ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 108 เมืองฮั่วหยางคลุ้มคลั่ง

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 108 เมืองฮั่วหยางคลุ้มคลั่ง

หากนางต้องการจะหนี ก็คงหนีไปนานแล้ว

จริงอยู่ว่า การที่บอกข่าวแก่ท่านอาจารย์และเหล่าศิษย์พี่นั้นเป็นทางเลือกที่ดีไม่ใช่น้อย ทว่า… เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาจะต้องมาที่นี่เพื่อพานางไปอย่างแน่นอน

แล้วภารกิจและแผนการอันยิ่งใหญ่ล่ะ จะทำอย่างไร?

“เอ๊ะ! นั่นไม่ใช่ท่านรองเจ้าเมืองเฟิ่งของพวกเราหรือ มาที่นี่ด้วยธุระอันใดเล่า?”

หลิงเยว่เหลือบมองหัวหน้ากองเก้า ผู้แสร้งเยาะอย่างประชดประชัน นางหยิบวัตถุดิบร้อยสิบแปดชุดที่จัดเตรียมไว้ แจกจ่ายให้เหล่าศิษย์ไป

“วันนี้ข้าจะสอนทุกคนทำซาลาเปาที่มีสรรพคุณเช่นเดียวกับโอสถฟื้นฟูกายา”

เดิมทีหัวหน้ากองเก้ายังคงแสร้งทำเป็นหยอกล้อต่อไป แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ไม่กล้าอีกต่อไปแล้ว อาหารที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพวกเขานัก สามวันหลังจากนี้ก็จะถึงการโจมตีของอสูรร้ายแล้ว พวกเขาไม่สามารถละเลยชีวิตของตนเองได้

วัตถุดิบและสมุนไพรวิญญาณถูกลดระดับลงจากเดิม ถนนหนทางที่กำลังขยายก็ถูกระงับการก่อสร้าง แม้แต่ถนนที่สร้างไปแล้วครึ่งทางก็หยุดชะงักด้วยเช่นกัน เห็นทีเมืองฮั่วหยางไม่มีเงินเหลือแล้วจริง ๆ

พวกเขาต่างรับรู้สถานการณ์ที่ยากลำบากของเมืองฮั่วหยางดี ปกติแล้ว เวลาเรียนรู้เกี่ยวกับอาหารวิญญาณพิเศษ แต่ละคนจะได้รับวัตถุดิบสองชุด ทว่าวันนี้กลับได้เพียงชุดเดียว อีกทั้งสมุนไพรวิญญาณก็ดูเหี่ยวเฉา ไร้ชีวิตชีวา ไม่น่าทานเอาเสียเลย

“ขั้นแรก ต้องนวดแป้ง…”

หลิงเยว่ไม่เพียงพูดอธิบายด้วยปากเท่านั้น แต่นางยังชะลอการเคลื่อนไหวของมือลงด้วย พร้อมกับใช้ปราณเพื่อสังเกตทุกคน เมื่อเห็นผู้ใดทำผิดพลาด นางก็จะรีบเข้าไปแก้ไขให้ทันที

การนวดแป้งนั้นแสนง่ายดาย ทั้งบรรดาผู้เรียนก็จริงจังยิ่งกว่าปกติ ขั้นตอนนี้จึงราบรื่นดี ทว่าราบรื่นเพียงขั้นตอนการนวดแป้งเท่านั้น พอถึงขั้นตอนการจัดการกับสมุนไพรวิญญาณ หลิงเยว่แทบจะโพล่งคำด่าออกมาด้วยความโมโห แต่ดีที่ยังอดกลั้นไว้ได้

เพียงแค่ลองลิ้มรสไส้ดู ลิ้นของเหล่าทหารทั้งหลายก็ชาและรู้สึกขมจนสีหน้าเหมือนคนกำลังทุกข์ทรมาน

“ข้าทำตามวิธีของเจ้าแล้ว โดยการตัดส่วนที่มีรสขมออกไป แต่เหตุใดจึงยังมีรสขมอยู่เล่า”

“ข้าเองก็ได้กะเวลาเอาไว้อย่างดี แต่ผู้ใดจะรู้ว่าสมุนไพรวิญญาณนั้นจะเปื่อยง่ายเช่นนี้” ผู้ที่ต้มสมุนไพรวิญญาณไปหมดแล้ว แอบมองหลิงเยว่ด้วยความรู้สึกผิด

คนที่ทำผิดเริ่มน้อยใจ หลิงเยว่เองพลันรู้สึกท้อแท้ไปด้วย นางตัดสินใจละทิ้งเหล่าศิษย์บางคนที่ไม่มีพรสวรรค์ในการทำอาหารไว้เช่นนั้น แล้วไปสอนผู้ที่พอจะทำได้แทน

สุดท้ายแล้ว นอกเหนือจากที่นางทำเอง ก็มีเพียงสิบสองคนเท่านั้นที่ทำซาลาเปาไส้เนื้อสัตว์อสูรผสมสมุนไพรวิญญาณที่มีผลเช่นเดียวกับโอสถฟื้นฟูกายาได้สำเร็จ

ส่วนผลลัพธ์นั้น… ถูกลดทอนลงไปมาก

หลิงเยว่รู้สึกพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ดีเท่าที่หวังไว้ แต่ก็ถือว่าพวกเขาทำออกมาได้ นางเข้าใจดีว่าการเรียนรู้ทำอาหารวิญญาณพิเศษนั้น ต้องใช้เวลาและความอดทน หลิงเยว่จึงจดชื่อทั้งสิบสองคนไว้ และตั้งใจจะฝึกฝนพวกเขาเป็นพิเศษ

หัวหน้ากองเก้ามองดูซาลาเปาที่ตัวเองทำด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย เหตุใดถึงได้ต่างกันเพียงนี้ ทั้ง ๆ ที่ใช้วิธีการเดียวกัน ซาลาเปาที่เฟิ่งชิงทำนั้นดูขาวอวบอ้วน สวยงาม และน่าทานยิ่งนัก ทั้งยังมีกลิ่นหอมเย้ายวนชวนให้น้ำลายสอ แต่เมื่อเทียบกับซาลาเปาที่พวกเขาทำแล้วนั้น ช่างต่างกันราวกับฟ้ากับเหว!

ยิ่งดูนาน ๆ ยิ่งรู้สึกหิว หัวหน้ากองเก้าจึงเอ่ยปากขอด้วยความอับอาย

“เอ่อ… ท่านรองเจ้าเมืองเฟิ่ง ซาลาเปาของท่าน พอจะแบ่งให้พวกเราบ้างได้หรือไม่? เผื่อไว้กินระหว่างทางออกจากเมือง”

อีกสามวันข้างหน้า ฝูงสัตว์อสูรก็จะมาแล้ว พวกเขาเชื่อเหลือเกินว่าท่านรองเจ้าเมืองคงจะไม่ปฏิเสธคำขอเพียงเล็กน้อยนี้เป็นแน่

และเป็นเช่นนั้น หลิงเยว่ไม่ได้ปฏิเสธ นางเพียงหยิบซาลาเปาไปสองสามลูกเพื่อเป็นอาหารเย็น แล้วเดินจากไป

ก่อนหน้านี้ หลิงเยว่ใช้วิธีสุ่มเลือกกองทหารชุดแดงเพื่อสอนทำอาหารวิญญาณแบบตัวต่อตัว แต่ตอนนี้นางตัดสินใจที่จะสอนเพียงทีละกอง โดยใช้เวลาหนึ่งวันต่อหนึ่งกอง จากนั้นคัดเลือกบุคคลที่มีพรสวรรค์และความเข้าใจในศาสตร์การทำอาหารวิญญาณมาฝึกฝนเพิ่มเติม ถึงแม้ว่าแต่ละกองจะมีเพียงสิบคนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเหมาะสม แต่เมื่อรวมจำนวนร้อยแปดสิบหกกองเข้าด้วยกัน ก็จะมีพ่อครัวจำนวนหนึ่งพันถึงสองพันคน

และนี่เป็นเพียงจำนวนของกองทหารชุดแดง ยังมีผู้คนจากคาราวานจำนวนมากที่มีวิทยายุทธ์ รวมถึงนักโทษอีกจำนวนมากด้วย

หลิงเยว่รู้สึกตื่นเต้น อยากจะเตรียมวัตถุดิบแล้วไปสอนทหารชุดแดงกองถัดไปทันที ทว่าตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เวลากลางคืนเป็นเวลาสำหรับการบำเพ็ญของนาง นางจึงไม่อาจสละเวลาได้

เช้าวันรุ่งขึ้น หลิงเยว่ไปที่คลังสินค้าเพื่อขอรับวัตถุดิบสองร้อยกว่าชุด แต่กลับได้รับแจ้งว่าตอนนี้มีสมุนไพรวิญญาณเพียงหนึ่งร้อยชุดสุดท้ายเท่านั้น

“ท่านรองเจ้าเมือง ท่านไม่ทราบหรือว่าเมื่อใกล้ถึงช่วงสัตว์อสูรจะมา คาราวานจากภายนอกจะไม่เข้ามา จนกว่าสัตว์อสูรจะจากไป แล้วพวกเขาก็จะนำสมุนไพรวิญญาณและสิ่งของอื่น ๆ มาแลกกับสัตว์อสูร”

หลิงเยว่รู้สึกสิ้นหวังทันที

เมืองใหญ่เพียงนี้ เหตุใดถึงมีพืชสมุนไพรให้เพียงหนึ่งร้อยชุด? มันฟังดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!

“อาจต้องใช้เวลาเสียหน่อย” ผู้อาวุโสคลังเก็บของอธิบาย

แต่ต้องขอบคุณท่านรองเจ้าเมืองตัวน้อย ที่ทำให้จำนวนอาหารวิญญาณพิเศษมีมากกว่าโอสถถึงหนึ่งร้อยเท่า ครั้งนี้จำนวนผู้บาดเจ็บคงจะลดน้อยลงมาก

โอ้! ต้องยกความดีความชอบให้กับท่านเจ้าเมืองจริง ๆ ท่านรองเจ้าเมืองน้อยคนนี้ ถึงแม้ฝีมือการสู้รบอาจยังอ่อนหัดอยู่ ทั้งอายุก็ยังน้อย แต่นางนับว่ายังมีส่วนช่วยเมืองอยู่มากมายนัก ตอนนี้อาจยังมองไม่เห็น แต่เมื่อเวลาผ่านไป… นางจะต้องทำให้ทุกคนยอมรับนางในฐานะรองเจ้าเมืองได้อย่างแน่นอน!

หลิงเยว่รับร้อยชุดสุดท้ายไป แล้วรวบรวมผู้บำเพ็ญที่มีพรสวรรค์ในการเป็นพ่อครัวมา ลงมือทำอาหารวิญญาณพิเศษจนกว่าฝูงสัตว์อสูรจะมาถึง

นางตัดสินใจจะออกจากเมืองไปจัดการกับฝูงสัตว์อสูรพร้อมกับกองกำลังทหารชุดแดง และขุดหาสมุนไพรวิญญาณไปด้วย

สมุนไพรวิญญาณระดับต่ำในเมืองถูกปลูกไว้แล้ว แต่การเจริญเติบโตของสมุนไพรวิญญาณนั้นช้านัก อย่างน้อยต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีจึงจะใช้งานได้

หากนางเรียนรู้วิชาหมื่นชีวางอกเงยจนถึงระดับสูง คงจะสามารถเร่งการเจริญเติบโตของพืชสมุนไพรได้นับหมื่นนับแสนต้นอย่างง่ายดาย ทว่าน่าเสียดายที่นางใช้วิชาหมื่นชีวางอกเงยเร่งการเจริญเติบโตของพืชสมุนไพรได้เพียงแค่หกไร่ ก็รู้สึกเหนื่อยล้าจนต้องพักฟื้นอยู่เป็นเวลาหลายวัน

ไม่คุ้มค่าเสียเลย ประโยชน์อย่างเดียวคือ ทักษะการเร่งการเจริญเติบโตพัฒนาขึ้นเพียงเท่านั้น

“ครืน!”

พื้นดินสั่นสะเทือน ภูเขาสั่นไหว เสียงคำรามของสัตว์อสูรดังกึกก้องไปทั่วทุกมุมของเมืองฮั่วหยาง

ฝูงสัตว์อสูร… มาแล้ว

ทันใดนั้นประตูเมืองถูกเปิดออก พร้อมกับเหล่าทหารชุดแดงจำนวนมากกำลังพาตัวนักโทษออกจากประตูเมือง

หลิงเยว่ถือดาบเดินปะปนไปกับฝูงชน ในฐานะรองเจ้าเมืองน้อย นางได้รับการคุ้มครองอย่างดีเยี่ยม มีหัวหน้ากองทหารชุดแดงคอยคุ้มกันทั้งด้านหน้า ด้านหลัง และด้านข้าง

…ทำเอาพูดไม่ออกเลยทีเดียว

ลูกธนูสีทองพุ่งทะลุฟ้า เจาะทะลวงร่างของนกยักษ์ ร่างขนาดใหญ่แตกกระจายในทันที เลือดสาดกระเซ็นลงมาราวกับฝนตกที่โปรยปรายลงสู่พื้นดิน

เหล่าสัตว์อสูรบนบกได้กลิ่นคาวเลือด ดวงตาของพวกมันก็แดงก่ำ แผ่นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับเกิดแผ่นดินไหวระดับสิบแปด

ฝูงสัตว์อสูรบนท้องฟ้าส่งเสียงร้องประสานกัน ฟากฟ้าเต็มไปด้วยฝูงสัตว์อสูรที่โบยบินอยู่มืดฟ้ามัวดิน มุ่งหน้าตรงมายังเมืองฮั่วหยาง

“ฆ่ามัน!”

เสียงของซูซวงดังก้องไปทั่วทุกทิศ ทุกคนได้ยินเสียงนางมาพร้อมกับลูกธนูสีทองนับสิบที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า สัตว์อสูรร้ายตัวใดก็ตามที่ถูกลูกธนูสีทองเฉียดผ่าน ล้วนแตกละเอียดกลายเป็นจุณ!

สายฝนโลหิตโปรยปรายลงมา ชิ้นส่วนศพที่แหลกละเอียดร่วงหล่นใส่ผู้บำเพ็ญที่ออกจากเมือง

เลือดไม่ได้กระตุ้นเพียงความดุร้ายของสัตว์อสูรเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นเหล่ามนุษย์ด้วย

หัวหน้ากองเจ็ดยืนอยู่ข้างหลิงเยว่ เขาใช้มือเปล่าฉีกสัตว์อสูรร้ายที่พุ่งเข้าโจมตีจนเลือดสาดกระเซ็น เลือดของสัตว์อสูรร้ายเปื้อนไปทั่วตัวเขา

ขวานสีน้ำตาลเพลิงฟาดฟันลงบนหัวขนาดยักษ์ จนเลือดกระฉูดออกมา!

เปลวเพลิงลุกโชนกลายเป็นสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ พ่นไฟใส่ฝูงสัตว์อสูร!

แสงจากกระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งทะลุร่างสัตว์อสูร สัตว์อสูรกลุ่มเล็ก ๆ ล้มลง และถูกสัตว์อสูรที่อยู่ใกล้เคียงเหยียบย่ำ

คลั่งไปแล้ว บ้าคลั่งกันไปหมดแล้ว!

หลิงเยว่อยู่ภายใต้การปกป้องของเหล่าหัวหน้ากอง ทำให้นางสามารถสังหารสัตว์อสูรขนาดเล็กได้สำเร็จ

อืม… ไม่รู้สึกภาคภูมิใจเอาเสียเลย

นางคือผู้บำเพ็ญ! นางไม่ได้ออกจากเมืองมาที่นี่เพื่อสมุนไพรวิญญาณเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากยังต้องการฝึกฝนในการใช้เคล็ดวิชาในสถานการณ์จริง เพื่อเพิ่มระดับของหมื่นชีวางอกเงยอีกด้วย

ไม่ได้มาเล่น ๆ!

หลิงเยว่โยนขวานลงในถุงเก็บของ นางประสานมือเข้าด้วยกัน เถาวัลย์หนามก็พุ่งทะลุพื้นดินขึ้นมา มันเติบโตอย่างรวดเร็ว หนามบนเถาวัลย์แข็งแกร่งแวววับด้วยแสงสีทอง ลำต้นของเถาวัลย์ลุกโชนด้วยเปลวไฟอันร้อนแรง ส่งผลให้อากาศโดยรอบบิดเบี้ยวเพราะการปรากฏตัวอย่างฉับพลันของเถาวัลย์

เถาวัลย์นั้นพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว พันรัดสัตว์อสูรมากกว่าสิบตัวเอาไว้ แล้วยังแทงร่างของสัตว์อสูรเหล่านั้นจนพรุน เลือดไหลตามเถาวัลย์ลงมาก่อนจะถูกเปลวไฟเผาจนระเหยไปในทันที

เศษชิ้นส่วนที่ถูกเผาไหม้ร่วงหล่นลงพื้นดิน

กลิ่นไหม้เริ่มลอยฟุ้งกระจาย…

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้ ‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท