ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 103 การหลอกลวงอันยิ่งใหญ่ที่กล้าหาญ

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 103 การหลอกลวงอันยิ่งใหญ่ที่กล้าหาญ

บทที่ 103 การหลอกลวงอันยิ่งใหญ่ที่กล้าหาญ

ซูซวงจ้องมองพื้น คิดทบทวนอย่างหนักถึงความเป็นไปได้ของแผนการนี้ และดูเหมือนว่า… จะเป็นไปได้ การก่อความวุ่นวายคล้ายกับเทพอสูรจุติเป็นเรื่องง่าย แต่การหลอกลวงครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้จะจบลงอย่างไรเล่า?

เมืองฮั่วหยางที่แข็งแกร่ง จะพ่ายแพ้ในการโจมตีของผู้บำเพ็ญหรือไม่?

นี่นับว่าเสี่ยงเกินไป…

“แผนนี้ก็ไม่ได้หรือเจ้าคะ?”

เมื่อเห็นว่าซูซวงเงียบไปนาน หลิงเยว่จึงรู้สึกสิ้นหวัง นี่คือโอกาสอันสมบูรณ์แบบที่จะดึงดูดผู้บำเพ็ญมากมายมายังเมืองฮั่วหยาง!

แต่นางก็ไม่รีบร้อน ถึงแม้จะต้องทำการอันยิ่งใหญ่ แต่ก็ต้องเตรียมการให้พร้อมเสียก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าทั้งหมดมาในคราวเดียว อาหารวิญญาณพิเศษและที่พักก็จะไม่เพียงพอเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นแล้วก็คงจะน่าเสียดาย

“ท่านเจ้าเมือง ชะตากรรมของเมืองฮั่วหยางครั้งนี้ อยู่ในมือท่านแล้วนะเจ้าคะ!”

หลิงเยว่คอยยุยงอยู่ข้าง ๆ เมืองอาหารวิญญาณแห่งอนาคตจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าเห็นด้วยเท่านั้น

เดิมทีเด็กสาวคิดจะทำภารกิจแล้วจากไป แต่ตอนนี้หลิงเยว่ไม่คิดเช่นนั้นแล้ว เมืองอาหารวิญญาณขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางผืนทราย คิดดูสิว่ามันจะทำให้ผู้คนตื่นเต้นถึงเพียงไหนกัน!

หากทำสำเร็จ จะต้องได้รับความรู้สึกพึงพอใจมากเป็นแน่!

ซูซวงมองหลิงเยว่ผู้ซึ่งกำลังคิดฝันไปไกลด้วยสายตาเย็นชา นางมีความคิดมากมายเช่นนี้ตั้งแต่อายุยังน้อยได้อย่างไร?

ทว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ซูซวงจะตัดสินใจได้เพียงผู้เดียว

ด้วยเหตุนี้ รองเจ้าเมือง หัวหน้าฝ่ายการคลัง ผู้บัญชาการทหารชุดแดง รวมถึงผู้อาวุโสระดับสูงคนอื่น ๆ ในเมืองฮั่วหยาง จึงถูกเรียกตัวมารวมกันที่จวนท่านเจ้าเมือง แม้แต่ชาวเมืองธรรมดาก็ยังมีการส่งหัวหน้าและตัวแทนอีกสิบคนมาร่วมด้วยเช่นกัน

ทั่วทั้งจวนเจ้าเมืองเต็มไปด้วย ‘กลิ่นอายแห่งเซียน’ เข้มข้นพร้อมที่จะชำระล้างจิตใจของผู้คนให้บริสุทธิ์

“ท่านเจ้าเมืองกำลังจะประกาศเรื่องสำคัญใช่หรือไม่?”

“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ไม่อย่างนั้นจะเรียกเรามาเพียงเพื่อเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่เท่านั้นหรือ? ได้กลิ่นเช่นนี้แล้ว ช่างหอมนัก!”

“ท่านหัวหน้าเหลย สาวน้อยผู้นี้เป็นน้องสาวร่วมสาบานของท่าน ทั้งยังเข้าออกจวนท่านเจ้าเมืองอยู่เป็นประจำ นางได้บอกข่าวสารอะไรบ้างหรือไม่?”

เหลยซาในฐานะหัวหน้ากองก็อยู่ในรายชื่อผู้ได้รับเชิญ เมื่อเขาได้ยินดังนั้นจึงส่ายหน้า “สิบวันแล้วที่ไม่ได้พบหน้าน้องสาวผู้นั้นเลย บางทีอาจกำลังวุ่นอยู่กับการจัดงานเลี้ยงครั้งนี้กระมัง?”

“ใช่แล้ว ในยามว่างก็จะออกมาล้างสมองพวกเราอยู่เป็นประจำ ให้เราเรียนรู้วิธีการย่างเนื้อสัตว์และการทำอาหาร”

“ถูกต้องแล้ว ปล่อยให้พวกเราที่รู้จักแต่การฆ่าสัตว์อสูรมาทำอาหาร ช่างไร้เหตุผลเสียจริง!”

“ประเด็นสำคัญคือแค่เรียนทำอาหารก็มากพออยู่แล้ว ไหนเลยจะต้องจดจำสมุนไพรวิญญาณอีก และคอยเป็นกระต่ายลองชิมรสชาติหญ้าอีกด้วย”

เหล่าหัวหน้ากองที่มารวมตัวกัน พอพูดถึงหลิงเยว่แล้วก็มีเรื่องเล่าไม่รู้จบ ยากจะอธิบายความรู้สึกออกมา ดูแต่ละคนแล้วคงถูกเด็กสาวกลั่นแกล้งอยู่ไม่น้อย

แต่ถึงจะถูกแกล้งก็ลงมือทำอะไรไม่ได้ ทั้งยังไม่สามารถพูดจาโหดร้ายออกไป แม้แต่จะจ้องมองก็ยังทำไม่ได้เลย

เด็กหญิงตัวเหม็นนั่นชอบวิ่งโร่ไปฟ้องท่านเจ้าเมือง ด้วยหากจ้องเขม็ง นางก็จะไปร้องไห้กับท่านเจ้าเมืองทันที

เหลยซาฟังเรื่องราวของหลิงเยว่แล้วก็อยากจะหัวเราะ แต่พอนึกถึงตัวเขาและเหล่าสหายที่ต่างโดนนางสั่งสอนมาเช่นกันก็ถึงกับหัวเราะไม่ออก

เมื่อถูกเด็กหญิงตัวเล็กด่าว่าโง่ก็ยากที่จะไม่ใส่ใจ

“พี่ชาย พวกพี่มาแล้วหรือเจ้าคะ!”

ในสิบวันที่ผ่านมา หลิงเยว่ใช้ทุกวิถีทางที่มี ทั้งยังดึงตัวนักกลั่นโอสถสิบคน ผู้บำเพ็ญและชาวเมืองธรรมดามานับไม่ถ้วน เพื่อมาช่วยจัดงานเลี้ยง ‘อาหารรสเลิศ’ ที่กำลังจะเริ่มต้นในอีกไม่ช้า

“รีบ ๆ ไปกันเถอะเจ้าค่ะ…” หลิงเยว่ใช้มือข้างหนึ่งจับมือเหลยซา ส่วนอีกข้างหนึ่งจับแขนหัวหน้ากองทหารหญิง ซึ่งพอเห็นนางก็มีสีหน้าตึงเครียดทันที “วันนี้มีของอร่อยมากมาย รับรองว่าพวกท่านต้องอิ่มหนำสำราญเป็นแน่เจ้าค่ะ!”

“พูดความจริงกับข้าหน่อยเถอะ ท่านเจ้าเมืองต้องการให้พวกเราทำอะไร?”

“เดี๋ยวพวกท่านก็จะได้รู้เองเจ้าค่ะ”

หลิงเยว่ยิ้มอย่างลึกลับ ทว่ารอยยิ้มนั้น… เจ้าเล่ห์ชอบกล

เมื่อทุกคนมาถึงสวน ต่างก็ตกตะลึงกับอาหารหลากหลายชนิดที่จัดวางไว้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีสัตว์อสูรยี่สิบตัวถูกแขวนย่างอยู่ตรงกลาง เพียงแค่เห็นก็ทำให้ผู้คนน้ำลายสอ

วันนี้ซูซวงไม่มีสีหน้าบึ้งตึง นางเพียงมองทุกคนในที่นั้นอย่างอ่อนโยน

“ข้าจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษให้พวกท่าน สามารถเลือกสรรได้ตามใจปรารถนาเลย”

เมื่อได้ยินคำนี้ ทุกคนก็ได้สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ทว่ากลิ่นหอมที่ลอยมาเตะจมูกนั้นก็ยากจะหักห้ามใจไหว ไม่อาจสนใจความคิดฟุ้งซ่านได้อีกต่อไป ตอนนี้กินก่อนเถิด!

มื้อนี้ก็เป็นอาหารแบบเลือกทานได้ตามใจชอบเหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วเป็นเหมือนกับอาหารจานด่วนเสียมากกว่า

เมื่อเทียบกับงานเลี้ยงรับศิษย์แล้วต่างกันราวฟ้ากับเหว

ทว่ารสชาตินั้นเยี่ยมยอดอย่างแน่นอน หลิงเยว่กล้ารับประกัน

นางถือชามข้าวมาชามหนึ่ง ชามข้าวเต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ มีทั้งเนื้อสัตว์อสูรย่าง เนื้อวัวตุ๋นหั่นเป็นแผ่น เนื้อหมูสามชั้นทอดกรอบ เนื้อหมูย่างแผ่นบาง เนื้อขาหมูอสูรตุ๋น… ในชามเต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ จนแทบจะมองไม่เห็นข้าวที่อยู่ข้างล่าง เห็นแล้วเหล่าแขกทั้งหลายก็ต่างกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่

โอ้โห! อร่อยขนาดนี้เชียวหรือ!

“ตรงนั้นมีข้าวนะเจ้าคะ หากต้องการกับข้าวชนิดใดก็สามารถหยิบใส่ไปได้เลย ขอบอกเลยว่าสามารถราดเครื่องปรุงรสเพิ่มลงไปได้อีกนะเจ้าคะ จะยิ่งทำให้มีกลิ่นหอมและรสชาติอร่อยยิ่งขึ้นเจ้าค่ะ!”

หลิงเยว่ใช้ทัพพีไม้ขนาดใหญ่ตักข้าวพร้อมกับเนื้อขึ้นเต็มทัพพีแล้วยัดเข้าปาก จนสองแก้มพองขึ้น น้ำจากเครื่องปรุงเนื้อตุ๋นรสเข้มข้นเคลือบเม็ดข้าวไว้ พร้อมกับชิ้นเนื้อหลากหลายรสชาติ รสสัมผัสช่างดีเยี่ยมนัก!

ภาพตรงหน้านี้ ทำเอาเหล่าหัวหน้ากองทหารน้ำลายสอไม่หยุด

คนกว่าร้อยชีวิตยกชามขนาดเท่ากะละมังขึ้นมา ก่อนเดินเรียงรายไปตักกับข้าวใส่ชามทีละคน ในแต่ละชามล้วนมีเนื้อพูนแทบล้น ตามด้วยเครื่องปรุงรส จากนั้นค่อยหยิบช้อนขึ้นมาตักแล้วนำเข้าปาก

โอ้สวรรค์! ถ้าหากได้กินเช่นนี้ทุกวัน จะให้พวกเขาทำอะไรก็ยอมทั้งนั้น!

ถึงแม้การกินเช่นนี้จะถือเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย ทว่าอาหารแต่ละอย่างล้วนมีสรรพคุณทางโอสถ เสมือนกับการกินโอสถบำรุงชั้นดีเป็นคำใหญ่ กลุ่มคนทั้งหลายที่กินเข้าไปรู้สึกเสียดาย แต่เมื่อเคี้ยวหมดแล้วก็ตามด้วยคำต่อไปทันที

เหล่าหัวหน้ากองทหารเคลื่อนไหวกันอย่างว่องไว ทำให้คนอื่น ๆ ไม่อยากพลาด ด้วยหากยังช้าต่อไปเช่นนี้ อาหารคงจะถูกเหล่าคนกินจุทั้งหลายกินจนหมดสิ้นเสียก่อนเป็นแน่!

ในเวลานี้ สัตว์อสูรย่างสีเหลืองทองหอมกรุ่นกว่ายี่สิบตัวก็ถูกยกขึ้นมาวางบนโต๊ะทีละตัว จากนั้นผู้บำเพ็ญก็ลงมือหั่นเป็นชิ้น ๆ ก่อนชิ้นเนื้อจะถูกวางลงในชามของทุกคน

แม่ทัพใหญ่กอดขาสัตว์อสูรย่างไว้กัดกินไปพลาง “ท่านเจ้าเมืองมีเรื่องอะไรก็สั่งมาได้เลย ตราบใดที่เราทำได้ ย่อมไม่ปฏิเสธ!”

“หากต้องการหินวิญญาณ… ข้ายินดีบริจาคเพิ่มให้อีก”

“ท่านเจ้าเมือง ท่านก็รู้ว่ากองทัพในระยะนี้ยากลำบาก แต่หากท่านเอ่ยปากขอร้อง…”

ดั่งสำนวนที่ว่า ‘ดีมาดีตอบ’ ยิ่งเป็นอาหารวิญญาณพิเศษแบบนี้แล้ว ยามที่อาหารเข้าปาก พวกเขาก็รู้สึกอยากพลีชีพเพื่อเมืองฮั่วหยาง แม้จะต้องตายเป็นพันครั้งก็ยอม!

หลิงเยว่ได้ยินดังนั้นจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ นางนั่งกินข้าวอยู่ที่มุมขณะเฝ้าดู ชาวเมืองฮั่วหยางช่างซื่อตรง ถูกใจนางยิ่งนัก!

ซูซวงกระแอมเบา ๆ ก่อนจะเปิดเผยแผนการทั้งหมด นางสอบถามทุกคนว่า “ทุกท่านคิดเห็นอย่างไรกับอาหารวิญญาณพิเศษที่เรากำลังกินอยู่ตอนนี้?”

“อร่อยมาก มีรสชาติพิเศษดี ไม่เพียงแค่รสชาติดีอิ่มท้อง ยังมีสรรพคุณเป็นโอสถด้วย!”

“ถูกต้อง!”

ทุกคนกำลังยุ่งกับการยัดเนื้อเข้าปาก พวกเขาจึงได้แต่เงยหน้ามองขึ้นมาทีละคน

“หากถูกปากพวกท่านแล้ว ผู้บำเพ็ญที่อยู่นอกเมืองฮั่วหยางก็น่าจะชื่นชอบไม่น้อยใช่หรือไม่?”

“เป็นเช่นนั้นแน่!”

ซูซวงยิ้มมุมปาก นางเริ่มอธิบายแผนการสร้างเมืองอาหารวิญญาณพิเศษที่สมบูรณ์แบบ และเรื่องราวการหลอกลวงครั้งยิ่งใหญ่

ทุกคนกำลังกินและพยักหน้าเห็นด้วย แต่เมื่อได้ยินเรื่อง ‘สัตว์อสูร’ ที่ถูกแต่งขึ้นมา พวกเขาก็อ้าปากค้าง ดวงตากลมโตด้วยความประหลาดใจ

ท่านเจ้าเมืองเสียสติไปแล้วหรือ?

ทว่าเมื่อได้ฟังแล้ว… เหตุใดจึงรู้สึกตื่นเต้นนัก?

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท