ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 171 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-10

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 171 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-10

นี่ก็คือสาเหตุที่หลังจากนางสังหารกระต่ายทุกครั้ง มารดาจะต้องใช้น้ำมันร้อนผัดกระต่ายให้สุกก่อนแล้วค่อยนำไปกิน

แต่สิ่งที่โอวเสี่ยวเอ๋อคิดไม่ออกก็คือ วิธีที่นางสังหารกระต่ายก็เหมือนกับการนำกระต่ายไปตุ๋นจนเปื่อยถึงเพียงนี้แล้ว แต่เหตุใดมารดากลับยังต้องทายาพิษไว้บนมีดสั้นด้วย

น่าเสียดาย มารดากลับไม่มีโอกาสตอบคำถามนี้ของนางอีกแล้ว

จนเมื่อนางฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นภาพจุดเริ่มของความทรงจำนี้

สุดท้ายมารดาก็ล้มลงไป

เพียงแต่โอวเสี่ยวเอ๋อมองเห็นไม่ชัดว่าการตายของมารดานางถูกกระบี่แทงเข้าที่ลำคอเหมือนกับการตายของบิดาหรือไม่

แต่นางเห็นศพของทั้งสองนอนซ้อนทับกันอยู่บนพื้น

เหมือนคู่แต่งงานใหม่กำลังรักใคร่กัน

คนผู้หนึ่งเดินเข้ามา

ปิดบังใบหน้า นางมองเห็นไม่ชัด

ยิ่งไปกว่านั้น แม้โอวเสี่ยวเอ๋อจะฟื้นแล้ว แต่พิษในกายยังหลงเหลืออยู่

ทั้งตัวนางยังอยู่ในอาการมึนงง

คนปิดหน้าอุ้มนางขึ้นมาและพานางไปจากเรือนที่เคยใช้ชีวิตอยู่เพียงไม่กี่ปี

คนปิดหน้าพานางเดินทางไปไกลแสนไกล

เป็นครั้งแรกที่โอวเสี่ยวเอ๋อรู้ว่าโลกหล้ายังมีที่ที่แสนไกลเพียงนี้ด้วย

เมื่อม้าหยุดวิ่ง นางมองลอดช่องม่านหน้าต่างก็เห็นว่ามาถึงกำแพงคูเมืองแห่งหนึ่ง

บนกำแพงคูเมืองมีอักษรตัวใหญ่ที่เขียนด้วยน้ำหนักพู่กันมีพลังยิ่งสองตัวว่า ‘เวยใต้’

แม้คนปิดหน้าจะปิดหน้า แต่โอวเสี่ยวเอ๋อกลับได้กลิ่นตะวันยามวสันต์แสนอบอุ่นจากกายเขา

กลิ่นเช่นนี้เมื่ออยู่บนกายของผู้ที่สังหารคนทั้งครอบครัวกลับแปลกประหลาดนัก

แต่สัญชาตญาณของเด็กน้อยแม่นยำเสมอ

โอวเสี่ยวเอ๋อย่อมคิดไม่ผิดเป็นแน่

นับแต่นั้นมา ไม่ว่านางได้พบกับผู้ใด เห็นสิ่งใดก็ล้วนรู้สึกว่าทุกสิ่งเหมือนกับกระต่าย

เพราะไม่มีสิ่งใดคู่ควรให้อาลัยอาวรณ์

ทุกสิ่งล้วนสามารถตัดทิ้งได้ทั้งสิ้น

………………

“เสี่ยวเอ๋อ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

เสียงของโอวหย่าหมิงดึงความคิดของโอวเสี่ยวเอ๋อกลับมา

โอวหย่าหมิงเห็นว่ามุมปากของโอวเสี่ยวเอ๋อมีรอยเลือด ง่ามนิ้วระหว่างหัวแม่มือกับนิ้วชี้ก็มีรอยเลือด

เพียงแต่เลือดที่ง่ามนิ้วมีมากกว่าที่มุมปากมากนัก

ไหลลงมาตามด้ามกระบี่

เกิดเป็นรอยเลือดเส้นบางๆ เส้นหนึ่งอยู่บนตัวกระบี่

ห่างออกไปสองสามชุ่น ยังมีหยดเลือดที่เกาะตัวแข็งตรงปลายกระบี่ และร่วงลงไปกระทบกับพื้น

โอวหย่าหมิงอยากรับกระบี่ชงโคในมือโอวเสี่ยวเอ๋อมา

แต่โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นโอวหย่าหมิงยืนอยู่ตรงประตูและหันหลังให้แสงอาทิตย์

เหมือนมีผ้าสีดำชั้นหนึ่งปิดใบหน้าเอาไว้

นางถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว พลางชี้ปลายกระบี่ไปที่โอวหย่าหมิง

โอวหย่าหมิงใช้นิ้วตบที่ข้อมือของโอวเสี่ยวเอ๋อ กระบี่ชงโคก็ตกลงไปตามนั้น

“เกิดเรื่องใดขึ้น”

โอวหย่าหมิงถามอย่างร้อนใจ

โอวเสี่ยวเอ๋อจึงเพิ่งมองออกว่าผู้ที่มาก็คือผู้นำตระกูล

นางอยากอ้าปากพูด แต่กลับขยับมุมปากที่เจ็บโดยไม่ทันระวัง

นางยากยกนิ้วมือชี้ไปยังคนประหลาดพันผ้าผู้นั้น แต่กลับยิ่งทำให้บาดแผลที่ง่ามนิ้วหลั่งเลือดมากกว่าเดิม

สายตาของโอวหย่าหมิงจับจ้องไปที่ตัวคนประหลาดพันผ้า

“ทำร้ายคนตระกูลโอว ท่านควรมีคำอธิบายกระมัง!”

โอวหย่าหมิงกล่าว

ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องเจรจาตามมารยาทก่อนจึงใช้กำลัง

แม้ในใจของโอวหย่าหมิงจะตัดสินโทษตายแก่คนผู้นี้ไปแล้ว แต่คำพูดนี้ไม่พูดก็ไม่ได้

ผู้ที่สังหารคนจะมีคำอธิบายใดได้?

คำอธิบายเดียวก็คือต้องการให้เจ้าตายก็เท่านั้น

ฆ่าตายแล้ว ต่อให้พูดอีกสักเท่าใดก็เปล่าประโยชน์

ฆ่าไม่ตาย ก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ

นี่เป็นครั้งแรกที่โอวหย่างหมิงพบกับผู้ที่ยังสามารถเยือกเย็นได้เพียงนี้ แม้เผชิญหน้ากันในยามที่เขายกกระบี่ขึ้นมา

ตี๋เหว่ยไท่ไม่ทำ ห้าอ๋องก็ไม่เช่นกัน

กระบี่ที่เดิมทีชักออกมาเพราะสงสารโอวเสี่ยวเอ๋อที่ได้รับบาดเจ็บและต้องการทวงความยุติธรรมให้นาง แต่ยามนี้กลับกลายเป็นกระบี่ที่โอวหย่าหมิงใช้พิทักษ์ความภาคภูมิใจและตำแหน่งของตน

กระบี่ชงโคเล่มเดียวกัน แต่เป้าหมายที่โอวเสี่ยวเอ๋อชักกระบี่ออกมากลับเปลี่ยนไปถึงสองครั้ง โอวหย่าหมิงเองก็เปลี่ยนไปสองครั้งเช่นกัน

ที่แท้แล้วใจคนก็ฉลาดปราดเปรื่องนัก

โพรงนี้ไปไม่ได้ โพรงนั้นกลับไปได้

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเสียมารยาทเพียงนี้

โอวหย่าหมิงจึงไม่สนใจคำว่า ‘ผู้ใช้กระบี่ห้ามทำร้ายคนจากด้านหลัง’ อีกต่อไป

ชักกระบี่น้อมตัวลง แทงตรงเข้าไปยังจุดสำคัญตรงสะบักหลังของคนประหลาดพันผ้า

กระบี่ยังไม่ทันถึง พลังปราณกลับไปถึงก่อน

นึกไม่ถึงว่าคนประหลาดพันผ้ากลับไม่แม้แต่จะหันหน้ามา กุมหมากไว้ในมือเม็ดหนึ่ง พลิกมือใช้เม็ดหมากสกัดกระบี่ที่พุ่งเข้ามาไว้ได้

พลังปราณแผ่ไปทั่วทิศ เม็ดหมากแตกละเอียด

เขาสามารถประมือและเสมอกับโอวหย่าหมิงได้

เมื่อโอวหย่าหมิงเห็นฝีมือของฝ่ายตรงข้ามก็ถึงกับตื่นตะลึง!

แต่ด้วยเหตุการณ์ตรงหน้าจึงไม่มีเวลาให้เขามาคิดมากมาย

เพราะเมื่อคนประหลาดพันผ้าสะบัดข้อมือ

หมากที่แตกละเอียดไปแล้วเม็ดนั้นกลับพุ่งเข้าจู่โจมใบหน้าของโอวหย่าหมิง

เดิมทีโอวหย่าหมิงคิดเอี้ยวตัวหลบ

แต่เมื่อคิดว่าว่าโอวเสี่ยวเอ๋อกำลังยืนอยู่หลังตนโดยไร้อาวุธ จึงได้แต่ยกกระบี่ขึ้นมาทานรับ

เขาใช้กระบี่ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งโยนใส่คนประหลาดพันผ้า

เศษเม็ดหมากที่แตกพุ่งเข้าใส่เก้าอี้ไม้จนแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

เศษไม้ปลิวว่อนอยู่ระหว่างคนทั้งสอง

โอวหย่าหมิงอาศัยจังหวะนี้ส่งสัญญาณให้โอวเสี่ยวเอ๋อรีบออกไปเสีย

แต่ด้วยความรีบร้อนโอวเสี่ยวเอ๋อกลับไปเหยียบเม็ดหมากเขตกั้นเป็นตายที่คนประหลาดพันผ้าซัดเข้าไปในพื้น

เมื่อเห็นว่า หมากตัวนั้นถูกเหยียบ

คนประหลาดพันผ้าพลันส่งเสียง ‘ฮึมๆ’ ออกมาจากลำคอ

คล้ายกำลังคำราม

จากนั้น เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาในระนาบเดียวกัน หันฝ่ามือเข้าใบหน้า

ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางออกแรงดีด

โอวหย่าหมิงอยากชักกระบี่ออกมาต้านรับ

แต่กลับพบว่าตรงหน้าว่างเปล่า ไร้สิ่งใด

ในขณะที่กำลังนึกประหลาดใจอยู่นั่นเอง จู่ๆ ก็เห็นว่าพื้นที่ตรงหน้าราวกับจอกสุราที่ตกพื้นแล้วแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ

คนประหลาดพันผ้าดีดมือคราวนี้ กลับเป็นการใช้พลังปราณสั่นสะเทือนให้ภายในห้องทั้งหมดแตกละเอียด

“พลัดถิ่นสู่บ้านเกิด บังชงโค!”

โอวหย่าหมิงใช้เพลงกระบี่ชงโคขั้นที่เจ็ด

ในเมื่อเป็นบ้านเกิด แล้วเหตุใดจึงพลัดถิ่น

เลิกพร่ำพรอดถึงบ้านเกิดต่อหน้าสหาย จงทำตามใจที่อยากพเนจรเสีย

บ้านเกิดคือแหล่งพำนัก คือการปลอบโยน

พลัดถิ่นคือการเดินทางไกล ต่างบ้านต่างเมือง

ผู้พลาดหวังช่างน่าเวทนา แต่กลับไร้ซึ่งคนถามไถ่ถึงความอาดูร เพราะจะอย่างไรด่านยอดภูผา[1]นี้ก็ยากข้ามผ่าน

แขกจากต่างถิ่นนับว่าพเนจร แต่ไร้ซึ่งคนทอดถอนใจให้ เพราะจะอย่างไรก็เพียงบังเอิญมาพานพบกัน

คนผู้หนึ่งอยู่ต่างถิ่นแสนไกล หากยังมีบ้านเดิมให้คนึงถึง ก็เทียบได้กับโจ๊กถ้วยหนึ่งในยามเช้าหลังสร่างเมา

หากได้กลับไปบ้านเดิม แต่ยังรู้สึกราวกับพลัดถิ่น ณ ขอบฟ้า เช่นนั้นต่อให้ใต้หล้าไพศาลอีกสักเท่าใด ก็จะไม่มีแม้แต่ผืนดินเท่าผืนเสื่อให้ได้พักกาย

สิ่งเดียวที่มีค่าพอให้ใส่ใจ ก็คือดอกชงโคที่กำลังเบ่งบานข้างกายดอกนี้

ไม่ใช่เพราะดอกชงโคล้ำค่า และไม่ใช่เพราะชื่นชอบดอกชงโคดอกนี้

แต่เพราะไม่อยากให้แม้แต่ความคนึงถึงสุดท้ายนี้ของตนต้องกลายเป็นเถ้าถ่านหยิบมือหนึ่ง

เวลานี้โอวเสี่ยวเอ๋อก็คือดอกชงโคของโอวหย่าหมิง

ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น

ในฐานะผู้นำตระกูล

ทุกคนในตระกูลโอวล้วนเป็นดอกชงโคของเขาทั้งสิ้น

แต่เขามีเพียงหนึ่งคนหนึ่งกระบี่เท่านั้น

แม้ยากเลี่ยงได้ว่าจะต้องมีดอกชงโคโรยราไป

แต่เมื่อโอวหย่าหมิงนั่งในตำแหน่งนี้แล้ว เขามักพยายามหลบเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้นอย่างสุดกำลัง

นับประสาอะไรที่เดิมทีโอวเสี่ยวเอ๋อก็เป็นถึง ‘แก่นกระบี่’ แห่งตระกูลโอว

ผู้เป็นผู้นำตระกูลรุ่นต่อไป และเป็นผู้ถูกเลือกให้สืบทอดตำแหน่ง ‘บุตรแห่งกระบี่’

ดอกชงโคดอกนี้ย่อมเจิดจรัสและควรค่าให้ปกป้องยิ่งกว่าดอกอื่น

โอวหย่าหมิงรู้ว่าหากดอกชงโคเหล่านี้ยังคงเติบโตอยู่ภายใต้การปกป้องดูแลของตน ก็จะไม่อาจแตกใบแทงยอดได้เองอย่างแท้จริง

ฉะนั้นเขาจึงให้ ‘แก่นกระบี่’ เหล่านี้ออกไปท่องเดินทางอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์

แต่หากยังไม่ทันได้ฝึกปรือกลับต้องมาตายไปก่อน

ก็ดูไม่คุ้มค่าเกินไป

และใจของโอวหย่าหมิงก็จะรู้สึกว่าขาดทุนเกินไป

เป็นตายล้วนเป็นชะตา

แต่นั่นหมายถึงในช่วงเวลาที่ตนมองไม่เห็น หรือเอื้อมมือไปไม่ถึง

ทว่าเวลานี้เขายืนอยู่ตรงหน้าโอวเสี่ยวเอ๋อ

ท้าสวรรค์เปลี่ยนชะตา เป็นเรื่องที่ผู้ฝึกยุทธควรรีบคว้าไว้

กระบี่ชงโควาดเส้นโค้งเส้นหนึ่งกลางอากาศ

เส้นโค้งนี้กินพื้นที่ทั่วบริเวณที่คนประหลาดพันผ้าสร้างความสั่นสะเทือนจนแตกละเอียดเอาไว้

จากนั้นโอวหย่าหมิงถือกระบี่ชงโคไว้ในมือและชี้ไปที่พื้น

ความสั่นสะเทือนรุนแรงก่อนหน้านี้กลายเป็นระลอกคลื่น

ดังเช่นผิวน้ำทะเลสาบแสนราบเรียบพลันเกิดวงคลื่นเมื่อโยนก้อนหินลงไป

ดวงตาทั้งคู่ของโอวหย่าหมิงหรี่ลงเล็กน้อย

นิ่งเงียบรอให้วงคลื่นแต่ละวงสงบลง

จวบจนวงคลื่นวงสุดท้ายหายวับไป เขาจึงยกกระบี่ขึ้นอีกครั้ง

กระบี่นี้โอวเสี่ยวเอ๋อไม่เคยเห็นมาก่อน

ไม่ใช่เพลงกระบี่ชงโค และไม่ใช่เพลงกระบี่ใดๆ ที่เคยบันทึกไว้ในหอกระบี่ตระกูลโอว

นี่เป็นกระบี่ของโอวหย่าหมิง

และเป็นเพลงกระบี่ที่เป็นของเขาเอง

โอวเสี่ยวเอ๋อรู้สึกว่ากระบี่ชงโคในมือของโอวหย่าหมิงไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด

เพียงกระตุกข้อมือเบาๆ

แขนซ้ายของคนประหลาดพันผ้าก็ร่วงลงกับพื้น

ในชั่วเวลาที่โอวเสี่ยวเอ๋อกำลังเคลิบเคลิ้มกับกระบี่นี้ของโอวหย่าหมิงอยู่นั้น โอวหย่าหมิงกลับขมวดคิ้ว

เพราะเขาเห็นว่าแม้คนประหลาดพันผ้าผู้นี้จะถูกตัดแขนข้างหนึ่งจนขาด แต่ทั้งตัวก็ไม่ได้มีอาการสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย

ราวกับว่าเขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด

แม้จะเป็นผู้ที่มีระดับยุทธ์สูงส่งเพียงใด ก็ยังไม่อาจปิดกั้นประสาทสัมผัสของตนได้

แต่ท่าทีที่คนประหลาดพันผ้าผู้นี้มีต่อแขนของตนนั้น เหมือนพลั้งเผลอทำก้อนเงินจำนวนหนึ่งตกเท่านั้น

เขาเพียงก้มหน้ามองแขนข้างนั้นของตนตกลงบนพื้น แล้วใช้ปลายนิ้วมือข้างขวาหยิบหมากออกมาอีกเม็ดหนึ่ง

จิตของโอวเสี่ยวเอ๋อจึงเพิ่งสังเกตเห็นความผิดปกติของคนประหลาดพันผ้าผู้นี้

นางเห็นว่านอกจากบาดแผลของเขาจะไม่มีเลือดสดไหลออกมาแล้ว กลับมีน้ำหมึกเหม็นคาวไหลทะลักออกมา

ในชั่วเวลาที่เม็ดหมากในมือของคนประหลาดพันผ้ากำลังจะถูกซัดออกมานั้น

จู่ๆ เขาก็ชะงักอยู่กับที่

โอวหย่าหมิงนึกว่าเขาเตรียมจะเปลี่ยนกระบวนท่ากลางคัน

นึกไม่ถึงว่าคนประหลาดพันผ้าผู้นี้กลับเคลื่อนตัววิ่งไปทางหน้าต่างทันที

เขากระโดดออกไปทางหน้าต่างบานที่โอวเสี่ยวเอ๋อโยนก้อนหินใส่ก่อนหน้านี้ จากนั้นก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

………………………………………

[1] ด่านยอดภูผา เป็นสัญลักษณ์แทนอุปสรรคต่างๆ

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท