ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 172 ข้าเป็นพยานเอง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 172 ข้าเป็นพยานเอง

เด็กสาวเอามือข้างหนึ่งเท้าคาง สีหน้าดูไม่แยแสและเย่อหยิ่ง

จู่ๆ เว่ยเชียงก็ค้นพบว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสตรีสูงศักดิ์ที่เย่อหยิ่งและแข็งกระด้างเกินไป สถานะอันสูงส่งที่เขาภูมิใจมาโดยตลอดเหมือนกับว่าจะไม่มีผลอะไรต่อนางเลย

บิดาของคุณหนูลั่วคือแม่ทัพใหญ่อันดับต้นๆ ที่ดูแลองครักษ์จิ่นหลิน เป็นขุนนางใกล้ชิดโอรสสวรรค์ เขาจะไปเจรจากับแม่ทัพใหญ่ลั่วเพียงเพราะคุณหนูลั่วปฏิเสธการช่วยเหลือเขาไม่ได้

แต่ในจวนผิงหนานอ๋อง เขาพูดว่าจะไปเชิญคุณหนูลั่วด้วยตนเอง จะกลับไปมือเปล่าก็คงไม่ดี

“คุณหนูลั่ว กำไลทองฝังอัญมณีเจ็ดสีอีกวงหนึ่งอยู่ที่นางสนมของข้า ข้าไม่สามารถให้เจ้าได้จริงๆ” เว่ยเชียงแสดงท่าทางจริงใจ

ลั่วเซิงยิ้ม “องค์ชายเข้าใจผิดไปเรื่องหนึ่งเพคะ”

นางอายุเท่ากับเว่ยเชียง

ตายไปเมื่ออายุสิบเจ็ดปี ลืมตาอีกครั้งผ่านไปแล้วสิบสองปี

เว่ยเชียงมีชีวิตอยู่มากกว่านางสิบสองปี เหตุใดจึงเหมือนมีชีวิตอยู่อย่างเสียเปล่ากันนะ

โง่เขลาแล้วยังไม่รู้ตัวอีก

“เรื่องอะไรหรือ” เว่ยเชียงมองเด็กสาวยิ้มน้อยๆ ก็รู้สึกว่าคงไม่ได้ยินคำพูดอะไรดีๆ แน่

ลั่วเซิงผายมือออก “หม่อมฉันไม่ได้จะแย่งกำไลของสนมพระองค์นะเพคะ แต่พระองค์ขอร้องให้หม่อมฉันช่วยเหลือ หากทรงไปเชิญหมอเทวดาด้วยตนเอง หมอเทวดาชอบกำไลทองฝังอัญมณีเจ็ดสีวงนี้ พระองค์ก็จะไม่ให้หรือเพคะ”

ทั้งครอบครัวของชายคนนี้ชินกับการใช้กำลังบีบบังคับไปแล้ว สงสัยคงไม่รู้ว่าการแลกเปลี่ยนคือสิ่งใด

สำหรับครอบครัวผิงหนานอ๋องแล้ว การแลกเปลี่ยนคงเป็นการเฉือนเนื้อหัวใจของพวกเขาสินะ

เว่ยเชียงจุกจนพูดไม่ออก

หญิงสาวที่นั่งตรงข้ามเบิกตาโต เผยสีหน้าเหลือเชื่อ “องค์ชายจะไม่ให้จริงๆ หรือเพคะ เห็นทีในพระทัยของพระองค์ ผิงหนานอ๋องคงไม่สำคัญเท่านางสนมกระมัง”

โต้วเหรินที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ ตกใจ อดตำหนิออกมาไม่ได้ว่า “บังอาจ กล้าดีอย่างไรมาหยาบคายต่อฝ่าบาทเช่นนี้!”

หงโต้วได้ยินดังนั้นก็โมโห เอามือเท้าเอวด่ากลับไปว่า “เจ้าน่ะสิบังอาจ กล้าดีนัก! คุณหนูของเราคุยกับองค์รัชทายาท ขันทีเช่นเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดแทรก ไม่มีมารยาทแล้วยังแส่ไม่เข้าเรื่อง!”

โต้วเหรินโกรธจนมือสั่น ชี้หน้าด่าหงโต้ว “เจ้า เจ้านังสารเลว…”

“ใครกันที่สารเลว” หงโต้วเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว มือแทบจะชี้โดนปลายจมูกของโต้วเหริน “คนสารเลวก็คือคนไม่รู้จักมารยาทแล้วยังกล้าโวยวายเสียงดังต่อหน้าคุณหนูของเรา เชอะ ไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตนเองหน่อยเลย”

“เจ้าพูดอีกทีสิ!” โต้วเหรินเป็นคนฉลาด แต่เขายังไม่เคยเจอสาวใช้ดุร้ายเช่นนี้มาก่อน ชั่วขณะหนึ่งพลันสูญเสียความเฉลียวฉลาดไป

หงโต้วกลอกตา “คนสารเลว คนสารเลว คนสารเลว…”

โค่วเอ๋อร์รีบเข้ามาคลายสถานการณ์ “พอแล้ว เจ้าจะถือสาเอาความอะไรกับคนสารเลวไม่รู้กาลเทศะเล่า ไม่ใช่จะทำให้คุณหนูของเราลำบากใจเอาหรือ”

เมื่อเห็นโค่วเอ๋อร์ดึงหงโต้วออกไป โต้วเหรินก็หน้าเขียวไปหมด

นี่มันเรียกว่าคลายสถานการณ์หรือ นี่มันซ้ำเติมกันชัดๆ!

“คุณหนูลั่ว ท่านสั่งสอนสาวใช้เช่นนี้หรือ” โต้วเหรินตำหนิเสียงสูง

ลั่วเซิงเหลือบมองขันทีหน้าขาวอย่างเกียจคร้าน ถามเว่ยเชียงกลับว่า “องค์ชายพาขันทีเช่นนี้ออกมาหรือเพคะ”

เว่ยเชียงกำลังโกรธไม่มีที่ระบายอยู่พอดี เขาถลึงตาใส่โต้วเหริน “ถอยออกไป”

โต้วเหรินไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาถอยออกไปบริเวณหนึ่งเงียบๆ

เว่ยเชียงสงบอารมณ์ลง ฝืนยิ้มพูดว่า “คุณหนูลั่วล้อเล่นแล้ว สนมคนหนึ่งจะเทียบกับเสด็จอาของข้าได้อย่างไรกัน”

หากเรื่องแบบนี้แพร่ออกไป คงไม่เป็นประโยชน์ต่อเขาแม้แต่น้อย

ลั่วเซิงยิ้ม “ในเมื่อเช่นนี้ เหตุใดองค์ชายจึงไม่อาจหักใจสละกำไลวงหนึ่งเล่าเพคะ”

เว่ยเชียงจำเป็นต้องข่มอารมณ์โมโหอธิบายว่า “กำไลวงนั้นมีความเป็นมา ข้าไม่สามารถให้เจ้าได้จริงๆ คุณหนูลั่ว นอกจากกำไลนั่นแล้ว เจ้าจะเสนอข้อแลกเปลี่ยนอะไรก็ได้ ตราบใดที่อยู่ในขอบเขตที่ข้าทำให้ได้”

สัญญาของผู้สืบบัลลังก์คนหนึ่งยังสู้กำไลวงหนึ่งไม่ได้หรือ

นาทีนี้ เว่ยเชียงเกิดคำถามขึ้นในใจเมื่อเห็นเด็กสาวที่อยู่ตรงข้ามขมวดคิ้วครุ่นคิด

“อะไรก็ได้หรือเพคะ” ลั่วเซิงคลายคิ้วที่ขมวดกันเป็นปมออกราวกับคิดได้แล้ว

เว่ยเชียงโล่งอก รอยยิ้มดูจริงใจขึ้น “เชิญคุณหนูลั่วเสนอ”

“แต่หม่อมฉันไม่ขาดแคลนสิ่งใดเลย ตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกว่าต้องการอะไร”

เว่ยหานก้าวเท้าเข้ามาในหอสุราและได้ยินคำนี้เข้าพอดี

คำพูดนี้ฟังดูคุ้นหูอยู่บ้าง

เขามองไป เห็นรัชทายาทนั่งที่ประจำของเขา ส่วนคุณหนูลั่วนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

ระหว่างทั้งสองมีกาน้ำชาสีขาวใบหนึ่งและจอกชาอีกสองใบ

เว่ยหานเดินเข้าไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

เสียงของหงโต้วดังขึ้นตามมา “ท่านอ๋อง วันนี้มาเช้าจังเลยเจ้าค่ะ”

เว่ยเชียงหันไปมอง เมื่อเห็นเว่ยหานเดินมาก็ตกใจรีบลุกขึ้น “เสด็จอามาดื่มสุราหรือ”

เว่ยหานมองเขาแล้วย้อนถามว่า “ที่นี่ไม่ใช่หอสุราหรือ”

ไม่มาดื่มสุราแล้วให้มาคุยเล่นกับแม่นางน้อยหรืออย่างไร

“แค่คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอเสด็จอาที่นี่”

“ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน” เว่ยหานน้ำเสียงราบเรียบ “รัชทายาทก็คงมาดื่มสุราสินะ”

เว่ยเชียงชะงัก จากนั้นก็พยักหน้า “ได้ยินมาว่าอาหารของหอสุรานี้รสชาติดีมาก ข้าเลยมาลองชิม เอ่อ เสด็จอาดื่มด้วยกันหรือไม่”

“ด้วยกัน?” ใบหน้าของเว่ยหานไม่แสดงอารมณ์ใด

เว่ยเชียงยิ้มพูดว่า “นานๆ ทีจะได้เลี้ยงเสด็จอา เสด็จอาต้องไว้หน้าหลานนะพ่ะย่ะค่ะ”

เลี้ยง?

เว่ยหานค่อยๆ นั่งลงแล้วหันไปถามลั่วเซิง “ถึงเวลาเปิดแล้วหรือยัง”

“อีกหนึ่งเค่อเจ้าค่ะ แต่กับแกล้มเตรียมไว้เสร็จแล้ว สั่งอาหารได้เลยเจ้าค่ะ”

เว่ยหานพยักหน้าแล้วสั่งอาหารอย่างชำนาญ “ขาหมูตุ๋นสองที่ เนื้อตุ๋นสิบจาน เนื้อแช่วุ้นห้าจาน…”

ลั่วเซิงยิ้มตาหยี “วันนี้มีบะหมี่เย็นไก่ฉีกด้วยเจ้าค่ะ”

บะหมี่เย็น?

เว่ยหานเหลือบมองเว่ยเชียง พูดราบเรียบว่า “บะหมี่เย็นไม่ต้องแล้ว เอาไก่แช่น้ำมันมาสามที่”

กินบะหมี่ตัดกำลังเกินไป ไม่เหมาะกับการสั่งมากินในเวลาที่รัชทายาทจะเลี้ยง

เว่ยเชียงที่ไม่รู้ราคาอาหารยังคงรักษารอยยิ้มอันอ่อนโยนเอาไว้ แต่กลับตกตะลึงในใจ ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าไคหยางอ๋องกินเก่งขนาดนี้

“ไปยกมาเถอะ” ลั่วเซิงสั่งหงโต้วเสร็จก็พูดต่อจากเรื่องเมื่อครู่นี้ “เมื่อครู่นี้องค์ชายบอกว่าข้อแลกเปลี่ยนอะไรก็ได้แล้วแต่หม่อมฉันหรือเพคะ”

เว่ยเชียงอดมองเว่ยหานไม่ได้ เขาฝืนยิ้มพูดว่า “หากอยู่ในขอบเขตที่ข้าทำได้”

เว่ยหานยกจอกชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง สีหน้าหนักอึ้ง

เขาได้ยินไม่ผิด คำพูดนี้คุ้นหูมาก

เมื่อก่อนเขาก็เคยพูดเช่นนี้กับคุณหนูลั่ว

เว่ยหานบีบจอกชาในมือแน่น จู่ๆ ก็พบว่าลั่วเซิงและเว่ยเชียงมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด

เขารู้สึกสงสัยจึงเลิกคิ้วเล็กน้อย

เว่ยเชียงบอก “เสด็จอา จอกใบนั้นที่ท่านหยิบเป็นของคุณหนูลั่ว”

เว่ยหานก้มศีรษะลงอย่างแข็งทื่อ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงวางจอกชาลงด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

ลั่วเซิงหรี่ตามองชายที่พยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น คิดอย่างไม่มั่นใจนักว่า เจ้าคนนี้กำลังเอาเปรียบนางอยู่กระมัง

คนแซ่เว่ยไม่ใช่คนดีจริงๆ ด้วย

แน่นอนว่าคำพูดนี้จะเอ่ยกับเว่ยเชียงไม่ได้

เว่ยเชียงถูกนางจัดเป็นกลุ่มเดียวกับสัตว์เดรัจฉาน

ลั่วเซิงโค้งริมฝีปากและยิ้ม ไม่ใส่ใจความกระอักกระอ่วนนี้เลยแม้แต่น้อย “ท่านอ๋องมาเป็นพยานพอดี องค์รัชทายาทขอให้ข้าช่วยเชิญหมอเทวดา ข้ากำลังจะเสนอข้อแลกเปลี่ยน”

เว่ยเชียงมุมปากกระตุกอย่างแรง

นี่มันสตรีอะไรกัน ยื่นข้อแลกเปลี่ยนกับองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันแล้วยังให้คนมาเป็นพยานอีก

อีกอย่าง แม้ว่ามันจะขึ้นอยู่กับนางที่จะกำหนดเงื่อนไขใดๆ ก็จริง แต่นางจะวางมาดราวกับต้องการให้เขายกดินแดนชดใช้ค่าเสียหายทำไมกัน

เว่ยหานยิ้มน้อยๆ “ได้ ข้าเป็นพยานเอง”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท