บทที่ 204 แก่นแท้พฤกษาอัคนี เมฆาวารีหรรษา-5
“แต่ว่าข้าต้องการถุงเงินของข้า…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยเสียงอ่อย
“ถุงเงินนั่นมีความสำคัญอะไรเป็นพิเศษหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เพราะเขาคิดไม่ออกจริงๆ
เหตุใดคนที่ไม่สนใจสิ่งใดเช่นเกาลัดคั่วน้ำตาลถึงได้หมกมุ่นกับถุงเงินใบหนึ่งได้ถึงเพียงนี้
“คุณหนูทำมันให้ข้า…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลแอบเหลือบมองเจ้าหมิงหมิงและกล่าว
“ไม่เป็นไร ข้าทำให้เจ้าได้อีกใบ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ใบที่สองหาได้เหมือนเดิมไม่ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นข้าที่ไม่ระวังจนมันหายอีกต่างหาก”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
นางรู้ตัวว่าผิด จึงมีท่าทางไม่มั่นใจเช่นในยามปกติ
เจ้าหมิงหมิงลูบศีรษะเกาลัดคั่วน้ำตาล
แล้วก้าวออกไปข้างหน้า
หยดสุราบนฟากฟ้าตกลงมาจนหมดแล้ว
ยามนี้กลับมาชัดเจนแจ่มแจ้งอีกหน
เจ้าหมิงหมิงเดินไปข้างหน้าช้าๆ
พลางจิ้มตรงจุดที่หยดสุราดีดออกมาก่อนหน้านี้
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นภาพตรงหน้าเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง
เพียงชั่วพริบตา
ประตูหอจันทร์กระจ่างเผยตรงหน้า
“ค่ายกลทลายแล้ว”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
แต่เขากลับเห็นป้ายตั้งหน้าประตูหอจันทร์กระจ่าง
ด้านบนเขียนเอาไว้ว่าวันนี้ร้านปิด
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
อันดับแรกมีค่ายกลอยู่หน้าประตู
ต่อมาวันนี้หอจันทร์กระจ่างปิดร้าน
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นที่ชั้นบน
เดินเข้าไปดูเสียหน่อย
ความระเกะระกะเมื่อคืนถูกจัดการอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
มองไม่เห็นร่องรอยการต่อสู้ใดๆ แม้แต่น้อย
แม้แต่สะพานนกกางเขนที่ถูกกระแทกพังยังซ่อมแซมกลับคืนดังเดิม
แต่ในเมื่อกลับมาเป็นปกติแล้วเหตุใดวันนี้ต้องปิดร้านด้วยเล่า
หลิวรุ่ยอิ่งลองเรียกอยู่หลายหน
กลับไม่มีผู้ใดออกมาตอบรับ
เด็กรับใช้ทั้งหมดในหอจันทร์กระจ่างถูกจินเฉาโหย่วเยวี่ยใช้คำว่าวันหยุดแยกย้ายกันไปแล้ว
ยามนี้คงจะถือเงินเที่ยวเตร่อยู่แห่งหนใดแล้วก็ไม่รู้
แต่ว่าถุงเงินของเกาลัดคั่วน้ำตาลยังตกอยู่บนชั้นห้า
ดังนั้นทั้งสามคนจึงเดินขึ้นบันไดไป
ทุกย่างก้าวบนขั้นบันได
ความไม่สบายใจของหลิวรุ่ยอิ่งจะเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน
เงียบสงบจนเกินไป
แม้ว่าผู้ใดก็ต้องการพื้นที่เงียบสงบและสันโดษ
แต่การเงียบเกินไปก็ดูผิดปกติอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะสถานที่โอ่อ่ามีชีวิตชีวาเช่นหอจันทร์กระจ่างนี้
หลิวรุ่ยอิ่งจงใจเหยียบบันไดใต้ฝ่าเท้าให้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด
เพื่อทำลายความเงียบที่แห่งนี้
ครั้นถึงชั้นห้าแล้ว
ประตูแง้มไว้
เสียงรินสุราดังมาจากข้างในประตู
หลิวรุ่ยอิ่งจึงรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วน
ผลักประตู
จินเฉาโหย่วเยวี่ยยังคงนั่งดื่มสุราอยู่ริมโต๊ะ
แต่สตรีเล่นว่าวเอนกายนอนตะแคงบนโต๊ะรินสุราจอกแล้วจอกเล่าให้เขา
แต่เมื่อเห็นชายเป่าขลุ่ยนอนหมดสติอยู่บนพื้น ทำให้หัวใจของหลิวรุ่ยอิ่งที่เพิ่งโล่งใจไปเมื่อครู่ยกขึ้นมาอีกครั้ง
เขารู้ว่าจินเฉาโหย่วเยวี่ยต้องมีความลับมากมายซ่อนอยู่
และความลับเหล่านี้ก็เป็นทั้งภาระและเป็นต้นทุนทำให้เขาตั้งตัวได้เช่นกัน
“นายกองหลิว”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเห็นหลิวรุ่ยอิ่งเดินเข้าประตูมาจึงวางจอกสุราลงและกล่าว
เขารู้จักชื่อของหลิวรุ่ยอิ่ง
แต่เขาจงใจเรียกตำแหน่งทางการ
เพราะชื่อของกรมสอบสวนกลางโด่งดังยิ่งกว่าตระกูลโอวอย่างยิ่ง
และเป็นตัวละครที่สตรีเล่นว่าวไม่อาจทำให้ขุ่นเคืองได้
ส่วนเจ้าหมิงหมิง เขาไม่รู้เบื้องหลัง
เพียงคิดว่านางเป็นบุตรสาวคนโตตระกูลมั่งคั่ง
จินเฉาโหย่วเยวี่ยพยักหน้าให้เจ้าหมิงหมิง
ก็นับว่าเป็นการทักทาย
“เรามาเอาของบางอย่าง เกรงว่าเมื่อคืนจะทำมันตกไว้ที่นี่ ขออภัยที่มารบกวน ไม่ทราบว่าท่านสะดวกหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งประสานมือกล่าว
“ถุงเงินของคุณหนูท่านนี้กระมัง”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยมองเกาลัดคั่วน้ำตาลแล้วกล่าว
“ไม่ผิด ถุงเงินนั่นสำคัญต่อนางยิ่ง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“แน่นอนๆ…สิ่งนี้ไม่แบ่งแยกคุณค่า เพียงท่านรู้สึกว่ามันสำคัญ เช่นนั้นก็สำคัญ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
แต่ไม่ได้มีท่าทีจะตั้งใจลุกขึ้นมาคืนของ
ถุงเงินก็ไม่คืนมาเช่นกัน
“เพียงแต่ตอนนี้ข้าไม่อาจคืนให้กับท่านได้แล้ว”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“เพราะเหตุใดกัน”
เขารู้ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับสตรีรินสุราและชายที่นอนอยู่บนพื้นเป็นแน่
แต่ในยามนี้ทำได้เพียงแสร้งมองแต่ไม่เห็น เห็นแต่ไม่รู้เท่านั้น
“เพราะตอนนี้ทั้งร่างกายของข้าที่ขยับได้ นอกจากปากแล้วก็เหลือเพียงแขนขวา”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งขมวดคิ้วมุ่น ไตร่ตรองความหมายในคำพูดของเขาอย่างละเอียด
“หากท่านไม่สะดวกละก็ รบกวนบอกสถานที่ได้หรือไม่ ข้าจะไปเอามันเอง”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยปากพูด
“สถานที่นั้นมีเพียงข้าเปิดมันได้ หากบอกพวกท่านว่าอยู่ที่ใดก็ไม่อาจเปิดมันได้อยู่ดี”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงไม่อาจไปที่นั่นได้เล่า”
เจ้าหมิงหมิงถามต่อทันควัน
“เพราะข้าถูกคนวางยาพิษ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยชี้สตรีเล่นว่าวข้างกาย
“วางยาพิษหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามด้วยความตะลึง
“ถูกต้อง วางยาพิษ นางก็ต้องการให้ข้าพานางไปที่นั่นด้วย เพียงแต่ข้าไม่ต้องการพานางไป นางจึงวางยาพิษใส่ข้า ถือเป็นการข่มขู่กระมัง”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
ครั้นกล่าวจบ
ก็ยกจอกสุราขึ้นดื่ม
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกสับสนกับความสัมพันธ์อันซับซ้อนในห้องนี้ชั่วครู่
แต่เขาก็ยังคิดออกอย่างรวดเร็ว
จินเฉาโหย่วเยวี่ยมาไม้นี้ช่างฉลาดยิ่งนัก
ในเมื่อพวกท่านต้องการถุงเงินนั่นก็ต้องช่วยข้าแก้พิษเสียก่อน
หากต้องการแก้พิษให้ข้า ย่อมต้องเอายาแก้พิษจากในมือสตรีเล่นว่าว
แต่นางจะส่งมอบยาแก้พิษอย่างง่ายดายได้อย่างไร
มันจะเป็นพายุนองเลือดอีกแน่นอน
มองออกได้ว่า
สตรีเล่นว่าวไม่ต้องการให้จินเฉาโหย่วเยวี่ยตาย
นางเพียงอยากให้เขาอยู่อย่างเจ็บปวด
ใช้วิธีนี้บังคับให้เขาไปยังที่สถานที่นั้น
“อยากให้ข้าแก้พิษให้เขาง่ายยิ่งนัก เพียงพวกท่านเกลี้ยกล่อมเขาพาข้าไปที่แห่งนั้น ข้าจะรีบแก้พิษให้เขาทันที จากนั้นพวกท่านก็หยิบถุงเงินของพวกท่าน ส่วนข้าก็ได้ในสิ่งที่ข้าต้องการ”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
“ข้าจะคืนถุงเงินคืนให้พวกท่านแน่นอน แต่ข้าไม่อาจให้สิ่งที่นางต้องการเด็ดขาด”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
สถานการณ์ดำเนินไปถึงทางตันทันที
จินเฉาโหย่วเยวี่ยและสตรีเล่นว่าวกล่าวอย่างตรงไปตรงมายิ่งนัก
คนหนึ่งเพียงต้องการแก้พิษ
คนหนึ่งกลับต้องการเอาบางอย่างจากสถานที่นั้น
แต่สตรีเล่นว่าวไม่แก้พิษให้เว้นแต่ว่านางจะได้รับสิ่งนั้น
ไม่ว่าจินเฉาโหย่วเยวี่ยจะแก้พิษได้หรือไม่ล้วนไม่ยอมมอบสิ่งนั้นให้นาง
ปัญหาแก้ยากเสมือนทางตันเช่นนี้ล้วนส่งไปยังหลิวรุ่ยอิ่ง
“พวกเราไม่เอาแล้ว”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยปากพูด
สั่งเกาลัดคั่วน้ำตาลเตรียมจากไปทันที
แม้ว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลจะตัดใจไม่ลง แต่ก็ไม่กล้าขัดความปรารถนาของคุณหนูนาง
จำต้องยอมแพ้ไป
เดินตามหลังเจ้าหมิงหมิงไปด้วยความโกรธ
เท้าสองข้างเตะสะเปะสะปะ
เตะผงไข่มุกที่กองบนพื้นกระจัดกระจายไปทั่ว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่อยากลุยน้ำโคลนนี้จริงๆ
เห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนในห้องมีอดีตอันลึกล้ำและความเศร้าขุ่นเคืองหนักหน่วงยิ่ง
แต่เดิมทีเขาเพียงมาเอาถุงเงินเป็นเพื่อนเจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาล
ตอนนี้เจ้าของจริงๆ กล่าวว่าไม่ต้องการแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องดึงดันต่อไป
“ขอตัว!”
หลิวรุ่ยอิ่งประสานมือให้จินเฉาโหย่วเยวี่ยและกล่าว
“นายกองหลิว”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเอ่ยปากเรียกหลิวรุ่ยอิ่งไว้
“ประมุขหอจินเฉามีธุระใดหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างสุภาพมาก
แต่ก็ยังไม่หมุนกายหันกลับมา
ความตั้งใจจากไปยังคงแน่วแน่ยิ่ง
“ถุงเงินนั่นไม่เกี่ยวข้องกับท่าน แต่ข้ายังเก็บม้วนหนังสือทางการหลายร้อยฉบับไว้ที่นั่น”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“หนังสือทางการหรือ หนังสือทางการประเภทใด”
หลิวรุ่ยอิ่งถามอย่างกระตือรือร้น
เขานึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ไปห้องเก็บบันทึกของหอทรงปัญญาในวันนั้นและไม่พบอะไรเลย
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเปิดกิจการในหอทรงปัญญามานานแล้ว
ผู้ที่เข้าออกหอจันทร์กระจ่างล้วนมั่งคั่งและสูงส่ง
บางทีในหนังสือทางการเหล่านี้อาจพบเบาะแสลอบโจมตีตนและการเสียชีวิตของเหลี่ยงเฟิน ยังมีการบาดเจ็บของโอวเสี่ยวเอ๋ออีกด้วย
“มีทุกประเภท ตี๋เหว่ยไท่ชอบกินสิ่งใดดื่มสิ่งไหน ฉางอี้ซานชอบฟังแม่นางคนไหนร้องบรรเลงเพลงใดที่สุด รวมถึง…เหตุใดลู่หมิงหมิงจึงออกจากหอทรงปัญญาในปีนั้น”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
สองเรื่องแรกไม่ต้องเอ่ยถึง
แม้ว่าจะสามารถตอบสนองความใคร่รู้ของผู้คนได้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยสิ่งใดหลิวรุ่ยอิ่งเลย
แต่เรื่องสุดท้ายกลับเป็นความลับของหอทรงปัญญา
หลิวรุ่ยอิ่งเคยลองถามลู่หมิงหมิงอาจารย์ของเขาแล้ว แต่ลู่หมิงหมิงเบี่ยงประเด็นด้วยวิธีชาญฉลาดยิ่งนัก
ด้วยเหตุนี้เขาจึงสรุปได้ว่าต้องมีความลับสำคัญบางอย่างอยู่แน่นอน
คิดไม่ถึงว่าจินเฉาโหย่วเยวี่ยจะรู้เหตุและผลที่ซ่อนอยู่ทั้งยังบันทึกไว้ในหนังสือทางการอีกด้วย
จากสิ่งนี้จะเห็นว่า ไม่มีสิ่งใดบอกได้ว่าหนังสือทางการเหล่านี้จะช่วยได้จริงหรือไม่
……………………………………………..