ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 172 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-11

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 172 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-11

บ้านผุพังในแดนสุขสัญจร

หลิวรุ่ยอิ่งสนทนาอยู่กับเจ้าหมิงหมิงประโยคแล้วประโยคเล่า

ความเดือดร้อนรำคาญใจก่อนหน้านี้ถูกกวาดทิ้งไปจนหมดสิ้น

ในเวลานี้เองทังจงซงและจิ่วซานปั้นก็กลับมาจากแลกสุรา

หลิวรุ่ยอิ่งมองทั้งสองคนอย่างขุ่นเคือง นิ่งเงียบไม่พูดจา

จิ่วซานปั้นรู้สึกประหลาดใจนัก

เขาคิดว่าตนเองรีบนำสุรากลับมาจะได้ไถ่ตัวหลิวรุ่ยอิ่งที่เป็นตัวประกันออกมาเร็วๆ อุตส่าห์วิ่งเหยาะๆ กลับมาตลอดทาง

เหตุใดหลิวรุ่ยอิ่งกลับมีท่าทีหงุดหงิด

แต่ทังจงซงกลับมองออกในคราวเดียว

รู้สึกว่าพวกตนช่างกลับมาไม่ถูกเวลาจริงๆ

ตัวเขาเองก็เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่ารบกวนคนฝันหวาน ขัดคนดื่มสุรา ทุบตีนกยวนยางเป็นสามความผิดใหญ่หลวงในโลกมนุษย์

ตอนนั้น คำพูดนี้ใช้กับอิ๋นซิง

แต่มองดูตอนนี้ตนกลับเป็นคนร้ายเสียเอง

ทว่าทังจงซงก็ยังรู้สึกตื่นตะลึงกับสง่าราศีของเจ้าหมิงหมิง

เขาเคยพบเห็นสตรีงดงามมามากต่อมากแล้ว

แม้เจ้าหมิงหมิงจะงดงามหาตัวจับยาก

แต่ความงามหากมาถึงจุดหนึ่ง ความแตกต่างกลับมีไม่มาก

สิ่งที่ต่างกันอยู่ที่สง่าราศี

ต่อให้อีกสิบชาติเหล่าแม่นางในท้องไร่ท้องนาก็ไม่มีทางมีสง่าราศีเช่นเจ้าหมิงหมิงได้

ฉะนั้นทังจงซงจึงปิดบังความชื่นชมที่ตนมีต่อนางไม่ได้ และเผลอไปจ้องหน้าเจ้าหมิงหมิงโดยไม่รู้ตัว

นึกไม่ถึงว่าเจ้าหมิงหมิงกลับไม่ได้เขินอายแต่อย่างใด

นางเงยหน้าขึ้นมารับกับสายตาของทังจงซงอย่างไม่สะทกสะท้าน ยิ้มน้อยๆ พยักหน้าเป็นการทักทาย

“แล้วเขาเล่า”

ทังจงซงถาม

เขากวาดตามองไปทั่วบ้านรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนเฝ้าแดนสุขสัญจร

หลิวรุ่ยอิ่งชี้ไปที่ใต้เตียง

“อ้อ ที่แท้ก็มาหลบอยู่นี่นี่เอง!”

ทังจงซงนั่งลงคลานกับพื้น กล่าวค่อนแคะไปที่ใต้เตียง

“ไม่ใช่ว่าทั้งบ้านนี้ล้วนเป็นเสื้อผ้าของท่านหรอกหรือ เหตุใดต้องไปหลบใต้เตียงด้วย”

ทังจงซงกล่าวต่อ

คนเฝ้าแค่นเสียงฮึๆ ด้วยความโมโห กล่าวว่า

“ไม่ผิด! พวกเจ้าก็คือมด ไม่สิ หมัด! ตัวเรือด! ที่ไต่เข้ามาในเสื้อผ้าของผู้อื่น”

“พวกเราจะเป็นใครก็ช่าง แต่ยามนี้ท่านลงไปหลบใต้เตียง ไม่เหมือนเต่าหัวหดหรอกหรือ”

ทังจงซงกล่าว

คำพูดนี้กลับทำให้เกาลัดคั่วน้ำตาลหัวเราะลั่นขึ้นมาด้วย

หลิวรุ่ยอิ่งแตะตัวทังจงซงเบาๆ เป็นการบอกให้เพลาๆ ลงบ้าง

จะอย่างไรคนเฝ้าผู้นี้ก็พิลึกนึก หากยั่วโมโหเขาขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าพวกเขาจะไม่ได้ลงเอยอย่างดี

“ไอ้หยา!”

คนเฝ้าถูกคำพูดของทังจงซงทำให้โมโหขึ้นมาจริงๆ

ไม่ว่าเป็นผู้ใดเมื่อถูกใครบอกว่าเป็นเต่าก็ต้องโมโหทั้งสิ้น

ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นเต่าหัวหดเข้าในกระดองไม่กล้าโผล่หัวออกมา

บอกว่าเป็นเต่าก็นับว่าเป็นคำพูดที่รุนแรงมากอยู่แล้ว

ยิ่งเป็นเต่าหัวหดยิ่งไม่เอาไหนกว่าเต่าเสียอีก

เดิมทีจิ่วซานปั้นไม่รู้ว่าเต่าก็สามารถเอามาใช้ด่าคนได้

เขายังถกเหตุผลกับหลิวรุ่ยอิ่งเพื่อทวงความยุติธรรมให้เต่าด้วย

แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็ให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลแก่เขาไม่ได้

โต้เถียงจนถึงในที่สุดทำได้แค่บอกไปประโยคหนึ่งว่าทุกคนล้วนใช้กันเช่นนี้

เป็นเช่นนี้มาแต่ไร เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้วหรือ

จิ่วซานปั้นยังคงคิดไม่ออก

แต่เขาไม่เหมือนกับโอวเสี่ยวเอ๋อ

โอวเสี่ยวเอ๋อยึดถือในเหตุผลอย่างตายตัว

เรื่องทุกเรื่องที่คิดไม่ออก นางล้วนใช้มุมมองของหลักการทั่วไปมาคิดให้ออก

แต่จิ่วซานปั้นไม่ใช่ จิตใจเขายืดหยุ่นพลิกแพลงนัก

จึงไม่เคยใช้เหตุผลที่ทุกคนใช้กัน แต่ใช้เหตุผลที่ตนเองพอใจ

เมื่อพบเจอเรื่องที่คิดไม่ออก จิ่วซานปั้นมักปั้นแต่งเหตุผลให้มัน แม้ต้องเขียนนิทานเด็กเพื่ออธิบายให้ชัดเจนก็ตาม

เช่นเรื่องเต่านี้

สำหรับเรื่องนี้ จิ่วซานปั้นถึงขั้นคิดว่าเพราะมนุษย์ริษยาเต่า จึงใส่ความหมายร้ายๆ ให้มัน

หนึ่งเพราะเต่าอายุยืน มีชีวิตอยู่ได้นาน

เรื่องเวลาในชีวิตสั้นนัก วันเวลามีไม่มากก็เป็นคำถามชั่วนิรันดร์ที่ทำให้ผู้ฝึกตนและเหล่าบัณฑิตต้องทอดถอนใจมาแต่โบราณกาลอยู่แล้ว

ฉะนั้น ผู้คนจึงริษยาที่มันมีเวลามากกว่าตน

สองเพราะเต่ามีกระดอง

ไม่ว่าที่ใดเวลาใด พบเจอสถานการณ์เช่นไร หรือต้องซัดเซพเนจร เพียงเอาหัวและขาทั้งสี่หดเข้าไปในกระดองก็นับได้ว่ากลับถึงบ้านแล้ว

เมื่อนั้น ลมพัดไม่โดน ฝนสาดไม่กลัว

ความสุขสงบยากไขว่คว้า ฉะนั้นผู้คนจึงพากันริษยา

แต่หอยทากก็มีเปลือก เหตุใดผู้คนจึงไม่เอาหอยทากมาด่าคนบ้างล่ะ

ก็เพราะหอยทากไม่ได้มีชีวิตยืนยาวเช่นเต่า

ฉะนั้น เหตุผลทั้งสองข้อนี้จึงสนับสนุนกัน

เมื่อริษยานานวันเข้าก็จะเกิดเป็นความเกลียดชัง

เมื่อเกิดเป็นความเกลียดชังก็ต้องการไปทำลาย

แต่ผู้ใดจะสามารถสังหารเต่าในโลกหล้าได้ทั้งหมด

จึงได้แต่ทำให้ชื่อเสียงของมันย่ำแย่ เพื่อทำให้ตนเองสาแก่ใจทั้งที่ปากและที่ใจ

เมื่อคิดถึงตรงนี้จิ่วซานปั้นก็สาแก่ใจยิ่งเช่นกัน

เพราะในที่สุด เขาก็เกลี้ยกล่อมตนเองได้แล้ว

หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าภายในหัวของจิ่วซานปั้นกำลังเกิดความคิดคดเคี้ยวไปมาเช่นนี้ จะอย่างไรขอเพียงเขาไม่ไล่เลียงเรื่องนี้อีกก็นับว่าดีแล้ว

สิ่งที่ทุกคนคิดไม่ถึงก็คือ ต่อจากนั้นจิ่วซานปั้นกลับไปใคร่ครวญอีกเรื่องหนึ่ง

นั่นก็คือ ยามผู้คนอวยพรให้มีอายุยืนยาวมักพูดประโยคหนึ่งว่า ‘โชคดังทะเลตงไห่ อายุยืนเทียบเขาหนานซาน’

ให้มีโชคเช่นทะเลตงไห่ก็ยังพอเข้าใจได้

แต่อายุยืนเทียบเขาหนานซานกลับฝืนเชื่อมโยงกันเกินไป

ถึงอย่างไรภูเขาก็เป็นของที่ตายตัว

แล้วของที่ตายตัวจะใช้อวยพรเรื่องอายุได้อย่างไร

ไม่สู้อวยพรให้คนมีอายุยืนเท่าเต่า

เพียงเพราะปัญหาข้อนี้เขายังหาเหตุผลมาอธิบายให้กระจ่างทั้งหมดไม่ได้ เขาจึงยังไม่พูดเรื่องนี้กับหลิวรุ่ยอิ่ง

“เต่าหัวหด สุราของท่านอยู่นี่! กลัวท่านดื่มไม่พอจึงซื้อมาให้ท่านเพิ่มอีกหน่อย”

ทังจงซงเอาไหสุราสามไหผลักเข้าไปใต้เตียงพลางเอ่ย

จากนั้นก็ลุกขึ้นและตบฝุ่นดินที่กางเกง

“ยังไม่ได้แนะนำเจ้าทั้งสองให้รู้จัก…”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวพลางชี้ไปยังเจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาล

“ไม่ต้องๆ ที่นี่ไม่เหมาะสม!”

ทังจงซงรีบโบกไม้โบกมือขัดคำหลิวรุ่ยอิ่ง

“ไม่เหมาะสมหรือ แล้วเจ้าต้องการที่เช่นใดจึงจะเหมาะสม”

หลิวรุ่ยอิ่งถามด้วยรอยยิ้ม

เขารู้ว่าเมื่อทังจงซงได้พบสตรีเช่นเจ้าหมิงหมิงจะต้องเอาไปอวดอ้างไม่ขาดปากเป็นแน่

“อย่างน้อยก็ต้องมีสุราอาหารดีๆ มาจัดวาง ได้นั่งสบายๆ จึงจะได้ ที่นี่สกปรกรกรุงรัง หากว่าข้าน้อยฟังถ้อยคำจากริมฝีปากแดงงดงามของแม่นางพลาดไปสักคำ ก็ไม่ใช่ว่าน่าเสียดายเหลือเกินหรอกหรือ!”

ทังจงซงกล่าว

“เช่นนั้นก็ต้องอาบน้ำ จุดธูป ถือศีลกินเจสามวันใช่หรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งพูดกระเซ้า

“เรื่องนี้…ไม่จำเป็น แต่โบราณมามีแต่ยอดฝีมือรอหญิงงาม หากให้แม่นางต้องรอข้าถึงสามวัน จะไม่ผิดบาปเอาหรอกหรือ”

ทังจงซงกล่าวพลางยกมือขึ้นไหว้ไปทางประตู

ปากพึมพำประโยคหนึ่งไม่รู้ว่าเป็นนามประเสริฐของเทพจากที่ใด

ทว่าตามความเข้าใจที่หลิวรุ่ยอิ่งมีต่อเขา ก็รู้ว่าเป็นไปได้แปดส่วนว่าเขาแต่งขึ้นเอง

ทังจงซงโตมาจนป่านนี้ คาดว่าแม้แต่ประตูศาลเจ้าหันหน้าไปทางใดก็ยังไม่รู้ แล้วจะจำนามของเทพได้อย่างไร

แต่ประเด็นนี้หลิวรุ่ยอิ่งคิดผิดเสียแล้ว

ทังจงซงกลับรู้ว่าประตูศาลเจ้าของเทพต่างๆ หันหน้าไปทางทิศใด

นั่นเพราะศาลเจ้าในหัวเมืองรัฐติงกระทั่งภายในรัฐติงล้วนถูกเขาระรานมาจนเกือบหมด

ทั้งสีแดงสีขาว น้ำหมึก และของสกปรกนานา เขาล้วนเคยเอาใส่ถังยกไปสาดที่ประตูศาลเจ้ามาแล้วทั้งสิ้น

ดังนั้น เขาย่อมรู้ว่าประตูหันไปทิศใด

“สหายของท่านผู้นี้กลับพูดเก่งกว่าท่านมากนัก”

เจ้าหมิงหมิงกล่าว

“คุณหนูเจ้าคะ เรียกว่าพูดเก่งที่ไหนกัน! เห็นชัดอยู่ว่าพูดจาปลิ้นปล้อนนัก!”

เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยพลางเข้ามาขวางด้านหน้าเจ้าหมิงหมิงคล้ายว่าทำเช่นนี้แล้วทังจงซงอยู่ห่างจากคุณหนูของตนออกไปอีกเล็กน้อย

“ปากทึ่มๆ ของท่านนั้นยังดีกว่าคนช่างพูดมีลูกไม้มากนัก! โดยทั่วไปแล้วคนปากทึ่มจิตใจล้วนซื่อตรง!”

เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวและหันไปชี้หลิวรุ่ยอิ่ง

หลิวรุ่ยอิ่งลูบศีรษะอย่างเคอะเขิน

เขาไม่รู้ว่าตนเองควรดีใจหรือควรสลดกับเรื่องนี้ดี

ปากทึ่มไม่ใช่เรื่องดี

ว่ากันว่าคนช่างพูดจึงจะมีข้าวกิน

คนปากทึ่มจะได้กินแค่ข้าวเหลือ หรือถึงขั้นต้องหิวอยู่บ่อยครั้ง

แต่จิตใจซื่อตรง กลับเป็นคำชมที่ดีจริงๆ

……………………

ทั้งห้าคนเดินออกมาจากบ้านผุพัง

ทังจงซงที่เดิมทีคึกคักลิงโลดกลับอยู่รั้งท้ายเพียงลำพัง

เขามองแผ่นหลังของเจ้าหมิงหมิง ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเหมือนกับร่างของคนผู้หนึ่งที่อยู่ส่วนลึกในใจ

ร่างคนผู้นั้นก็เป็นแม่นางผู้หนึ่ง

แม้ไม่ได้มีราศีเจิดจรัสมาแต่กำเนิดเหมือนที่มีในตัวของเจ้าหมิงหมิง แต่ก็มีความอบอุ่นอ่อนโยนทั่วทั้งตัว

ยามนั้นนางถือร่มกระดาษเคลือบน้ำมัน

สวมชุดสีฟ้าครามทั้งตัว

เดินเงียบๆ อยู่บนถนนในหัวเมืองรัฐติง

ประจวบเหมาะกับที่ทังจงซงกำลังดื่มสุราอยู่ในเหลาสุราริมถนนพอดี

ที่นั่งของเขาจะต้องเป็นห้องส่วนตัวติดถนนเสมอ

ช่างบังเอิญยิ่งนัก

เขาเกิดอยากผลักบานหน้าต่างออกเพื่อมองถนนข้างนอกพอดี

ช่างบังเอิญยิ่งนัก

เขามองเห็นแม่นางชุดฟ้าครามผู้หนึ่งกำลังถือร่ม

เวลานั้นเป็นต้นฤดูเหมันต์

เดิมทีหัวเมืองรัฐติงก็ไม่มีฝนมากมายเท่าไรอยู่แล้ว

เมื่อแม่นางผู้นี้กางร่มจึงดูผิดแปลกนัก

ร่มบังเอาไว้

ทังจงซงจึงมองใบหน้าของแม่นางผู้นี้ไม่ชัด

ทว่าแค่ร่างของนางก็สามารถดึงดูดเขาจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว

ราวกับว่าถ้าไม่ได้สนทนากับนางสักประโยคก็จะทนไม่ได้

ทังจงซงกระโดดลงจากหน้าต่าง

ยืนอยู่ตรงหน้าแม่นางผู้นี้

“แม่นางมาจากที่ใดหรือ”

ทังจงซงถาม

“จากทางใต้”

แม่นางกล่าว

“จากอาณาจักรผิงหนานอ๋องหรือ ที่นั่นห่างจากหัวเมืองนี้ไกลยิ่งนัก”

ทังจงซงกล่าว

ร่มของแม่นางอยู่ต่ำและบังจนมิดชิด

แม้จะหันหน้าหากัน แต่ทังจงซงก็ยังเห็นใบหน้านางไม่ชัด

“อืม ไกลยิ่งนัก”

แม่นางตอบเสียงเบา

“มาทำธุระที่หัวเมืองรัฐติงหรือ”

ทังจงซงถาม

เขาคิดว่าเมื่อคนออกเดินทางไกล หากไม่มาทำธุระก็จะต้องมาเยี่ยมเยือนญาติมิตร

คนในหัวเมืองรัฐติงไม่ค่อยมีบ้านหรือญาติอยู่ที่อาณาจักรผิงหนานอ๋อง

นั่นเป็นเหตุผลที่ทังจงซงถามเช่นนี้

“มาชมหิมะ”

แม่นางกล่าว

………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท