ตอนที่ 329 ปกครองแผ่นดินร่วมกัน
กองทัพใต้เคลื่อนไหว!
ภารกิจคือแย่งเสบียงกลับคืนมา
อากาศที่หนาวเย็นเพียงนี้ การเดินทัพแย่งชิงเสบียงทำให้ทั้งกองทัพใต้มีความไม่พอใจอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ พวกเขาปราบปรามโจรกบฏอยู่ด้านนอกตลอดเวลา
เพิ่งกลับมาพักผ่อนในเมืองหลวงไม่กี่วันก็ต้องออกไปแย่งชิงเสบียงกลับมาอีก
สิ่งสำคัญคือ รางวัลในการปราบปรามโจรกบฏก่อนหน้านี้ยังไม่แจกจ่ายลงมา แม่ทัพก็เปลี่ยนคน ทั้งทหารและแม่ทัพต่างยังอยู่ในช่วงปรับตัว
หากออกทัพในเวลานี้ อากาศที่หนาวเย็นเพียงนี้ ไม่มีทางพอใจ
เพียงแต่ฮ่องเต้มีพระราชโองการ กองทัพใต้จำเป็นต้องมีการเคลื่อนไหว
โชคดีที่เคลื่อนไหวเพียงแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น
แผนการของราชสำนักคือทำสองอย่างพร้อมกัน
ในเวลาเดียวกันกับที่ส่งกองทัพใต้ไปแย่งชิงเสบียงกลับมา ทางสำนักเซ่าฝู่ก็เร่งรวบรวบเสบียง
สำนักเซ่าฝู่ไม่มีเสบียงที่เพียงพอ จึงต้องหาทางยืมเสบียงจากมือของตระกูลขุนนาง
ส่วนเสบียงที่ยืมนั้นจะคืนหรือไม่เป็นเรื่องของอนาคต
ยืมเสบียงจากมือของขุนนางอย่างไรจึงจะเป็นเรื่องสำคัญ
ตระกูลขุนนางล้วนตระหนี่ ย่อมไม่ยอมให้ยืมอย่างง่ายดาย
เมื่อพูดถึงเสบียง แต่ละคนล้วนเริ่มร้องทุกข์
น่าสงสารราวกับต้องกินผักที่ไร้รสชาติอยู่ทุกวัน
อย่างไร ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ก็อายุน้อย ประสบการณ์ไม่เพียงพอ รับมือกับคนเก่าแก่กลุ่มนี้ เรียกได้ว่าหมดหนทาง
พระพันปีเถาเดินเข้าตำหนักจินหลวน เข้าร่วมการประชุมในท้องพระโรงอีกครั้ง
นางมองผู้คนมากมายที่อยู่ด้านล่าง พลันพูดอย่างจริงจัง “ราชวงศ์อูเหิงมาอย่างดุเดือด บรรดาทหารต่างกำลังสู้รบกับศัตรูอย่างสุดความสามารถ หากโอกาสในการทำสงครามชะลอลงเพราะเสบียงไปไม่ทัน จนทำให้ราชวงศ์อูเหิงบุกเข้าด่านตรงมายังเมืองหลวงได้ แม้ตระกูลเซียวจะไม่มีจุดจบที่ดี แต่ทุกท่านก็จะรอดอย่างนั้นหรือ”
พระพันปีเถาพูดด้วยถ้อยคำและท่าทางที่จริงใจ
บรรดาขุนนางเงียบ
ไม่ใช่เพิกเฉย แต่ทุกคนต่างต้องการเวลาไตร่ตรอง
ราชวงศ์อูเหิงใกล้เข้ามาอย่างดุเดือด อากาศที่หนาวเช่นนี้ยังไม่ยอมถอยทัพ คิดจะหาโอกาสบุกรุกลงใต้อยู่ตลอดเวลา
กองกำลังต้าเว่ยเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดในทุกด่านที่สำคัญ
แนวสงครามกินพื้นที่ชายแดนไปกว่าหลายร้อยลี้
แนวสงครามที่ยาวเช่นนี้ ต้องเฝ้าระวังการเดินทัพลงใต้ของราชวงศ์อูเหิง จำนวนกองกำลังที่ต้องการจึงน่ากลัวอย่างมาก
นอกจากนี้แนวสงครามอาจยืดยาวได้ตลอดเวลา ยืดยาวไปกว่าพันลี้ก็เป็นไปได้
เมื่อถึงเวลานั้น หากไม่กระจายกองกำลังก็ต้องส่งกองกำลังจำนวนมากขึ้นมุ่งหน้าไปยังแนวหน้า
สถานการณ์ในเวลานี้คือราชสำนักไม่มีกำลังที่จะสนับสนุนกองกำลังที่มากขึ้นในแนวสงครามชายแดนอีกแล้ว
โจรกบฏกลุ่มนั้นอาละวาดไม่หยุด ยังต้องการกองกำลังส่วนหนึ่งในการเฝ้าระวัง
เสบียงไม่เพียงพอ มีความเป็นไปได้ที่จะพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
ต้องรู้ว่าตราบใดที่ราชวงศ์อูเหิงทะลุแนวป้องกันมา ระหว่างทางไม่มีกองทัพใดจะโจมตีราชวงศ์อูเหิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้นแนวป้องกันจึงสำคัญอย่างมาก
ไม่ว่าอย่างไร จะให้ราชวงศ์อูเหิงทะลุแนวป้องกันเข้ามาไม่ได้
เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ จำเป็นต้องขนส่งเสบียงและชุดนุ่นไปยังแนวป้องกันและถึงมือของทหารได้ทันเวลา
พระพันปีเถายกฎีกาสิบกว่าเล่มขึ้นมา “ฎีกาเหล่านี้ล้วนเป็นฎีกาที่แม่ทัพทั้งหลายเร่งขอเสบียง แต่ละเล่มล้วนใช้วาจาจริงใจ เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ของแนวหน้าไม่ดีนัก พวกท่านทั้งหลายอย่าได้ลังเลอีกเลย! เวลาวิกฤต ขอให้พวกท่านออกแรงปกป้องแผ่นดินนี้เอาไว้ ตระกูลเซียวปกครองแผ่นดินร่วมกันกับพวกท่านทุกท่าน
พวกท่านทั้งหลายรวมทั้งตระกูลที่อยู่เบื้องหลังของพวกท่านรุ่งเรืองมาหลายร้อยปี ล้วนให้ความสำคัญกับความบริสุทธิ์ พวกท่านจะทนดูคนต่างเผ่ามาปล้นฆ่าบนแผ่นดินที่งดงามนี้ได้จริงหรือ พวกท่านจะยอมเป็นสุนัขรับใช้ของคนต่างเผ่า ถูกคนต่างเผ่าเหยียดหยามจริงหรือ
หากพวกท่านไม่อาจยอมให้คนต่างเผ่าเหยียบย่ำทำลายแผ่นดินนี้ได้ พวกท่านทั้งหลาย ขอให้พวกท่านออกแรง เวลานี้ไม่ว่าแรงที่เล็กน้อยเพียงใดก็อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ปกป้องความงดงามของแผ่นดิน ปกป้องตระกูลของพวกท่านไม่ให้ล่มสลาย ปกป้องตำแหน่งหน้าที่ของพวกท่านให้คงอยู่ได้!”
ความจริงแล้ว สมัยนี้เดิมทีก็เป็นการปกครองแผ่นดินร่วมกันของราชวงศ์กับตระกูลขุนนาง
เพียงแต่ไม่มีคนกล้าทำลายกระดาษชั้นสุดท้ายนี้
คราวนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เชื้อพระวงศ์ อีกทั้งยังเป็นพระพันปีพูดคำว่า ‘ปกครองแผ่นดินร่วมกัน’ ออกมา
การเปิดเผยกฎเกณฑ์ดั้งเดิมที่ซ่อนอยู่อย่างชัดเจน ซึ่งหมายความว่าราชวงศ์ยอมรับอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ ‘ร่วมกันปกครองแผ่นดิน!’
สำหรับขุนนางราชวงศ์แล้ว มันเป็นสัญญาณและสัญลักษณ์!
ถูกต้องและเหมาะสม
‘การปกครองแผ่นดินร่วมกัน’ ที่ง่ายดาย พูดกับไม่พูดมีความแตกต่างกันอย่างมาก
ไม่พูดก็คือกฎที่ซ่อนเร้น
ตระกูลขุนนางปกครองราชสำนักไม่สมเหตุสมผลเพียงนั้น
เมื่อพูดแล้ว ตระกูลขุนนางปกครองราชสำนักก็ราวกับมีหลักเหตุผลในการสนับสนุน
มันคือความถูกต้องและเหมาะสม
ตระกูลขุนนางไม่ขาดแคลนเสบียง ไม่ขาดแคลนคน ไม่ขาดแคลนเงิน แต่ขาดแคลนความถูกต้องและเหมาะสม
ในเมื่อพระพันปีรับปากต่อหน้าให้ ‘ปกครองแผ่นดินร่วมกัน’ บรรดาขุนนางก็ต่างใจกว้าง ยอมแบกรับหน้าที่สำคัญอย่างการขนส่งเสบียงสู่แนวหน้า
พลังของตระกูลขุนนางน่ากลัวเสมอ
แม้จะไม่มีผลผลิตทั้งปีในปีหน้า เสบียงที่ตระกูลขุนนางขนส่งไปก็เพียงพอที่จะประคองต่อไปได้
นี่คือพลังของตระกูลขุนนาง ร่ำรวย!
ร่ำรวยจนเหลือกินเหลือใช้ ทำให้ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้กัดฟันกรอด
…
ลับหลัง พระพันปีเถาเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ “ไม่ต้องโกรธ! เวลานี้เรื่องสำคัญคือผ่านความยากลำบากตรงหน้าไปให้ได้”
เซียวเฉิงอี้พูดอย่างหนักแน่น “เสด็จแม่ไม่ควรสัญญา ปกครองแผ่นดินร่วมกันกับบรรดาขุนนาง แผ่นดินเป็นของตระกูลเซียว เรื่องนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง”
พระพันปีเถายิ้มเยาะ “ข้าไม่พูดว่าปกครองแผ่นดินร่วมกัน บรรดาขุนนางก็จะไม่ปกครองสำนักราชการท้องถิ่น ไม่ปกครองราชสำนักหรือ ข้าเพียงแค่พลิกสิ่งที่อยู่ใต้โต๊ะขึ้นมาไว้บนโต๊ะเท่านั้น”
“แม้จะพูดเช่นนี้ แต่คำพูดของเสด็จแม่ทรงมีความหมายไม่ธรรมดา แต่ก่อนพวกเขายังรู้จักอับอาย รู้จักซ่อนไว้ใต้โต๊ะ เพื่อไม่ให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่เมื่อมีคำสัญญาของเสด็จแม่ พวกเขาก็สามารถละทิ้งความอับอาย แทรกแซงราชสำนักอย่างเปิดเผย”
พระพันปีเถายิ้ม “บรรดาขุนนางเต็มไปด้วยเหตุผลเสมอมา เพียงแต่พวกเขาแค่ทำแต่ไม่พูด เวลานี้พวกเขาทั้งทำทั้งพูด มีแต่จะทำให้พวกเขาทิ้งความผิดเอาไว้”
“เหลวไหล!”
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้กัดฟันกรอด โมโหอย่างมาก!
พระพันปีเถาขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “เจ้าคิดว่าข้าทำไม่ถูก เหตุใดเจ้าจึงไม่เคยเอ่ยออกมาตอนหารือ”
“เวลานั้นเสด็จแม่ไม่ได้ทรงบอกว่าจะให้คำสัญญา ปกครองแผ่นดินร่วมกัน”
“ข้าสัญญาหรือไม่ ล้วนไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริง”
“แต่กลับทำให้เรื่องที่หลบซ่อนอยู่ใต้โต๊ะวางอยู่บนโต๊ะอย่างเปิดเผย ให้อำนาจที่มากขึ้นแก่ขุนนางที่ไร้ความเกรงกลัวเหล่านั้น บรรดาขุนนางยากที่จะควบคุมอยู่แล้ว พวกเขาบีบต้อนข้า หากเสด็จแม่ยอมเปิดปาก ขุนนางกลุ่มนั้นจะยิ่งควบคุมยาก สถานการณ์ของข้าจะยิ่งลำบาก ผลที่ตามมาเหล่านี้ เสด็จแม่ได้ทรงคำนึงก่อนที่จะพูดออกมาหรือไม่”
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้โกรธจริง
บนตำหนักจินหลวน เขาห้ามพระพันปีเถาไม่ทัน
เวลานี้ ทุกอย่างล้วนสายไปเสียแล้ว
เขาสะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยความขุ่นเคืองในใจอย่างมาก
จะเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้
…
โครม!
ภายในตำหนักฉางเล่อ พระพันปีเถาเตะโต๊ะเล็กล้มลง น้ำชากระเด็นไปทั่ว
นับแต่เป็นพระพันปี นางก็ได้ย้ายจากตำหนักเว่ยยางมาตำหนักฉางเล่อ
“พระพันปีโปรดทรงระงับความโกรธ!”
เหมาเส้าเจี้้ยนเกลี้ยกล่อมเสียงเบา
พระพันปีเถาสูดลมหายใจเข้าเพื่อข่มไฟโกรธ “ท่าทีของฮ่องเต้ เจ้าก็เห็นแล้ว สำนักเซ่าฝู่ขาดแคลนเสบียง เขาไม่ยอมเสียเกียรติ แต่ก็คิดหาวิธีที่ทำให้บรรดาขุนนางยอมใจกว้างไม่ได้ ข้าเป็นคนจัดการปัญหาที่ยากลำบากนี้ให้เขา
แต่เจ้าดูท่าทีของเขา เขาไม่เพียงไม่ซาบซึ้ง หากแต่ยังหาว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง พูดเรื่องที่ไม่สมควรพูด เหตุใดเขาจึงไม่คิด หากไม่ใช้ผลประโยชน์เสียบ้าง บรรดาขุนนางจะยอมบริจาคเสบียงด้วยตนเองได้อย่างไร อีกทั้งยังเป็นเสบียงจำนวนมหาศาลเช่นนี้
นอกจากนี้ บรรดาขุนนางยังให้คำมั่นสัญญาว่าจะรับหน้าที่ขนส่งเสบียง เพียงเท่านี้ก็จัดการปัญหาใหญ่ของราชสำนักได้ ไม่จำเป็นต้องเกณฑ์แรงงานอีก จัดการความทุกข์ของราษฎร ผลประโยชน์ที่มากเช่นนี้ เขามองไม่เห็น เขามองเห็นแต่คำว่าปกครองแผ่นดินร่วมกัน
หรือข้าไม่ควรพูดคำนั้นออกไป แผ่นดินนี้ไม่ได้มีราชวงศ์ปกครองร่วมกับตระกูลขุนนางหรือ อยากให้ม้าวิ่ง แต่ไม่ให้ม้ากินหญ้า บนโลกนี้จะมีเรื่องดีเช่นนี้ได้อย่างไร เขาบอกว่าข้าเหลวไหล ข้าว่าเขาต่างหากที่เหลวไหล!”
เหมาเส้าเจี้้ยนรีบพูด “พระพันปีทรงระงับความโกรธ! นับแต่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์ ปัญหาเรื่องแล้วเรื่องเล่าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีเวลาแม้แต่จะพักหายใจ ฮ่องเต้องค์ใหม่ทรงขึ้นครองราชย์ กดดันอย่างมาก รู้สึกกลัดกลุ้มร้อนใจ คราวก่อนส่งหลัวเสี่ยวเหนียนไปบรรเทาภัยก็ถูกบรรดาขุนนางกดขี่ ภายในใจของฝ่าบาทกังวลตระกูลขุนนาง เรื่องทุกอย่างในวันนี้ก็เข้าใจได้”
“ข้าย่อมเข้าใจเขา! แต่ผู้ใดจะเข้าใจข้า ข้าสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจ ช่วยเขาแก้ปัญหา แต่เขากลับไม่ยอมรับน้ำใจ หัวใจของข้าหนาวเย็นไปหมดแล้ว!”
อารมณ์ของพระพันปีเถาไม่ดี จึงใช้ข้ออ้างไม่สบาย ปิดประตูไม่ต้อนรับแขกหลายวัน
ไม่ว่าผู้ใดมาถวายบังคมก็ไม่พบ
จ้งซูอวิ้นในฐานะฮองเฮาย่อมต้องยืนออกมาในเวลานี้ แสดงความกตัญญูแทนฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้
ทุกวันเช้ากลางวันเย็นเดินทางไปถวายบังคมที่ตำหนักฉางเล่อ
แต่ทุกครั้งที่ไป นางล้วนถูกปฏิเสธ
จ้งซูอวิ้นก็ไม่ท้อแท้ นางมุ่งมั่นที่จะอดทนต่อไป จนกระทั่งพระพันปีเถายอมพบนาง
เมื่อองค์หญิงเฉิงหยางรับรู้เหตุการณ์นี้ นางจึงรีบเดินทางเข้าวังหลวงมายังตำหนักเว่ยยาง
“อากาศหนาวเช่นนี้ พระพันปีไม่ทรงยอมพบเจ้า เจ้าก็จากมา เหตุใดจึงต้องยืนรออยู่ด้านนอกประตูตำหนักฉางเล่ออีกครึ่งชั่วยาม อากาศที่หนาวเช่นนี้ อย่าว่าแต่ครึ่งชั่วยาม เพียงแต่ระยะเวลาสั้นๆ ก็ทำให้คนหนาวจนป่วยได้ เจ้าไม่รักตัวเองหรือ พระพันปีและฮ่องเต้ทรงขัดแย้งกัน เจ้าอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยว!”
สุดท้ายแล้ว องค์หญิงเฉิงหยางก็ยังคงเป็นห่วงสุขภาพของบุตรสาว
ฤดูหนาวปีนี้หนาวเย็นเป็นพิเศษ
ความหนาวเย็นนั้นแทรกซึมออกมาจากกระดูก
เพียงแต่ในเมืองหลวง ยังไม่ทันผ่านพ้นครึ่งฤดูหนาวก็มีคนหนาวตายนับร้อยคนแล้ว
พื้นที่นอกเมืองหลวง คนที่หนาวตายจะมีแต่มากยิ่งกว่า
ฮองเฮาจ้งซูอวิ้นพูด “ท่านแม่ไม่ต้องกังวลข้า ข้าในฐานะฮองเฮา ฝ่าบาททรงเกิดความขัดแย้งกับพระพันปี หากเวลานี้ข้าหลบเลี่ยงไม่สนใจ ผู้อื่นคงจะต่อว่าข้าไม่เอาไหน ไม่มีคุณสมบัตินั่งอยู่บนตำแหน่งนี้!”
“ผู้ใดกล้าพูดเช่นนี้ เจ้าบอกข้า ข้าจัดการนาง”
องค์หญิงเฉิงหยางถลกแขนเสื้อขึ้น ทำท่าจะแก้แค้นให้บุตรสาว
ฮองเฮาจ้งซูอวิ้นรีบพูด “ท่านแม่ระงับความโกรธ! ถึงแม้จะไม่มีผู้ใดวิจารณ์ข้าลับหลัง แต่สถานการณ์ในเวลานี้ ข้าก็ไม่อาจทำเป็นมองไม่เห็น พระพันปีไม่ทรงยอมพบข้าไม่สำคัญ ข้าเพียงแค่ทำในสิ่งที่ข้าควรทำ ให้พระพันปี ให้ฝ่าบาท ให้ทุกคนเห็นความจริงใจและท่าทีของข้า
อากาศหนาว ข้าก็รู้ ดังนั้นทุกครั้งที่ข้าออกไปมักจะสวมเสื้อผ้าหนา ในมือยังมีเตาอุ่นมือทองเหลือง ท่านแม่ไม่ต้องกลัวข้าหนาวจนป่วย”
องค์หญิงเฉิงหยางถอนหายใจระรัว “เจ้าหน่ะ นับแต่เป็นฮองเฮาก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน อยู่แต่ในกฎในเกณฑ์ มักจะใช้เงื่อนไขมารดาของแผ่นดินบังคับตนเอง ไม่จำเป็น! เจ้าเป็นฮองเฮา วังหลังนอกจากพระพันปีแล้ว เจ้าก็ใหญ่ที่สุด เจ้าอยากทำสิ่งใดก็ทำ เหตุใดจึงต้องเข้มงวดเพียงนั้น”
ฮองเฮาจ้งซูอวิ้นพูดอย่างจริงจัง “เวลานี้ฝ่าบาททรงยากลำบากมาก เรื่องใหญ่บ้านเมืองวุ่นวาย ไม่มีเรื่องใดราบรื่น เวลานี้ ข้าไม่สามารถช่วยเหลือฝ่าบาทได้ แต่ก็ไม่อาจสร้างปัญหาให้พระองค์เพิ่มได้ หากสามารถกตัญญูแทนพระองค์ ช่วยเหลือพระองค์ได้ ข้าก็พอใจมากแล้ว”
พูดจบ นางก็หัวเราะออกมา
ดูท่าทาง นางดื่มด่ำกับชีวิตในเวลานี้เสียจริง
ผู้อื่นรู้สึกว่านางเหนื่อย แต่นางกลับเต็มใจอย่างมาก
องค์หญิงเฉิงหยางทนดูไม่ได้
นางคิดไม่ตก บุตรสาวของนาง ตอนที่ยังรอออกเรือนนั้น นางเป็นหญิงสาวที่สง่าผ่าเผย มีสิ่งใดพูดสิ่งนั้น
ตั้งแต่เล็กจนโต นางไม่เคยใช้กฎเกณฑ์ใดบังคับบุตรสาว
เหตุใดเพียงชั่วพริบตา บุตรสาวกลับขังตัวเองไว้กับกฎเกณฑ์ อีกทั้งยังมีท่าทีดื่มด่ำ
นางยื่นมือลูบศรีษะของบุตรสาว “ไม่ได้เป็นไข้! ผู้ใดพูดจาเหลวไหลอยู่ข้างหูเจ้า ทำให้เจ้ามีชีวิตไม่เหมือนคน หากแต่เหมือนต้นแบบในตำรา เจ้าโง่หรือไม่ คราวหน้าหากฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งพระสนม เจ้าก็จะพยักหน้ายอมรับด้วยรอยยิ้มหรือ
ข้าบอกเจ้า ฮองเฮาที่สง่างาม เป็นมารดาของแผ่นดินไม่มีผู้ใดมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข จุดจบของพวกนางล้วนไม่ดีนัก เจ้าอย่าได้หลงเชื่อตำราของบัณฑิตชั้นต่ำเหล่านั้น”
ฮองเฮาจ้งซูอวิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านแม่จะให้ข้าเอาแต่ใจหรือ”
องค์หญิงเฉิงหยางพูดด้วยความเป็นห่วง “ข้าไม่ได้ให้เจ้าเอาแต่ใจ ข้ากำลังเตือนเจ้า อย่าใช้ชีวิตลำบากเกินไป เป็นอิสระเสียบ้าง ตามใจตนเองเสียบ้าง อย่างเรื่องนี้ พระพันปีทรงโกรธฮ่องเต้ ไม่ยอมพบเจ้า เจ้าไปปรากฏตัวที่ตำหนักฉางเล่อก็พอ ไม่จำเป็นต้องยืนอยู่หน้าตำหนักฉางเล่อครึ่งชั่วยาม ระวังจะไม่สบายเอา”
ฮองเฮาจ้งซูอวิ้นถอนหายใจ “ความหวังดีของท่านแม่ ข้ารับเอาไว้แล้ว สาเหตุที่ข้าทำก็เพื่อฝ่าบาท หากไม่มีความจริงใจที่เพียงพอ พระพันปีจะทรงยอมยกโทษให้ฝ่าบาทได้อย่างไร”
องค์หญิงเฉิงหยางขุ่นเคือง “เจ้าเหลวไหล! หากต้องการให้พระพันปีหายโกรธ วิธีที่ดีที่สุดคือให้ฮ่องเต้ไปขอโทษที่ตำหนักฉางเล่อด้วยตนเอง พวกเขาแม่ลูกพบหน้ากัน ปรับความเข้าใจกัน ปัญหาก็หมดไป เจ้าไปแสดงตัวคนเดียว พระพันปีไม่มีทางสนใจเจ้า มีแต่จะกลั่นแกล้งเจ้า
ข้าบอกเจ้า นับแต่วันนี้ ทุกครั้งที่ไปถวายบังคมที่ตำหนักฉางเล่อ เพียงแค่พระพันปีไม่ยอมพบเจ้า เจ้าก็กลับทันที จำได้หรือไม่ อย่าตามใจพวกเขาแม่ลูกจนลำบากตัวเอง เจ้าหน่ะ ยิ่งโตยิ่งโง่ ยิ่งโตยิ่งอ่อนแอ ข้าต้องถามเจ้า ผู้ใดพูดจาเหลวไหลอยู่ข้างหูเจ้ากันแน่ สอนแต่กฎระเบียบที่ไร้ประโยชน์”
ฮองเฮาจ้งซูอวิ้นยิ้มอย่างขมขื่น
แต่ว่านางยังคงยอมรับข้อเสนอของมารดาตนเอง
“นับแต่นี้ไป หากพระพันปียังไม่ทรงยอมพบข้า ข้ารับรองจะไม่รออยู่หน้าประตูตำหนักฉางเล่อ คราวนี้ท่านแม่วางใจได้แล้วหรือไม่”
องค์หญิงเฉิงหยางส่งเสียงไม่พอใจ “คนข้างกายเจ้าต้องถูกกวาดล้างเสียบ้าง ข้าใช้ชีวิตในวังหลวงมานาน ฝีมือของนางในชั้นต่ำเหล่านั้น ข้ารู้ดีกว่าเจ้า พวกนางไม่ใช่คนดี แม้จะอยู่ในกฎระเบียบ แต่เจ้าคิดว่าพวกนางหวังดีกับเจ้าจริงหรือ พวกนางอยากจะควบคุมเจ้าต่างหาก
หากเจ้าปฏิบัติทุกอย่างตามกฎระเบียบ นางในชั้นต่ำเหล่านั้นจึงมีโอกาสเสนอหน้า จึงสามารถควบคุมฮองเฮาอย่างเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตำหนักเว่ยยางขนาดใหญ่ล้วนมีนางในชั้นต่ำเป็นใหญ่ เจ้าทำตามใจตัวเองบ้าง เป็นอิสระเสียบ้าง เมื่อพวกนางคาดเดาความคิดเจ้าไม่ได้ย่อมควบคุมเจ้าไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”