ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 166 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-5

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 166 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-5

ในหอทรงปัญญา ที่พำนักของโอวหย่าหมิง

“ท่านผู้นำตระกูล ท่านเตรียมตัวจะไปเวลาใดเจ้าคะ”

โอวเสี่ยวเอ๋อถาม

“ทำไมหรือ พอมีสหายก็จะไล่ข้าไปแล้วรึ”

โอวหย่าหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ใช่เจ้าค่ะๆ ข้าเพียงไถ่ถามท่านเท่านั้น…”

โอวเสี่ยวเอ๋อโบกไม้โบกมือ

“มีสหายนั้นเป็นเรื่องดี สหายของเจ้าก็สามารถเป็นสหายของข้าได้นี่ ทว่าหากเป็นคนรักกลับไม่ได้ เพราะจะเป็นของเจ้าได้เพียงผู้เดียว”

โอวหย่าหมิงกล่าว

โอวหย่าหมิงพูดจนโอวเสี่ยวเอ๋อหน้าแดงหูแดงไปหมด นางได้แต่อึกๆ อักๆ ตอบกลับไม่ได้สักคำ

“เดิมทีข้ามาหาลู่หมิงหมิง นึกไม่ถึงว่าเขากลับมายังหอทรงปัญญาแล้ว เจ้าเองก็รู้ ตลอดหลายปีมานี้ ข้าอยากให้ลู่หมิงหมิงเข้ามาอยู่ในตระกูลโอวของเรา ต่อให้ต้องมอบตำแหน่งใดให้ก็ตาม แต่ตอนนี้เกรงว่าคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว…ทว่า เวลานี้ข้ามีบางเรื่องที่ยังต้องสนทนากับตี๋เหว่ยไท่ เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก อยากทำสิ่งใดก็ไปทำเถิด”

โอวหย่าหมิงกล่าว

โอวเสี่ยวเอ๋อพยักหน้า

นางมองผู้นำตระกูลที่เป็นกันเองตรงหน้านาง ความมุ่งมั่นในใจพลันสั่นคลอนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

คนตระกูลโอวต่างนึกว่านางลืมไปแล้ว มีเพียงตัวโอวเสี่ยวเอ๋อเองเท่านั้นที่รู้ว่านางไม่เคยหลงลืมแม้แต่วินาทีเดียว

สมุดที่ใช้เลือดเขียนชื่อเอาไว้จนเต็มเล่มนั้น ทุกคืนโอวเสี่ยวเอ๋อล้วนหยิบออกมาอ่านรอบหนึ่ง

ยามตื่นเก็บไว้กับตัว ยามนอนเอาไว้ใต้หมอน

ติดเป็นเงาตามตัวยิ่งกว่าเงาของตนเองเสียอีก

“คิดถึงเรื่องใดหรือ”

โอวหย่าหมิงเห็นว่าโอวเสี่ยวเอ๋อท่าทางใจลอยจึงเอ่ยถาม

“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะท่านผู้นำตระกูล เช่นนั้นท่านก็พักผ่อนเถิด ข้าขอตัวก่อน”

โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว

โอวหย่าหมิงยิ้มพลางพยักหน้า

จวบจนแผ่นหลังของโอวเสี่ยวเอ๋อหายลับไปจากลานบ้าน สีหน้าของเขาจึงหนักอึ้ง

โอวหย่าหมิงเป็นสุภาพบุรุษผู้ถ่อมตน กริยาสุภาพอ่อนโยนมาแต่ไร ยามเอ่ยปากให้คนฟังรู้สึกดั่งถูกลมละมุนอาบกาย

สีหน้าเช่นในยามนี้ ไม่เคยมีผู้ใดเคยพบเห็นมาก่อน

และโอวหย่าหมิงก็ไม่เคยเผยต่อหน้าคนนอก

มีเพียงยามอยู่ลำพังผู้เดียวจึงเผยใบหน้าที่แท้จริงของตนออกมา

โอวเสี่ยวเอ๋อเดินออกไปนอกลานบ้าน เงยหน้าขึ้นมองฟ้า

จึงเพิ่งรู้ว่าผ่านไปกว่าครึ่งวันแล้ว

ก่อนหน้านี้ นางมัวแต่สนทนาอยู่กับโอวหย่าหมิงจึงไม่ได้รู้สึกอะไร

ยิ่งไปกว่านั้น แม้นางไม่ได้ใกล้ชิดกับคนตระกูลโอว

แต่ยามอยู่กับผู้นำตระกูล เหตุใดจึงไม่รู้สึกถึงความความตึงเครียดเท่าไร

โอวเสี่ยวเอ๋อเอื้อมมือไปลูบท้องตนเอง

จวบจนตอนนี้ นางจึงเพิ่งนึกออกว่ากว่าครึ่งวันมานี้ ยังไม่มีทั้งข้าวทั้งน้ำตกถึงท้องเลย

นางจึงอยากชวนหลิวรุ่ยอิ่งและจิ่วซานปั้นไปกินข้าวด้วยกัน

โอวเสี่ยวเอ๋อสอบถามโอวหย่าหมิงหลายเรื่องเกี่ยวกับหอทรงปัญญา

ก่อนหน้านี้นางไม่เข้าใจหอทรงปัญญาสักเท่าไร

ด้วยนิสัยของนางแล้ว ยอมไม่เป็นฝ่ายไปทำความรู้จักหอทรงปัญญา

ทั้งของกินของดื่มในหอทรงปัญญามีรสชาติจืดชืด เน้นเรื่องรสชาติดั้งเดิมของตัวอาหาร จึงไม่มีอาหารที่เผ็ดที่สุดให้นางกิน

หอทรงปัญญามีกฎเกณฑ์มากมาย สถานที่หลายแห่งไม่เพียงห้ามขี่ม้า แม้แต่เดินก็ต้องเดินอย่างระมัดระวัง ดังนั้นย่อมไม่มีอาชาที่เร็วที่สุดไว้ให้นางขี่

สถานที่แสนสงบราบเรียบเช่นนี้ ช่างไม่เข้ากับโอวเสี่ยวเอ๋อเอาเสียเลย

สิ่งเดียวที่ทำให้นางพอจะพึงพอใจได้บ้าง ก็คือการได้ดื่มสุราในงานเลี้ยงของตี๋เหว่ยไท่ในคืนนั้น

ไม่มีอาหารที่เผ็ดที่สุด ไม่มีอาชาที่เร็วที่สุด อย่างน้อยยังมีสุราฤทธิ์แรงที่สุด

เรื่องนี้ทำให้โอวเสี่ยวเอ๋อไม่ได้รู้สึกผิดหวังกับหอทรงปัญญาเสียทีเดียว

ทว่าหลังจากอยู่มาหลายวัน นางกลับรู้สึกว่าการได้ไปสถานที่ที่ต่างออกไปนั้นดียิ่งนัก

ยิ่งต่างออกไป ยิ่งต่างกับตนเองมากเท่าใดก็ยิ่งดี

แม้นางจะมีนิสัยแข็งกร้าว แต่ความสามารถในการปรับตัวก็แข็งแกร่งด้วยเช่นกัน

ไม่ว่าจะไปที่ใด สภาพแวดล้อมเช่นใด นางล้วนมีชีวิตอยู่ได้ กระทั่งอยู่ได้เป็นอย่างดีด้วย

หนึ่ง ก็เพราะนางเป็นสตรี

หนำซ้ำยังเป็นสตรีที่งดงามอย่างยิ่ง

สตรีงดงามผู้หนึ่ง ไม่ว่าอยู่ที่ใดย่อมมีชีวิตอยู่อย่างดี

ต่อให้หลบซ่อนเข้าไปในป่าเขาลำเนาไพร อย่างไรก็ต้องมีคนมาหาหน้าประตู มีของกำนัลเต็มเตียง

สอง ก็เพราะนางเป็นสตรีที่งดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างยิ่ง

การมีเอกลักษณะเฉพาะตัวเป็นเรื่องดี แต่มักนำพาความลำบากมาให้มากมาย

ผู้คนที่ไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแม้ไม่โดดเด่น แต่โดยมากแล้วล้วนมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขได้ชั่วชีวิต

แต่คนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวกลับไม่เหมือนกัน

เมื่อมีเอกลักษณะเฉพาะตัว แสดงว่านางยึดถือความคิดตนและมีข้อคิดเห็นมากมาย

เมื่อยึดถือความคิดตน โดยมากแล้วล้วนเป็นความคิดที่ทวนกระแส

ความคิดทวนกระแสนย่อมเลี่ยงการเสียเปรียบได้ยาก

เมื่อมีข้อคิดเห็น โดยมากแล้วล้วนไม่รับฟังคำแนะนำของผู้ใด

การไม่รับฟังคำแนะนำก็เลี่ยงการเสียเปรียบได้ยาก

แต่โอวเสี่ยวเอ๋อกลับต่างออกไป

ต่างที่นางเป็นสตรีที่งดงามยิ่งผู้หนึ่ง

ไม่ว่าจะยึดถือความคิดตนมากมายเพียงใด หรือมีข้อคิดเห็นที่แปลกประหลาดเพียงใด

ก็ล้วนมีคนรับฟัง กระทั่งมีคนที่ฟังแล้วนำไปทำตามด้วย

อาจเป็นเพราะตัวโอวเสี่ยวเอ๋อเองก็คุ้นชินกับวันเวลาที่ผู้คนทั่วสารทิศล้วนพยักหน้าโค้งตัวให้นาง ฉะนั้นเมื่อได้พบกับหลิวรุ่ยอิ่งและจิ่วซานปั้น ผู้ ‘ไม่ยึดถือประเพณีนิยม’ จึงเข้ากันได้ดีเพียงนี้

คนเราเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมหนึ่งนานๆ ได้คบหากับคนประเภทหนึ่งนานๆ ก็มักอยากได้ความรู้สึกแปลกใหม่อื่นบ้าง

ยามนี้หอทรงปัญญาก็คือสภาพแวดล้อมที่เปี่ยมด้วยความแปลกใหม่

หลิวรุ่ยอิ่งและจิ่วซานปั้นก็คือคนสองคนที่เต็มไปด้วยความแปลกใหม่

ด้วยเหตุนี้โอวเสี่ยวเอ๋อจึงอยากชวนพวกเขาไปกินข้าวด้วยกัน

…………………..

ที่พำนักของโอวหย่าหมิงอยู่ใกล้กับบ้านของจิ่วซานปั้นมาก

โอวเสี่ยวเอ๋อจึงเดินตามเส้นทางนี้ไปพอดี

แต่แน่นอนว่าเวลานี้จิ่วซานปั้นไม่อยู่บ้าน

เขาและทังจงซงกำลังนำกระบี่ทองที่คนเฝ้าแดนสุขสัญจรหักเป็นท่อนๆ ไปแลกสุรา

เพราะหลิวรุ่ยอิ่งถูกกักตัวไว้เป็นตัวประกันอยู่ที่นั่น

ทังจงซงและจิ่วซานปั้นกำลังแอบดีใจ

เพราะหากให้คนที่ถูกกักเป็นตัวประกันเป็นตนเอง ก็ไม่รู้ว่าจะทนผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างไร

โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นว่าบ้านของจิ่วซานปั้นว่างเปล่า จึงคิดว่าจิ่วซานปั้นต้องไปอยู่ที่บ้านของหลิวรุ่ยอิ่ง

เพราะจิ่วซานปั้นไม่รู้จักผู้ใดที่นี่ และตัวเขาก็ไม่มีเงินสักแดงด้วย

นอกจากมาหาตน เขาก็ได้แต่ต้องไปหาหลิวรุ่ยอิ่งแล้ว

ฝ่ายนางก็มาคารวะผู้นำตระกูลตั้งแต่เช้า เขาต้องหานางไม่พบเป็นแน่

ทว่าพอโอวเสี่ยวเอ๋อคิดดูใหม่อีกครั้ง

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพราะทั้งสองหานางไม่พบจึงไปกินข้าวก่อนแล้ว

หากว่าเป็นเช่นนี้จริง ในใจของโอวเสี่ยวเอ๋อพลันมีความผิดหวังแล่นเข้ามา

ในเมื่อทั้งสามคนเป็นสหายสนิทกัน และมาที่หอทรงปัญญาด้วยกัน

เช่นนั้นไม่ว่าเรื่องใดก็ควรไปทำด้วยกัน

แม้ว่าชายหญิงต่างกัน ยามนอนไม่อาจร่วมห้อง

แต่กินอาหารดื่มสุราอย่างไรก็ทำด้วยกันได้กระมัง

หากสองคนนั้นทิ้งตนไว้ลำพัง โอวเสี่ยวเอ๋อจะอาละวาดให้หนัก!

นางเดินมาถึงหน้าที่พักของหลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าประตูทั้งลานบ้านและตัวบ้านล้วนปิดอยู่

จึงคิดว่าสิ่งที่ตนคิดเมื่อครู่นี้น่าจะเป็นจริงแล้วเจ็ดแปดส่วน

ยามนี้แม้ให้เดินเข้าลานบ้านไปเคาะประตู นางก็ไม่อยากทำแล้ว

นางชักกระบี่ชงโคในมือเข้าออกจากฝักไม่หยุด

เกิดเสียงฉับๆๆ ขึ้นพักนึง

เพื่อให้เสียงนี้กลบความหงุดหงิดในใจตน

ความจริงแล้วความหงุดหงิดนี้ไม่ใช่แค่เพราะหลิวรุ่ยอิ่งและจิ่วซานปั้นไม่อยู่ แต่ที่มากกว่านั้นเป็นเพราะเวลานี้นางหิวอย่างยิ่ง

พูดอย่างไม่เกินเลยแต่อย่างใด เวลานี้โอวเสี่ยวเอ๋อรู้สึกว่านอกจากตนสามารถกินวัวได้ทั้งตัวแล้วยังกินขาหลังแกะได้อีกสองขาทีเดียว

ยามคนเรารู้สึกหิวก็มักหงุดหงิดอย่างยิ่ง

หนำซ้ำตรงหน้านางก็มีเพียงเถาวัลย์สีเขียวสดและบ้านที่ว่างเปล่าเท่านั้น

โอวเสี่ยวเอ๋อชอบกินเนื้อวัวเนื้อแกะ

แต่นางกลับไม่ใช่วัวหรือแกะ

ชั่วเวลานี้ นางยินยอมพร้อมใจให้ตนเองกลายเป็นวัวเป็นแกะ

หากเป็นได้ดั่งว่าจริง หญ้าสดๆ เขียวๆ ที่มีอยู่เต็มลานบ้านแห่งนี้ก็พอให้นางกินอิ่มได้มื้อหนึ่ง

เมื่อคิดถึงตรงนี้โอวเสี่ยวเอ๋อก็หัวเราะเยาะตนเอง

นางสะบัดหัวเต็มแรง

คล้ายอยากสะบัดความคิดในหัวที่ไม่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงพวกนี้ออกไป

แต่โอวเสี่ยวเอ๋อก็ยังรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ดี

จากนั้นนางเก็บก้อนหินจากพื้นมาก้อนหนึ่ง แล้วโยนใส่หน้าต่างที่พักของหลิวรุ่ยอิ่งจนแตก

แม้ไม่มีประโยชน์อะไร แต่คนเราก็จำเป็นต้องระบายอารมณ์

โดยเฉพาะในยามที่ทั้งโมโหทั้งหิวเช่นนี้

‘เพล้ง!’

โอวเสี่ยวเอ๋อออกแรงที่มือสุดกำลัง

ก้อนหินก้อนนั้นจึงทะลุเข้าไปในหน้าต่างและกลิ้งเข้าไปในบ้าน

นางทำเรื่องไม่ดี

แม้เป็นเรื่องไม่ดีเพียงเล็กน้อย แต่โอวเสี่ยวเอ๋อก็รู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ

นางรีบย่อตัวลง

แค่แอบมองลอดเถาวัลย์บางๆ ดูรอยแตกบนหน้าต่างที่ตนเป็นคนขว้างหินเข้าไป

เวลานั้นเอง โอวเสี่ยวเอ๋อกลับได้ยินเสียงดังมาจากข้างในบ้าน

“มีคน?!”

โอวเสี่ยวเอ๋อใจหายวาบ

หรือว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะยังอยู่ข้างในบ้าน

โอวเสี่ยวเอ๋อลุกขึ้นยืน กระแอมไอเบาๆ สองครั้ง

แม้ตนจะเป็นคนขว้างหน้าต่างจนแตก แต่ก็ยังมีเหตุผลพออภัยให้ได้

และแม้ว่าเหตุผลนี้นางจะอ้างว่าเหมาะสมก็ตาม

แต่อย่างน้อยก็ห้ามลดท่าทีทะนงตนลงแต่อย่างใด

โอวเสี่ยวเอ๋อผลักเปิดประตูลานบ้านและเดินตรงไปยังประตูบ้าน

ผ่านประตูเข้าไป นางได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวภายในห้องดังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

“หลิวรุ่ยอิ่ง!”

โอวเสี่ยวเอ๋อร้องเรียก

แต่ภายในบ้านกลับไม่มีคนตอบ

มีเพียงเสียงเคลื่อนไหวนั้นที่ยังคงดังอยู่

โอวเสี่ยวเอ๋อรออยู่พักใหญ่ จนไม่เหลือความอดทนแล้ว

ไม่สนใจเรื่องที่ว่าชายหญิงต่างกันและคำสอนเรื่องมารยาทพิธีรีตอง พลันยกเท้าขึ้นถีบประตู และบุกเข้าไปทันที

“เจ้าเป็นใคร?!”

หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่ได้อยู่ภายในห้อง

หลิวรุ่ยอิ่งยังคงถูกคนเฝ้าแดนสุขสัญจรกักตัวไว้เป็นตัวประกัน

แต่ในบ้านของเขากลับมีผู้อื่นอยู่

คนร่างสูงผอมผู้หนึ่ง ทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้ามีแถบผ้าพันเอาไว้ มีเพียงตาคู่หนึ่ง รูจมูกและมืออีกสองข้างที่เผยออกมา

แม้แต่หูก็ยังถูกพันทับไว้ภายใต้แถบผ้าหนาๆ นั้น

บนศีรษะไม่มีผม แต่กลับมีแผลเป็นเต็มไปหมด

คนประหลาดพันผ้าผู้นี้คล้ายเป็นคนหูหนวก

เหมือนจะไม่ได้ยินคำที่โอวเสี่ยวเอ๋อพูด มือเขายังคงทำเรื่องของตนต่อไป

เดิมทีโอวเสี่ยวเอ๋อนึกว่าเขาอาจเป็นคนของหอทรงปัญญาที่มาทำความสะอาด

แต่นางเห็นว่าคนประหลาดพันผ้าผู้นี้ไม่ได้กำลังทำความสะอาด แต่กำลังเปิดหีบค้นตู้คล้ายกำลังหาของบางอย่าง

เริ่มจากตู้ในบ้าน

จากนั้นก็เป็นที่หัวเตียงและใต้เตียง กระทั่งใต้หมอนของหลิวรุ่ยอิ่งด้วย

สุดท้ายแม้แต่ห่อสัมภาระติดตัวของหลิวรุ่ยอิ่งก็ยังไม่เว้น

………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน