ตอนที่ 352 ไม่เป็นธรรม
หลิงฉางเฟิงไม่กล้าพูดเมื่อถูกสายตาของมารดาตักเตือน
เขาก้มหน้าด้วยความร้อนตัว
อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเขาก็หลุดพูดออกมาแล้ว
ในใจของเขามีข้อสงสัยหนึ่งเสมอมา เหตุใดตอนนั้นท่านพ่อจึงไม่ยอมให้เขาฆ่าเยียนอวิ๋นเพ่ย
เขาไม่อยากใช้ชีวิตร่วมกับหญิงชั่วอย่างเยียนอวิ๋นเพ่ยต่อไปแล้วจริงๆ
ทั้งที่ทางท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้านก็ให้คนมาเจรจาเงื่อนไขแล้ว แต่ท่านพ่อกลับไม่ยอมรับปาก ยืดเยื้อถ่วงเวลาด้วยข้ออ้างมากมาย
เรื่องนี้เขาคิดไม่ตกเสมอมา อีกทั้งยังมีคำถามเสมอมา
เขามองมารดาผ่านร่องนิ้วของตนเอง สายตาทั้งรักทั้งกังวล
คนที่เป็นห่วงเขามีเพียงท่านแม่คนเดียวเสียจริง
คนอื่น ทั้งท่านพ่อท่านพี่ แทบอยากจะตีเขาให้ตาย
ส่วนสตรีนางอื่นล้วนมีแต่ความหลอกลวงทั้งสิ้น
บ่าวรับใช้ยกเขาขึ้นเตียง ทำให้เขาเจ็บแผลจนตะโกนด่าทอออกมาเสียงดัง
หลิงฮูหยินตบหัวเขาอีกครั้ง “พูดจาระวังหน่อย อย่าตะโกนใส่บ่าวรับใช้เป็นประจำ เจ้าคิดว่าเหมาะสมหรือไม่”
“พวกเขาเป็นเพียงบ่าวรับใช้…”
“เหลวไหล!”
หลิงฮูหยินพูดตักเตือน “พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นคนมีความสามารถที่ข้ากับท่านพ่อของเจ้าคัดเลือกออกมา อยู่ข้างตัวเจ้าแทนพวกข้า พวกเขาไม่เพียงดูแลชีวิตประจำวันของเจ้า ยังต้องรักษาความปลอดภัยของเจ้า รับรองว่าเจ้าจะไม่ถูกผู้อื่นหลอกลวงให้เดินทางผิด…
อย่างไรก็ตาม ต่อจากนี้ปฏิบัติต่อคนรอบข้างด้วยความเมตตาขึ้นหน่อย อย่าใส่อารมณ์ นิสัยของเจ้าต้องปรับปรุง ท่านพ่อจะโบยเจ้า แม้จะบอกว่าเพื่อระบายอารมณ์ แต่มันก็เป็นเพราะเจ้าไม่ยอมขยัน หากเจ้ายอมใส่ใจ ยอมขยัน ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะรั้งไม่ให้ท่านพ่อเจ้าโบยเจ้า อีกทั้งจะเขียนจดหมายไปเกลี้ยกล่อมพี่ใหญ่ของเจ้า อย่าเอาเจ้าระบายอารมณ์เพียงเพราะตนเองอารมณ์ไม่ดี”
หลิงฉางเฟิงซาบซึ้งจนร้องไห้!
“ท่านแม่ก็รู้ว่าท่านพี่ระบายความโกรธกับข้า! เหตุใดท่านไม่ยอมเกลี้ยกล่อมเขาให้เร็วหน่อย ข้าไม่ใช่ที่ระบายอารมร์ของเขา เหตุใดต้องถูกเขาทรมานทั้งที่อยู่ห่างไกลหลายพันลี้ ท่านพ่อลำเอียง ฟังแต่พี่ใหญ่ ไม่ฟังข้าแม้แต่ประโยคเดียว”
หลิงฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้ใดให้เจ้าไม่ขยัน คำพูดไร้คนฟัง พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นตัวอย่างที่ดีของคนทั้งตระกูล ท่านพ่อเจ้าไม่ฟังเขา หรือว่าต้องฟังเจ้า เจ้าพูดจามีเหตุผลหรือ”
หลิงฉางเฟิงน้อยใจยิ่งนัก
ความห่วงใยและการสนับสนุนที่เพิ่งได้รับเพียงเล็กน้อยถูกตีให้แตกกระจายอีกครั้ง
หลิงฮูหยินถอนหายใจ นางเข้าใจแล้ว ไม่ว่าจะพูดด้วยเหตุผลมากมายเพียงใด ฉางเฟิงก็ฟังไม่เข้าหู
เด็กคนนี้ไม่มีความคิดเรื่องขยันอยู่ในสมอง
เกิดมาในชาติตระกูลขุนนางชั้นสูง มีทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่กำเนิด เหตุใดจึงต้องพยายามขวนขวาย
เจ้าเด็กคนนี้รู้แต่ทำให้คนเป็นห่วง
“ให้ไต้ฟูเข้ามารักษาแผลให้นายน้อย!”
“ขอรับ!”
บ่าวรับใช้รับคำสั่ง
ไม่นานนัก ไต้ฟูก็ถูกเชิญเข้ามา
ไต้ฟูเป็นแขกประจำของตระกูลหลิง เขาถูกเชิญมาตรวจร่างกายในตระกูลหลิงเป็นประจำ
การรักษาแผลก็เป็นอีกหนึ่งด้านที่เชี่ยวชาญอย่างมาก
แม้จะไม่เชี่ยวชาญ แต่หลิงฉางเฟิงมักถูกโบยเป็นประจำ พอรักษานานเข้าก็เชี่ยวชาญแล้ว
…
เยียนอวิ๋นเพ่ยยืนอยู่นอกประตูด้วยความกล้าๆ กลัวๆ ใบหน้าเล็กนั้นเหมือนสะใภ้ที่ถูกกลั่นแกล้ง
นางอยากเข้าไป แต่ก็เหมือนจะไม่กล้า
สาวรับใช้ชำเลืองมองนางแล้วเข้าห้องนอนไปรายงานหลิงฮูหยิน
เมื่อหลิงฮูหยินได้ยินว่านางมาแล้ว แต่ไม่กล้าเข้ามา ทันใดนั้นก็รู้สึกรังเกียจอย่างมาก
ท่าทีไม่สง่าผ่าเผยเอาเสียเลย
นางถอนหายใจ “คุณหนูของบ้านใหญ่ตระกูลเยียนล้วนมีรูปลักษณ์งดงาม นิสัยสง่าผ่าเผย แต่ในจวนของเรานี้ เอาแต่เลียนแบบคุณหนูตระกูลเล็ก ไม่ว่าสอนอย่างไรก็สอนไม่ได้ ล้วนบอกว่าตาดูหูฟัง หลายปีนี้ นางกลับไม่ได้เรียนรู้กิริยาและความอดทนของตระกูลหลิง แต่ละอย่างล้วนไม่เข้ากับคนในตระกูลหลิง”
หลิงฉางเฟิงส่งเสียงไม่พอใจ “ข้าบอกแล้วว่านางไม่ได้ พวกท่านไม่ยอมฟังข้า ตามความคิดของข้า ตอนนั้นควร…”
หลิงฮูหยินพูดขัดเขา “เจ้าหุบปากเสียเถิด! บัดนี้แล้ว เจ้ายังโวยวายเรื่องใดอีก! เจ้าเป็นคนสู่ขอนางกลับมาเอง โทษผู้อื่นไม่ได้ คนที่ข้ากับท่านพ่อเจ้าหมั้นหมายให้เจ้าในตอนนั้นเป็นคนมีความสามารถชั้นเยี่ยมอย่างแท้จริง
ดูนาง เวลานี้อยู่กับท่านลุงของเจ้าใช้ชีวิตอย่างเจริญรุ่งโรจน์ แม้แต่ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าก็เสียเปรียบนาง ไม่ใช่คนที่ออกมาจากท้องเดียวกันเสียจริง ถึงแม้จะแซ่เดียวกัน แต่ก็แตกต่างกันลิบลับ เจ้าน่ะ ซึมซับบทเรียนเสียเถิด! อย่าคิดว่าคุณหนูมีใบหน้าที่งดงามก็จะดีไปหมด สตรีบางคน ใบหน้างดงาม แต่สมองใช้การไม่ได้ อีกทั้งสมองของเจ้านี้ก็ไม่รู้ได้ผู้ใดมา โง่เหลือเกิน!”
พูดจบ นางก็ยื่นมือออกไปจิ้มลงบนหน้าผากของหลิงฉางเฟิงอย่างแรง
มันเป็นความแค้นที่มีต่อคนไม่เอาถ่าน
หลิงฉางเฟิงน้อยใจ “บางครั้งข้าก็สงสัยว่าข้าเป็นลูกท่านแม่หรือไม่ หัวสมองที่ดีล้วนให้พี่ใหญ่ไปแล้ว สิ่งที่เหลือให้ข้ามีแต่เปลือกนอก”
“ฮึ! เจ้ายังกล้าบ่น พี่สอง น้องเล็กของเจ้าล้วนออกมาจากท้องข้า เหตุใดขจึงไม่เห็นพวกนางโง่เขลาเหมือนเจ้า อย่างน้อยพวกนางมองคนยังรู้จักใช้สมอง แต่ตอนเจ้ามองคน มีแต่ใช้ดวงตา”
หลิงฮูหยินก็รังเกียจย่างมาก
หลิงฉางเฟิงยิ่งน้อยใจ เขาทุบกำปั้นลงบนเตียง “ข้าตายไปเสียดีกว่า”
หลิงฮูหยินหัวเราะเสียงเย็น “อย่าเอาแต่พูดจนทำให้คนดูถูก หากไม่กล้าตายจริงก็อย่าพูดว่าจะตายอย่างง่ายดาย ไต้ฟู รักษแผลให้เขาเถิด”
ไต้ฟูที่ยืนอยู่ด้านข้างหวาดกลัวอย่างมาก
หลิงฮูหยินยิ้มอย่างรู้ทัน “ไต้ฟูสนใจแค่รักษาแผล อยู่ข้างนอกควบคุมปากของตนเองให้ดี”
“ขอรับๆ ล้วนเป็นไปตามที่ฮูหยินรับสั่ง”
…
เวลานี้ บ่าวรับใช้มารายงาน นายหญิงน้อยมาแล้ว
ในจวนตระกูลหลิง คนที่มีสิทธิถูกแทนว่านายหญิงน้อยมีเพียงคนเดียว
คนผู้นั้นก็คือภรรยาของหลิงฉางจื้อ เซี่ยฮูหยิน
ตระกูลเซี่ยวเป็นตระกูลใหญ่แนวหน้าของแผ่นดิน
เซียวฮูหยินมีชาติกำเนิดจากบ้านใหญ่ของตระกูลเซี่ย เป็นบุตรสาวคนโต ฐานะย่อมไม่ธรรมดา
หลิงฮูหยินเกรงใจต่อลูกสะใภ้ใหญ่คนนี้อย่างมาก หากมีเรื่องล้วนใช้วิธีการเจรจา
เมื่อหลิงฉางเฟิงได้ยินว่าพี่สะใภ้ใหญ่มาเยี่ยมเขา จึงรีบพูดทันที “ข้าไม่อยากเห็นพี่สะใภ้ใหญ่! พี่สะใภ้ใหญ่ย่อมต้องเป็นคนฟ้องพี่ใหญ่อย่างแน่นอน”
“เหลวไหล! หากกล้าใส่ร้ายพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าอย่างไร้หลักฐาน ไม่ต้องให้ท่านพ่อเจ้าลงมือ ข้าจะเป็นคนโบยเจ้าก่อน นางเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า ทำตัวเคารพหน่อย”
หลิงฮูหยินพูดจบก็สั่งบ่าวรับใช้ “นายน้อยกำลังทายา ไม่สะดวกพบแขกสตรี ให้เยียนฮูหยินรับรองนาง เดี๋ยวข้าตามไป”
บ่าวรับใช้รับคำสั่งจากไป
เมื่อหลิงฉางเฟิงได้ยินว่าไม่ต้องพบพี่สะใภ้ใหญ่ เซี่ยฮูหยิน ทันใดนั้นก็โล่งอก
เขาตบหน้าอก “ข้ากลัวพบพี่สะใภ้ใหญ่”
“เจ้าร้อนตัวมากกว่า!”
หลิงฉางเฟิงหัวเราะ ไม่กล้าตอบโต้
ตอนที่เขายังเด็ก เคยถูกใจสาวรับใช้ที่มีรูปลักษณ์งดงามคนหนึ่งของพี่สะใภ้ใหญ่ เซี่ยฮูหยิน
สุดท้าย…
เขาถูกพี่สะใภ้ใหญ่สั่งสอนอย่างหนัก
ยังไม่พอ!
หลังจากสั่งสอนเขาแล้ว นางยังหาโอกาสฟ้องเรื่องนี้กับท่านพ่อ
จากนั้นท่านพ่อจึงสั่งสอนเขาเป็นรอบที่สอง
คิดว่าเรื่องจะจบหรือ
เฮอะๆ…
ไร้เดียงสา!
ต่อมา พี่ใหญ่เขา หลิงฉางจื้อก็หาข้ออ้างสั่งสอนเขาอีกครั้ง
ต่อมาท่านแม่ก็มาต่อว่าเขา
เพียงเพราะเขาถูกใจสาวรับใช้คนงามของพี่สะใภ้ใหญ่ก็ถูกสั่งสอนไปสี่รอบติดต่อกัน ไม่มีพื้นที่ให้แก้ตัวแม้แต่น้อย เขาจะไม่น้อยใจ ไม่หวาดกลัวได้หรือ
สตรีช่างน่ากลัวเหลือเกิน
เขาพึมพำเสียงเบา “มีเพียงพี่ใหญ่ที่สามารถทนอารมณ์และนิสัยของพี่สะใภ้ใหญ่ได้”
หลิงฮูหยินกลับหัวเราะขึ้นมา “เจ้าไม่รู้หรือ พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าถูกใจกันเอง พี่ใหญ่ของเจ้าถูกใจพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าตั้งแต่แรกเห็น ไม่ยอมแต่งงานหากไม่ใช่นาง”
“ท่านแม่ยอมหรือ” หลิงฉางเฟิงรู้สึกประหลาดใจ
หลิงฮูหยินเม้มปากยิ้ม ดูอ่อนเยาว์เป็นพิเศษ “เหตุใดจึงไม่ยอม พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้ามีชาติกำเนิดที่ดี ทั้งความสามารถ นิสัยและรูปลักษณ์ล้วนดีเลิศ หากข้าคัดค้านจึงจะแปลกไม่ใช่หรือ”
หลิงฉางเฟิงหมอบอยู่บนเตียงด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
“พี่ใหญ่สามารถเลือกภรรยาเองได้ แต่เมื่อเป็นข้า กลับถูกจัดการให้เสร็จสรรพ”
“ผู้ใดให้เจ้ามีแค่ดวงตา แต่ไม่มีสมอง เรื่องทุกอย่างจัดการให้เจ้าหมดแล้ว ขาดแค่ก้าวสุดท้าย เจ้าก็ทำมันพังจนได้ ช่างยอมใจเจ้าเสียจริง มิน่าท่านพ่อเจ้าไม่ชอบเจ้านัก แค่นิสัยเกียจคร้านของเจ้า ข้าก็รังเกียจยิ่งนัก”
“อ่อ” หลิงฉางเฟิงตอบรับ เขาไม่อยากโต้แย้งอีกแล้ว
ชีวิตของเขาถูกลิขิตเอาไว้อย่างชัดเจน ไม่สนุกเอาเสียเลย!
ชีวิตไม่สนุก มีเพียงหอนางโลมที่สามารถบรรเทาความทุกข์ได้
ช่วงปีใหม่ เดือนหนึ่งยังไม่ทันผ่านพ้นไปก็ถูกโบย ยังต้องถูกกักบริเวณอีกครึ่งปี ปีนี้ย่อมต้องเป็นปีชง
เขายากเหลือเกิน!
…
ห้องโถงเล็ก เยียนอวิ๋นเพ่ยกำลังรับรองนายหญิงน้อย เซี่ยฮูหยิน
ต่อหน้าเซี่ยฮูหยิน นางจะรู้สึกต่ำต้อยและอิจฉาอย่างไร้เหตุผลล ราวกับไม่สามารถเหยียดแผ่นหลังให้ตรงได้
มักรู้สึกไม่มั่นใจเมื่อต้องพูดต่อหน้าอีกฝ่าย
เกรงว่าพูดผิดคำเดียวจะถูกรังเกียจว่าไร้การศึกษา
ถึงแม้จะเป็นหลิงฮูหยินก็ไม่เคยทำให้นางกดดันเพียงนี้
สนามพลังของเซี่ยฮูหยินแข็งแกร่งเกินไป ทำให้นางหลบสายตา ปฏิเสธการจ้องตากับนาง
เซี่ยฮูหยินถามด้วยความเป็นห่วง “ร่างกายของนายน้อยห้าเป็นอย่างไร เป็นอันใดมากหรือไม่ ยังไม่พ้นเดือนหนึ่ง นายท่านก็หยิบแส้ออกมา เมื่อข้าได้ยินข่าวก็รีบเดินทางมา ไม่คิดว่ายังคงสายไป”
“ขอบพระคุณพี่สะใภ้ที่เป็นห่วง เขายังสบายดี!”
เยียนอวิ๋นเพ่ยแอบพึมพำ ถูกโบยจนมีประสบการณ์แล้ว จะเป็นอันใดได้อย่างไร
นายท่านโบยคน อย่างน้อยก็มีขอบเขต
เมื่อเทียบกับหลิงฉางจื้อนั้น เบากว่ามาก อย่างน้อยไม่ต้องทรมาน
ตอนที่หลิงฉางจื้อโบยหลิงฉางเฟิงในเมืองหลวงจึงจะเรียกว่าโบยให้ตาย
ขอบเขตที่ว่านั้นก็คือโบยไม่ตายก็พอ
เซี่ยฮูหยินโล่งใจ
นางมีใบหน้ารูปไข่ ผิวพรรณขาวนุ่ม เมื่อยิ้มดวงตาโค้งราวพระจันทร์ มองดูแล้วทั้งเมตตาทั้งสง่าผ่าเผย
แต่คนที่รู้จักนางถึงรู้ นางเป็นหญิงสาวที่มีฝีมืออย่างมาก ทำให้ขุ่นเคืองไม่ได้เด็ดขาด
“นายน้อยห้าไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว! นายน้อยใหญ่เป็นขุนนางในเมืองหลวง เป็นห่วงทุกเรื่องในจวน มักเขียนจดหมายมาถามเป็นประจำ ยังไม่ทันพ้นเดือนหนึ่ง นายท่านก็หยิบแส้ออกมา หากนายน้อยใหญ่รู้เรื่องนี้ย่อมต้องเป็นกังวล”
เยียนอวิ๋นเพ่ยแอบกลอกตา หลิงฉางจื้อเขียนจดหมายกลับมา นายท่านจึงลงมือโบยคนต่างหาก
สุดท้าย เซี่ยฮูหยินกลับแสร้งทำเป็นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหลิงฉางจื้อ ยังสามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอีก
เฮอะๆ…
ในใจของเยียนอวิ๋นเพ่ยขยะแขยงอย่างมาก!