บทที่ 209 แก่นแท้พฤกษาอัคนี เมฆาวารีหรรษา-10
ไม่ใช่เขาเล่นสนุกจนพึงใจแล้ว
แต่เขาไม่มีเงินแล้วต่างหาก
ยิ่งกว่านั้นก็ถึงเวลาแล้ว
ได้เวลาไปคุ้มภัยแล้ว
ยามนั้นเป็นช่วงวสันต์ฤดู
ทุกสิ่งผลิดอกออกใบเจริญเติบโต
หิมะเบาบางดุจกีบม้า
เซียวจิ่นข่านไม่นึกสงสัยสิ่งที่เขาคุ้มภัยอยู่คือสิ่งใด
เขาเพียงเร่งรีบคุ้มภัยไปยังสถานที่แห่งนั้นโดยเร็ว จากนั้นกลับมารับเงินอีกครึ่งหนึ่งจากผู้ว่าจ้างแล้วกลับไปเล่น ‘โยนแท่งเงินลงกระโถน’ ที่หอนางโลม
ทว่าภารกิจคุ้มภัยนี้ใช้เพียงตบะวิถียุทธ์อย่างเดียวไม่พอ
ยังต้องเพิ่มความระมัดระวังแปดส่วน โชคสองส่วน
เซียวจิ่นข่านไม่ระวัง
และไม่มีโชคเช่นกัน
ของคุ้มภัยย่อมหายไปเป็นธรรมดา
แต่เขาก็เป็นคนที่รักษาความน่าเชื่อถือและเป็นคนที่รักษาหน้าอย่างยิ่งเช่นกัน
ดื่มน้ำลำธาร กินผลไม้ป่าตลอดทางและฝืนไล่ตามของคุ้มภัยกลับคืนมา
หลังจากภารกิจเสร็จสิ้น ผู้ว่าจ้างซึ้งใจในวิธีการของเขายิ่งนักจึงมอบเงินให้เขาสองเท่า
แต่เซียวจิ่นข่านกลับไม่ต้องการ
เพราะเขารู้สึกว่าเป็นความผิดพลาดของตน
แม้ว่าจะส่งถึงปลอดภัย แต่กระบวนการไม่สมบูรณ์ก็คือไม่สมบูรณ์
ฉะนั้นเขาจึงไม่ขอรับเงินเหล่านั้น
แต่เมื่อไม่มีเงินก็ไม่สามารถเล่น ‘โยนแท่งเงินลงกระโถน’ ได้
ดังนั้นเขาจึงนำม้า กระบี่และเสื้อผ้าอาภรณ์ดูดีที่ซื้อก่อนหน้านี้ทั้งหมดขายทิ้ง
ได้เงินมาก็เข้าหอนางโลมอีกหน
หนนี้เขาไม่ได้ถูกไล่ตะเพิดออกมา
แม้ว่าเขาจะใช้เงินจนเกลี้ยง แต่หนนี้เขาใจเย็นไม่ผลีผลาม
เพียงแต่ไม่มีม้า ไม่มีกระบี่และไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ดีๆ
ก็ไร้หนทางเป็นผู้คุ้มภัยอีกต่อไป
ดังนั้น ‘สำนักคุ้มภัยเส้นรุ้ง’ คุ้มภัยเพียงหนเดียวจึงเร้นกายอยู่ในยุทธภพ
แม้ตบะวิธียุทธ์ของเซียวจิ่นข่านจะถึงขั้นบรมภูมิพิชิตแปดทิศก็ตาม
แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบรมภูมิก็จำเป็นต้องกินต้องใช้
เกรงว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบรมภูมิที่น่าสงสารที่สุดในใต้หล้า
เพราะหลังจากที่เขาออกจากหอนางโลมแม้แต่อาหารเย็นก็ไม่ตกถึงท้อง
เขาเตร่บนถนนอย่างไร้จุดหมาย
แต่กลิ่นไก่ขอทานและปลากะพงนึ่งโชยเข้าจมูกเขา พาเขาไปยังโรงเตี๊ยม
เขาไม่มีแม้แต่เงินสั่งสุราอาหารหนึ่งโต๊ะ
แต่เขาก็ไม่ได้กังวลใจใดๆ
เพราะยังมีเสื้อผ้าอาภรณ์ดูดีติดตัวชิ้นสุดท้ายเหลืออยู่
“ท่านลูกค้า ท่านมาทานอาหารหรือพักแรมขอรับ”
“ทานอาหาร!”
เซียวจิ่นข่านกล่าวอย่างมั่นใจ แต่แท้จริงแล้วไม่มีเงินในกระเป๋าสักแดงเดียว
“ห้องโถงหรือห้องส่วนตัวขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์ถามต่อทันที
“ห้องส่วนตัว!”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มแย้มพร้อมพาเขาขึ้นไปบนชั้นสอง
ในใจพลันคิดว่ามีลูกค้าร่ำรวยมาอีกหนึ่งท่านแล้ว อีกเดี๋ยวเงินรางวัลจะต้องไม่น้อยเป็นแน่
กล่าวไปก็แปลกยิ่ง
เซียวจิ่นข่านไม่ได้รู้สึกกังวลใจแต่อย่างใด
เขารู้สึกว่าหิวแล้วก็ต้องกินข้าว
อีกทั้งการกินอาหารก็ไม่ควรเป็นเรื่องที่ไร้ความใส่ใจ
ย่อมต้องกินในสิ่งที่ชอบและกินอย่างดี
ฉะนั้นเขาจึงมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม
ส่วนจะเกิดเรื่องใดขึ้นหลังจากกินเสร็จแล้ว
นั่นไว้ค่อยคิดหลังจากกินเสร็จ
ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องไปกังวล
จงรู้ไว้ว่าอารมณ์ส่งผลต่อความอยากอาหารยิ่งนัก
หากได้เริ่มกังวลใจกับบางสิ่ง เกรงว่าคงจะกินไก่ย่างได้น้อยลงครึ่งตัว
เซียวจิ่นข่านสั่งอาหารห้าสิบอย่างอย่างกล้าหาญ
ไม่ใช่ว่าเขากินได้มากถึงเพียงนี้
แต่เขาคิดหาวิธีหลบหนีไว้แล้ว
อาหารห้าสิบอย่าง
กินอาหารทุกจานเพียงไม่กี่คำ
อีกทั้งทุกครั้งที่กินลงไป เขาก็จะขมวดคิ้วเป็นปมลึกยิ่งขึ้นเท่านั้น
ราวกับว่ากำลังกินบางอย่างที่น่าพะอืดพะอมไว้ในปาก
ครั้นกินจนถึงอาหารจานสุดท้าย เขาไม่ได้กลืนมันลงไป
แต่กลับถุยออกมาเสียงดัง ‘แหวะ’
เสี่ยวเอ้อร์ตระหนกตกใจ
ในใจพลันคิดว่าคุณชายท่านนี้ป่วยเป็นโรคใดกัน
ผู้ที่กินอาหารห้าสิบอย่างในหนึ่งมื้อ ขออย่าได้เกิดเรื่องขึ้นในร้านของตนเด็ดขาดจึงจะดี
“พวกเจ้าทำอาหารนี้อย่างไรกัน เรียกพ่อครัวมาเดี๋ยวนี้!”
เซียวจิ่นข่านวางท่าและกล่าวอย่างเอาเรื่อง
“เอาเถิดๆ ข้าจะไปคุยกับเขาที่โถงด้านหลังเอง!”
ไม่รอให้เสี่ยวเอ้อร์ได้พูดอะไร เซียวจิ่นข่านโบกมือลุกขึ้นยืนและพูดต่อ
ขณะเดียวกันยังหยิบอาหารหนึ่งจานบนโต๊ะติดมือมาด้วย
“เจ้าทำอาหารจานนี้อย่างไรกัน”
เซียวจิ่นข่านวางจานอาหารนี้บนเขียงในห้องโถงด้านหลังอย่างแรงแล้วกล่าว
อาหารจานนั้นเป็นผัดผักตามฤดูกาล
โรงเตี๊ยมตั้งชื่อหรูหราให้มัน
เรียกว่า ‘แสงจันทร์เหนือสระบัว’
ผักชนิดนี้
เพียงใช้น้ำมันกับเกลือเท่านั้น ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถทำได้
พ่อครัวถูกเซียวจิ่นข่านพล่ามบ่นกะทันหันทำเอามืดแปดด้านจึงมองไปทางเสี่ยวเอ้อร์ข้างหลังเขาอย่างร้อนรน
คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวเอ้อร์จะแบมือ ซึ่งไม่ได้ช่วยเขาแต่อย่างใด
“แม้ว่าจะเป็นอาหารมังสวิรัติ แต่อาหารมังสวิรัติเรียบหรูไม่ฉูดฉาด ทักษะจึงชัดเจนที่สุด! เจ้าดูสิว่าขึ้นฉ่ายแต่ละท่อนที่เจ้าหั่นล้วนไม่เสมอกันมากพอ เมื่อใส่พวกมันลงกระทะแล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะได้รับความร้อนเท่ากัน”
เซียวจิ่นข่านไม่รู้ว่าหยิบตะเกียบคู่หนึ่งมาจากที่ใด
เขี่ยผักขึ้นฉ่ายในจาน ‘แสงจันทร์เหนือสระบัว’ ออกมาทีละก้านและเอ่ยพูด
พ่อครัวมองดูใกล้ๆ ก็รู้สึกว่าที่ตนหั่นก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร อย่างน้อยหากไม่ใช้เครื่องวัดก็ไม่อาจบอกถึงความแตกต่างใดๆ ได้
เซียวจิ่นข่านเห็นว่าไม่สามารถโน้มน้าวพ่อครัวผู้นี้ได้ จึงหันกลับไปหยิบมีดทำครัวขึ้นมา
หยิบหัวไชเท้าสามลูกและแตงกวาห้าลูกออกจากตะกร้า
ในชั่วพริบตา หัวไชเท้ากลายเป็นฝอย แตงกวากลายเป็นแผ่นฝาน
ฝอยหัวไชเท้าเรียวและอ่อนนุ่มดุจหิมะน้ำค้างแข็ง
แตงกวาฝานเบาบางอ่อนนุ่มประหนึ่งลมพัดผ่านหิมะ
มองเห็นร่างคนผ่านหัวไชเท้าฝอยและแตงกวาฝานนี้ได้
พ่อครัวไม่อาจทนต่อความประทับใจกับทักษะใช้มีดที่น่าทึ่งเช่นนี้ได้
ทันใดนั้นจึงขอคารวะเขาเป็นอาจารย์
เซียวจิ่นข่านคิดว่าด้วยตบะขั้นบรมภูมิของตนบวกกับวิชากระบี่ร่ายรำมีดทำครัว หากไม่ตรึงตาตรึงใจเขาก็คงจะแปลก
ทว่าเขาเพียงต้องการฉวยโอกาสกินฟรีมื้อหนึ่ง ไม่ได้ตั้งใจกลายเป็นอาจารย์ของพ่อครัวผู้นี้
ยิ่งกว่านั้น เขาทำอาหารไม่เป็น
ด้วยเหตุนี้จึงหาข้ออ้างถอนตัวลาจากไปก่อน
ส่วนอาหารห้าสิบกว่าอย่าง พ่อครัวตบอกพลางกล่าวว่าเป็นงานเลี้ยงที่เขาคารวะตนเป็นศิษย์
น่าเสียดาย
เมืองจิ่งผิงเล็กเกินไป
แม้ว่าเซียวจิ่นข่านจะเดินช้าเพียงใด กลับไม่มีเวลามากพอจะหวนนึกถึงรายละเอียดช่วงเวลาเหล่านั้นอีกหน
…………………….
ในยามนี้เขามาถึงหน้าร้านอาหารของเยี่ยเหว่ย
เสี่ยวเอ้อร์ พ่อครัว และเถ้าแก่ในร้านอาหารแห่งนี้คือเยี่ยเหว่ย อาจารย์ของเขา
แต่อีกคำถามของเซียวจิ่นข่านในปีนั้น เยี่ยเหว่ยได้ให้คำตอบชัดเจนแก่เขาแล้ว
“เช่นนั้นเหตุใดอาจารย์จึงรับข้าเป็นศิษย์เล่า หรือรู้สึกว่าข้ากลายเป็นคนตาบอดแล้วน่าสงสารยิ่ง”
เซียวจิ่นข่านกล่าวถาม
“คนน่าสงสารในใต้หล้ามีมากยิ่ง หากข้าล้วนรับเป็นศิษย์แม้ข้าจะให้ตำแหน่งห้าอ๋อง ข้าก็ต้องให้พวกเจ้าอยู่อย่างยาจก”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“นั่นเป็นเพราะข้าน่าสงสารเป็นพิเศษ”
เซียวจิ่นข่านกล่าวพลางหัวเราะคิกคัก
“จริงอยู่เพราะเจ้าพิเศษ แต่ไม่ใช่เพราะเจ้าน่าสงสารเป็นพิเศษ”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“เช่นนั้นเป็นเพราะสิ่งใด”
เซียวจิ่นข่านเอ่ยถาม
“เพราะไม่ว่าร่างกายและชีวิตของเจ้าจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร เจ้าล้วนเข้าใจและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“ข้าเพียงต้องการแตกต่างและอยากมีชีวิตแตกต่างจากผู้อื่น ตอนที่เพิ่งตาบอดยังหดหู่เศร้าหมองใจนัก แต่ต่อมาข้าก็รู้สึกว่าตาบอดก็ต่างกันมากอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ข้าจึงไม่เศร้าซึมอีก เพราะมันไม่ได้ผิดไปจากความตั้งใจเดิมของข้า”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ครั้นกล่าวจบเขาก็ตะลึงงันอยู่ที่เดิม
เพราะว่าสิ่งที่เคยคิดอย่างไรก็ไม่กระจ่างแต่ก่อนนั้น กลับแจ่มแจ้งชัดเจนโดยไม่ตั้งใจ
อาจารย์ไม่ได้ช่วยเขาก่อนที่เขาจะถูกรมควันตาบอด
เป็นเพราะอาจารย์รู้เจตนาแท้จริงของตนยิ่งกว่าตัวเขาเองเสียอีก
รู้ว่าเขาต้องการสิ่งใดและไขว่คว้าสิ่งใด
“เจ้าเป็นคนพิเศษมีทั้งแก่นแท้พฤกษาอัคนี และเมฆาวารีหรรษา”
เยี่ยเหว่ยกล่าวกับเซียวจิ่นข่าน
…………………..
“ท่านอาจารย์!”
เซียวจิ่นข่านยืนเอามือไพล่หลังตะโกนอยู่หน้าร้านอาหาร
ไม่มีผู้ใดตอบ
แต่เซียวจิ่นข่านกลับได้ยินเสียง ‘ปึงปังตึงตัง’ ดังมาจากห้องโถงด้านหลัง
เขาจึงเดินไปตามหาเสียงจากโถงด้านหลัง
พบว่าเยี่ยเหว่ยอาจารย์ของเขากำลังตีเหล็กกับเถี่ยกวนอินอยู่
พวกเขาทั้งสองกำลังสร้างเตาสำหรับทำอาหารขึ้นมาใหม่
เพิ่มเครื่องสูบลมในเตาหลอม
ขยายปล่องควันบนเตาหลอม
ยามนี้เยี่ยเหว่ยใช้ค้อนขนาดเล็ก เถี่ยกวนอินใช้ค้อนขนาดใหญ่ตอกแท่งเหล็กชิ้นนี้อยู่
“อาจารย์ท่านทำ…”
เซียวจิ่นข่านกล่าวด้วยความประหลาดใจยิ่ง
“เปลี่ยนน้ำ!”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“หือ?”
เซียวจิ่นข่านไม่รู้ว่าเยี่ยเหว่ยกำลังพูดกับผู้ใดจึงไม่ได้โต้ตอบ
“กระตือรือร้นช่วยเด็กน้อยตักน้ำเพียงนั้น อาจารย์สั่งให้เจ้าเปลี่ยนน้ำเย็นหนึ่งถังแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเชียวหรือ”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
เซียวจิ่นข่านยิ้มขมขื่น
แต่ร่างกายกลับไม่เต็มใจ
รีบเปลี่ยนน้ำในถังข้างกายเยี่ยเหว่ยทันที
ดูท่าแล้วใช้สำหรับเอาแท่งเหล็กร้อนชุบน้ำ
เซียวจิ่นข่านไม่รู้ว่าอาจารย์คิดจะทำสิ่งใด
แต่ไม่ว่าอาจารย์ทำสิ่งใด ก็ไม่นับว่าแปลกประหลาดสำหรับเขา
เพียงแต่ไม่ได้พบหน้านานจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เซียวจิ่นข่านไม่รู้ว่าเถี่ยกวนอินคือใคร
รู้เพียงแต่กลิ่นอายของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา
แต่สีหน้าท่าทางดูเหมือนจะมีสมาธิแน่วแน่ยิ่งกว่าเยี่ยเหว่ยเสียอีก
สวมใส่ชุดคลุมสีแดง
แต่ชุดคลุมสีแดงนั้นมีคราบเปื้อนเปรอะ
ดำกับแดง
แม้จะสมบูรณ์แบบ
แต่การผสมผสานเช่นนี้หาชมได้ยากจริงๆ
ยิ่งกว่านั้นใช้เวลาเพียงชั่วครู่
เถี่ยกวนอินจับชุดคลุมสีแดงตัวใหญ่ที่มีค่าเสียจนไม่อาจทำให้เปียกฝนของตนเช็ดหยาดเหงื่อตรงหน้าผากไปสองที
…………………………………………………