บทที่ 353 ตัวตน
หลังจากพูดออกมา หลิวเซียงและศิษย์แผนกวิชายุทธสกุลจ้าวได้นั่งลงและสูดกลิ่นหอมอย่างสุดลมหายใจ พลางหยิบไหเหล้าตรงหน้าเฉินเฉียงอย่างหน้าตาเฉย
หยานเสวี่ยนั้นแทบจะลุกไปต่อยหน้าหลิวเซียงในทันทีแต่ก็เห็นเฉินเฉียงส่ายหน้าออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ไยตั้งไปถือสาคนที่ใกล้จะตายแล้วเล่า คิดซะว่าเป็นการเลี้ยงส่งก็แล้วกัน”
หลังจากกระดกเหล้าเข้าไปเต็มปากจนหน้าแดงซ่านแล้ว หลิวเซียงก็หยิบเนื้อไข่ปฐพีเคี้ยวพลางมองไปที่เฉินเฉียงอย่างดูแคลน
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเฉินเฉียงปรากฏบนใบหน้า นี่ทำให้หลิวเซียงอดจะหัวร้อนขึ้นมาไม่ได้ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนแคะ “ไอ้หนู แกจะหัวเราะห่าเหวอะไรกัน หากยังรู้ว่าอะไรดีไม่ดีอยู่ก็รีบไสหัวไปไกลๆ”
หลังจากนั้นเขาก็หันไปหาหยานเสวี่ยและพูดออกมา “น้องหยานเสวี่ย ข้าได้ยินมาว่าเจ้าออกมาทำภารกิจ ก็เลยเป็นห่วงถึงได้ตามมา”
ศิษย์แผนกยุทธสกุลจ้าวที่จ้องมองใบหน้าที่เลอโฉมของหยานเสวี่ยอย่างไม่วางตาก็ได้พูดอย่างเผยสันดานออกมา “ศิษย์น้องหยานเสวี่ย เจ้าเองก็น่าจะรู้ว่าพี่หลิวเซียงนั้นห่วงใยเจ้าขนาดไหน ใช่รึเปล่า”
“ในเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วเจ้าไม่คิดตอบแทนท่านพี่หลิวเซียงสักหน่อยเหรอ”
ระหว่างที่พูดนั้น สกุลจ้าวก็ได้หยิบเหล้าอีกไหขึ้นมาก่อนที่จะจรดริมฝีปากลงไปแล้วพูดต่อ “ศิษย์พี่หลิวเซียงนี่พูดได้ไม่ผิดเพี้ยนเลยจริงๆ เหล้านี้ไม่เพียงไม่เลวแต่ยังเหนือล้ำกว่าเหล้าที่ดีที่สุดของเมืองเฉินหลิวด้วยซ้ำ”
“เป็นยังไง รสชาติไม่เลวเลยใช่รึเปล่า”
“เหล้าพวกนี้มาจากไหนกัน”
“ศิษย์พี่หลิวเซียง ข้าล่ะสงสัยนักว่าท่านเคยได้ยินเรื่องราวของผู้บุกรุกลึกลับที่เคยเผชิญหน้ากับวิหารศักดิ์สิทธิ์นั่นรึเปล่า”
“ข้าขอบอกตามตรงเลยนะว่าเหล้าพวกนี้มาจากโลกของสามผู้ลึกลับนั่น”
การคงอยู่ของเฉินเฉียงที่เดินทางคู่สาวงามนี้ทำให้หลิวเซียงและสกุลจ้าวอารมณ์เสียตั้งแต่แรกเห็นจนคิดจะไล่ให้ไปไกลๆตั้งแต่เข้ามา
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเฉียงนี้ทำให้ท่าทางของทั้งสองเปลี่ยนไป
ถึงแม้เฉินเฉียงทำท่าจะอธิบายที่มาของเหล้านี้แต่ความจริงแล้วทั้งคู่ก็รับรู้ว่าไม่ใช่เพียงแค่นั้น
ซึ่งที่เฉินเฉียงกำลังจะบอกก็คือเขานั้นมาจากที่เดียวกับเหล่าผู้ลึกลับทั้งสามที่ได้ปะทะกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ในกาลก่อน
เรื่องการพบเจอระหว่างสามผู้ลึกลับและคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นที่ล่วงรู้และร่ำลือจนทั่วทั้งโลกปีศาจถือว่าเป็นตำนานเรื่องหนึ่ง
ตามตำนานกล่าวไว้ว่าผู้ลึกลับทั้งสามนั้นมีระดับการบ่มเพาะที่สูงล้ำ ในยามนั้นหากทั้งสามเหยียบย่างเข้ามาในโลกปีศาจได้ พวกเขาจะทำได้เพียงสยบอยู่แทบเท้า
ยังดีที่ในตอนนั้นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตของวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้มารวมตัวกัน แม้จะต้องสูญเสียผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตไปอย่างมากมาย แต่ในที่สุดก็สามารถหยุดยั้งผู้ลึกลับทั้งสามลงได้
แต่ตัวตนของผู้ลึกลับทั้งสามนั้นมาจากไหนและเป็นใคร แม้แต่วิหารศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่อาจพบเจอ
และในตอนนี้ เฉินเฉียงกลับเอ่ยปากออกมาว่ามาจากสถานที่ที่เดียวกับสามผู้ลึกลับนั่น
เรื่องนี้ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องตกตะลึง
ต่อให้ทั้งสองคิดว่าเฉินเฉียงพูดเล่นออกมาก็ตาม
หลังจากหันหน้ามาเตรียมจะก่นด่าสาปแช่ง แต่เมื่อได้เห็นท่าทางของเฉินเฉียงในตอนนี้ หลิวเซียงได้หรี่ตาลงมองเฉินเฉียงจนหรี่เล็ก
หยานเสวี่ยที่เห็นก็สบถออกมาพลางมองไปที่หลิวเซียงและอีกคนหนึ่งอย่างดูแคลนก่อนที่จะกระดกเหล้านารีแดงไปอีกอึกหนึ่ง
ในตอนนี้หลิวเซียงรู้สึกหวาดกลัว
นั่นก็เพราะในตอนนี้ เฉินเฉียงไม่ได้มีท่าทีจะล้อเล่นหรือแม้แต่หวาดกลัวพวกเขาแม้แต่น้อย
นี่หมายความว่ายังไงกัน
นี่หมายความว่าเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา
หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือเป็นพวกเขาสองคนที่รนหาที่ตายเอง
เมื่อรู้สึกตัว หลิวเซียงก็ได้ยืนขึ้นก่อนที่จะชักกระบี่ที่เอวออกมา
เมื่อเห็นฉากนี้ สกุลจ้าวผู้ตามมาก็ได้ยืนขั้นมาพร้อมกับมองไปที่เฉินเฉียงและหยานเสวี่ยอย่างหวาดหวั่น
แต่หยานเสวี่ยกก็ไม่ได้แยแสทั้งสองคนแม้แต่เหลียวมองก็ยังไม่ทำ เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงพูดออกมาเบาๆ “เมิ่งน้อย”
เมิ่งน้อยก็เข้าใจเฉินเฉียงในทันที มันอ้าปากเล็กๆ ก่อนจะพ่นลูกไฟที่ร้อนแรงพุ่งตรงไปที่สกุลจ้าวโดยที่เฉินเฉียงไม่ต้องบอกออกมาอย่างชัดเจน
“สัตว์วิญญาณระดับสอง!!!”
เมื่อเห็นเมิ่งน้อย สกุลจ้าวก็อุทานจนเผลอพูด พร้อมกระบี่ในมือที่สั่นไปมา เขานั้นต้องการหลบลูกไฟที่พุ่งตรงมานี้ใจจะขาด
แต่เมิ่งน้อยนั้นไม่ใช่สัตว์วิญญาณ แต่เป็นสัตว์ประหลาดบนโลกมนุษย์
เป็นสัตว์ประหลาดผู้ซึ่งจะกลายเป็นจ้าวแห่งไฟ
เทียบกับสัตว์วิญญาณที่มีคุณลักษณะแห่งไฟบนโลกปีศาจนี้ ไฟของเมิ่งน้อยนั้นบริสุทธิ์และร้อนแรงกว่ามากนัก
หากให้พูดกันตรงๆแล้ว พลังไฟของเมิ่งน้อยร้อนแรงกว่าสัตว์วิญญาณระดับสองไปไกลมาก
นี่จึงทำให้ในตอนที่สกุลจ้าวเมื่อคิดจะฟาดฟันลงไปบนลูกไฟของเมิ่งน้อยนั้น ไม่เพียงจะไม่อาจต้านทาน แต่ลูกไฟกลับหลอมละลายดาบของสกุลจ้าวและพุ่งใส่ใบหน้าของเขา
“อ๊ากกกกกกก”
เมื่อไม่อาจป้องกันลูกไฟของเมิ่งน้อยได้ หัวของศิษย์แผนกวิชายุทธสกุลจ้าวในตอนนี้ก็ลุกไปด้วยเปลวเพลิงจนแดงฉาน มือที่จับกระบี่อยู่ก่อนหน้าได้หล่นลงพื้นพร้อมร่างที่ร่วงหล่นล้มกลิ้งไปมาอย่างไม่หยุดหย่อนพลางกรีดร้องด้วยเสียงที่โหยหวน
เมื่อเห็นฉากนี้ หลิวเซียงผงะถอยออกไปเล็กน้อยพลางจับจ้องไปที่เฉินเฉียง หยานเสวี่ยและเมิ่งน้อยด้วยใจที่ขลาดเขลา
ไม่มีทางหลบหนี
หากเขาโดนลูกไฟนั่นโจมตี เขาเองก็ไม่อาจจะป้องกันมันได้
หลิวเซียงในตอนนี้รู้สึกสำนึกเสียใจในขณะที่มองไปยังผู้ที่อยู่ในระดับนายพลเช่นเดียวกับเขาตกตายไปตรงหน้าจากการถูกไฟของสัตว์วิญญาณระดับสองเผาไหม้
ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขารับรู้ถึงความทรงพลังของหยานเสวี่ย เขาจึงได้เรียกศิษย์น้องจ้าวที่เขาสนิทสนมมาให้ช่วยเหลือ
เขาไม่คิดว่าสัตว์วิญญาณที่ติดตามหยานเสวี่ยจะทรงพลังถึงขนาดนี้
เมื่อเห็นหลิวเซียงเตรียมที่จะวิ่งหนี หยานเสวี่ยก็ได้ยืนขึ้น แต่ก็ถูกขวางไว้โดยเฉินเฉียง
“หยานเสวี่ย ก่อนหน้านี้เจ้าถามข้าใช่รึเปล่าว่าผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตนั้นน่ากลัวขนาดไหนน่ะ และเจ้าเองก็ได้เห็นการลงมือของหลี่ฉิงมาแล้ว”
“แต่เจ้านั้นเพียงได้เห็นการลงมือของพวกมันกับสัตว์วิญญาณเพียงเท่านั้น”
“ข้าจะให้เจ้าได้เห็นว่าเวลามนุษย์ถูกโจมตีด้วยเลือดปีศาจแล้วจะเป็นยังไง”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงได้ไปปรากฏตัวอยู่ที่หลังของหลิวเซียงในชั่วพริบตาราวกับล่องหนหายตัว
ท่าเท้าของเฉินเฉียงนี้มหัศจรรย์พันลึกจนแม้แต่หลิวเซียงที่กำลังคิดหนีก็ยังต้องตกตะลึง
แม้แต่อาจารย์ในสำนักที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เขาเคยพานพบยังไม่เร็วเท่าเฉินเฉียง
นี่ทำให้เขานั้นไม่เคลือบแคลงสงสัยในสิ่งที่เฉินเฉียงพูดออกมาก่อนหน้านี้อีกต่อไป
ดูเหมือนว่าเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยจะเป็นคนที่มาจากนอกโลกปีศาจจริงๆ
“จะทำอะไร อย่าเข้ามานะ”
หลิวเซียงได้ป่ายปัดกระบี่ในมือไปมา ปลายกระบี่อยู่ห่างจากหน้าเฉินเฉียงเพียงแค่หนึ่งฟุต แต่นั่นก็ไม่อาจจะทำให้เขามีความกล้าที่จะเข้าไปใกล้เฉินเฉียงมากไปกว่านี้
เฉินเฉียงได้ยิ้มละไมออกมาก่อนที่จะเดินเข้าไปหาหลิวเซียงอย่างช้าๆในขณะที่มือของเขาได้กอดอกของตนเอาไว้ จนใบหน้าของเขาอยู่ห่างจากปลายดาบเพียงสองถึงสามเซ็นต์เพียงเท่านั้น
ด้วยการที่ถูกต้อนจนมุม ในขณะที่เขาป่ายปัดกระบี่ในมือไปมานั้นก็รู้สึกได้ว่าตนเองไม่มีที่ให้ถอยหนีอีก นี่ทำให้ดวงตาของเขาดุร้ายขึ้นและตะโกนออกมาดังลั่น “ไป ตาย ซะ”
ภายใต้ความรู้สึกที่หวาดกลัว หลิวเซียงได้ปลดปล่อยคลื่นพลังพลางทิ่มแทงกระบี่ของตนไปบนใบหน้าของเฉินเฉียงอย่างรวดเร็ว
แต่เขานั้นกับเห็นเพียงเฉินเฉียงไม่ได้มีท่าทีว่าจะหลบแม้แต่น้อย แถมยังคงยิ้มละไมให้เขาอีก