข้าเป็นเจ้ากรมข่าวกรองใหญ่ มีสิทธิ์ที่จะสงสัยความจริงของข่าวกรอง…ข้าสนใจในตัวตนของหนิงอี้แห่งเขาสู่ซาน เลยอยากจะสืบดูสักหน่อย”
ซูมู่พลันเคลื่อนย้ายพริบตา มาขวางหน้าอวิ๋นสวิน
“นี่ไม่ถูกต้องตามกฎ” ซูมู่พูดด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม “อวิ๋นสวิน เจ้าเป็นผู้นำสูงสุดของสามกรมต้าสุย น่าจะรู้ว่าหากฝ่าฝืนกฎ…จะมีการลงโทษแบบใดรอเจ้าอยู่”
อวิ๋นสวินทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาเดินหน้าต่อไป ตอนที่ตัวชนกับซูมู่ก็กลายเป็นเมฆหมอก หลังก้าวออกมาก็รวมเป็นร่างคนขึ้นใหม่
เจ้ากรมข่าวกรองใหญ่หนุ่มเดินออกจากพื้นที่กระดานหมาก หลังหอเงียบสงบและเย็นสบาย
หน้าวิหารใหญ่ของหอยอดวิสุทธิ์ ต้องเดินผ่านเส้นทางเล็ก
เขาเดินหน้าไปนิ่งๆ ผ่านป่าสูง หมอกกระจาย
ม้านั่งหินสี่เหลี่ยม
สามร่างเงาคน
เจ้ากรมข่าวกรองใหญ่เลิกคิ้วขึ้น หยุดเดินหน้า
สามร่างเงา คนหนึ่งเปลือยกายครึ่งบน เผยหน้าอก โซ่เหล็กหนักพันหลายรอบ ตรงแขนสักมังกรสีดำดุร้าย เครื่องหน้าน่ากลัว ตอนนี้เหมือนภูเขาเล็กนั่งยองทางซ้ายของม้านั่งหิน
หญิงอีกคนสวมชุดคลุมยาวสีดำ สวมงอบสีดำ ผ้าบางตกลงมา ตรงเอวซ่อนฝักกระบี่ยาวไว้ เงียบสงบไร้เสียงดุจเงามืด ยืนอยู่ทางขวาของม้านั่งหิน
อวิ๋นสวินเอ่ยพึมพำ “เจ้ากรมปราบปีศาจใหญ่ ขู่เช่อ หลงหวง…”
ชายหญิงทางซ้ายและขวาของม้านั่งหินคือเจ้ากรมปราบปีศาจใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสองใต้ฟ้า ต่อสู้อยู่ที่โลกเทาแดนอุดรมาหลายปี
ไม่อยากเชื่อว่าจะกลับมาจากแดนอุดรแล้วหรือ
บุรุษกำยำหน้าตาน่ากลัวแสยะมุมปาก คลึงแก้ม ยิ้มซื่อๆ “เหอะๆ เสี่ยวอวิ๋นอวิ๋น ข้ากับอาจารย์กลับมาแล้ว คิดถึงข้าหรือไม่”
อวิ๋นสวินมองข้ามบุรุษหยาบกระด้างคนนี้ไป
เขามองไปที่ร่างเงานั้นบนม้านั่งหินก่อนโค้งตัวแสดงความเคารพ แล้วพูดเสียงเบา “ศิษย์ขอคารวะอาจารย์”
คนที่ให้เจ้ากรมปราบปีศาจใหญ่สองคนยืนอยู่ข้างกายด้วยความเคารพ และยังให้อวิ๋นสวินเรียก ‘อาจารย์’ ได้ ในใต้ฟ้าต้าสุยมีเพียงคนเดียว
หยวนฉุนแห่งหอบัว
“อวิ๋นสวิน”
คนชราบนม้านั่งหิน เครื่องหน้าแทบจะเหมือนกับท่านนั้นที่อยู่ในหอบัวมาตลอด เพียงแต่รายละเอียดของเนื้อหนังมีความต่างไปเล็กน้อย เหมือนว่าผ่านพายุฝนและหิมะในแดนเหนือมานาน มีความดำกร้านและผ่านโลกมาอย่างชัดเจน
ตรงระหว่างคิ้วคุณชายหยวนฉุนท่านนี้มีดอกบัวสีม่วงดอกหนึ่ง
คนชราพูดเสียงเบา “เรื่องนี้ ให้มันจบลงตรงนี้เถอะ”
………………………..