ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 219 ลอยไปให้ไกลดั่งควัน-8

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 219 ลอยไปให้ไกลดั่งควัน-8

ห้องลับนี้อยู่ใต้เวทีแสดงละครเดิมของหอจันทร์กระจ่าง

หลิวรุ่ยอิ่งเดินขึ้นมาดูก็พบว่าภายในหอจันทร์กระจ่างยังคงว่างเปล่า

ซุนมู่หนิงและจางจื่อหานก็ไม่รู้ว่าไปที่ใดแล้ว

แต่เขาได้ยินเสียงละครดังเลือนรางมาจากชั้นบน

“แม้นสุราบงกชจะมีกลิ่นหอมแต่ก็ไม่อาจทะลวงบรรพต

ไฉนจึงละทิ้งจิตใจมนุษย์ไปเล่า

แลมองม้าสามตัวลากเกวียนสีดำ

ผู้นั่งข้างในช่างมีใจอารีเสียจริง

เขาบอกพวกเราว่า

มุ่งหน้าไปยังทิศประจิมกระหายตำแหน่งข้าราชการหลวง

ด้วยฝีมือหมักสุรามิเหมือนผู้ใดควรละทิ้งสิ่งที่มี

แต่ไม่อาจละทิ้งสตรีงามในห้องไว้เบื้องหลัง

ความงามซ่อนเร้นในยามมืดมิด

จิตใจตรงกันแต่ไม่อาจเข้ากันได้

ในที่สุดไหสุราก็ตกกระแทกพื้นเสียงดัง

น้ำสุราสาดกระเซ็นทั่วทิศ เปล่าประโยชน์ทุกสิ่ง!”

เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งฟังท่อนนี้ในใจพลันรู้สึกขมปร่า

ดูเหมือนเสียงละครจะเริ่มอีกครั้ง เขากล่าวสิ่งใดก็ฟังไม่เข้าหูแล้ว

จึงก้มศีรษะหดคอและเดินออกจากหอจันทร์กระจ่าง

เจ้าหมิงหมิงกล่าว

นางและเกาลัดคั่วน้ำตาลยังไม่จากไป

เอาแต่อยู่หน้าประตูรอหลิวรุ่ยอิ่งออกมา

ครั้นเห็นใบหน้าของเจ้าหมิงหมิงและได้ยินคำถามของนาง

หลิวรุ่ยอิ่งอดรู้สึกอบอุ่นในใจไม่ได้

แต่ในพริบตาก็นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับจินเฉาโหย่วเยวี่ยอีกครั้ง

ยิ่งกว่านั้นเจ้าหมิงหมิงสตรีผู้นี้ลึกลับจนเกินไป

หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ภูมิหลังของนางแม้แต่น้อย

ยามนี้ ในใจเต็มไปด้วยเรื่องราวของจินเฉาโหย่วเยวี่ย สมองก็เต็มไปด้วยเนื้อขับร้องเมื่อครู่

แม้แต่รอยยิ้มก็ดูจงใจยิ่งนัก

ไม่มีทางเลือก

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวได้เพียงว่าตนต้องเร่งกลับไปอ่านหนังสือทางการเหล่านี้

ใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างบอกลาเจ้าหมิงหมิงอย่างเร่งรีบ

“คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดเขาจึงพิลึกนัก…”

เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม

แต่ก็ยังสัมผัสได้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่เหมือนดังแต่ก่อน

“เพราะเขากำลังเติบโต”

เจ้าหมิงหมิงกล่าว

“เติบโตหรือ เขาโตถึงเพียงนี้แล้วยังจะเติบโตอีกได้อย่างไร หรือว่าจะเติบโตเช่นต้นไม้สูงใหญ่เล่า”

เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวพลางทำท่าทำทาง

“การเติบโตไม่จำเป็นต้องหมายถึงกระดูกร่างกาย แต่มักจะหมายถึงตรงนี้ต่างหาก”

เจ้าหมิงหมิงจิ้มหัวใจของเกาลัดคั่วน้ำตาลแล้วกล่าว

การใช้นิ้วจิ้มทำให้เกาลัดคั่วน้ำตาลรู้สึกจักจี้เล็กน้อย นางจึงหัวเราะทันที

“ยามที่ตรงนี้เติบโต มนุษย์จะแปลกพิลึกไปหรือไม่เจ้าคะ”

เกาลัดคั่วน้ำตาลหยุดหัวเราะแล้วถาม

“ทุกคนล้วนต่างกันกระมัง…เรื่องของมนุษย์ ข้าก็ไม่อาจกล่าวได้”

เจ้าหมิงหมิงมองแผ่นหลังของหลิวรุ่ยอิ่งพร้อมกล่าว

“เช่นนั้นเขาต้องเป็นมนุษย์ที่ตรงนี้เติบโตแล้วจะแปลกไปแน่นอน”

เกาลัดคั่วน้ำตาลชี้หลิวรุ่ยอิ่งสลับกับชี้ที่หัวใจของตนพร้อมกล่าว

“เช่นนั้นรอเขาเติบโตแล้ว จะเปลี่ยนกลับไปเป็นเช่นเดิมหรือไม่”

ครั้นเกาลัดคั่วน้ำตาลเห็นเจ้าหมิงหมิงนิ่งเงียบจึงถามอีกหน

“ไม่รู้ แต่ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนหรือไม่ หรือเปลี่ยนไปเป็นเช่นไร พวกเราก็ควรไปได้แล้ว”

เจ้าหมิงหมิงกล่าว

“เพราะเหตุใดเล่าคุณหนู พวกเราเพิ่งจะมาถึงหอทรงปัญญาไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

เจ้าหมิงหมิงกล่าว

“เพราะเขาก็จะไปแล้ว หากหอทรงปัญญาไร้ผู้ที่น่าสนใจ ที่นี่ก็หาใช่สถานที่ที่น่าสนใจจริงๆ”

เจ้าหมิงหมิงกล่าว

“คุณหนูรู้ได้อย่างไรเจ้าคะว่าเขาจะไปแล้ว”

เจ้าหมิงหมิงกล่าว

“ทุกสถานที่ที่ไปถึงล้วนได้รับหรือสูญเสียบางสิ่ง เขาเติบโตแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็ไม่มีความหมายต่อเขาอีกแล้ว เหตุใดจึงจากไปไม่ได้เล่า”

เจ้าหมิงหมิงย้อนถาม

เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว

“แม้เขาจะน่าสนใจยิ่ง แต่เขาก็บอกลาไม่เก่งจริงๆ”

เจ้าหมิงหมิงกล่าว

นางไม่ได้ตอบคำถามของเกาลัดคั่วน้ำตาล

เพียงแต่เร่งเร้าให้นางกลับโรงเตี๊ยมแล้วเก็บข้าวของให้เรียบร้อย

บางคนมาแล้วก็จากไปเหมือนสายลม

แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีสถานที่ใดให้ค้างแรม

สายลมพัดผ่านภูเขาแม่น้ำตลอดหนึ่งปี จะไกลเพียงแปดหมื่นลี้ได้อย่างไร

คนเช่นนี้ก็เป็นเช่นนี้

สายลมมักจะพัดผ่านสถานที่แห่งหนึ่งให้เต็มไปด้วยความครึกครื้น สุดท้ายก็ไล่ตามเมฆไปไกล

แต่สิ่งที่เจ้าหมิงหมิงกล่าวไม่ผิดเพี้ยน

จริงอยู่ที่หลิวรุ่ยอิ่งต้องจากไปแล้ว

แต่เขาก็บอกลาไม่เก่งจริงๆ

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด

ลาก่อนสองคำนี้ดูเหมือนจะมีพลังวิเศษ ทุกครั้งที่หลิวรุ่ยอิ่งต้องการพูดออกไปมักจะติดอยู่ในลำคออยู่ร่ำไป

กระอักกระอ่วน

กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยสิ่งใด

แต่เซียวจิ่นข่านรู้

หากหลิวรุ่ยอิ่งไม่กล่าวสิ่งใด ยามที่เอาแต่อยู่ข้างกายเจ้าเงียบๆ ก็คือตอนที่เขาต้องจากไปแล้ว

หรือบางทีอาจจะใช้คำพูดไร้สาระเวิ่นเว้อมากมาย ก็เป็นตอนที่เขาต้องจากไปเช่นกัน

มือซ้ายหลิวรุ่ยอิ่งถือจอกสุรา

มือขวาพาดไว้ระหว่างหนังสือทางการหนาปึกสองม้วนนั้น

เขาไม่ได้อ่านหนังสือทางการเหล่านี้โดยละเอียด

เพียงพลิกผ่านไปคร่าวๆ

สิ่งที่สามารถยืนยันได้คือจินเฉาโหย่วเยวี่ยไม่ได้โกหกเขา

จริงอยู่ที่ในหนังสือทางการเหล่านี้มีข้อมูลจริงอยู่บ้าง

แต่เขาไม่มีกะจิตกะใจสืบสาวไปถึงแก่นแท้

ยามนี้เขาเอาแต่ดื่มสุรา

อีกทั้งยังต้องการหาคนดื่มสุรากับเขาด้วย

หลิวรุ่ยอิ่งอุ้มไหสุรา ถือจอกสุราไปยังเรือนของเซียวจินข่าน

เขาเคยรับปากกับเซียวจินข่านไว้

หากธุระเสร็จสิ้นจะมาร่ำสุรากับเขา

แม้ตอนนี้ไม่อาจกล่าวว่าจบสิ้น

แต่เรื่องราวต่างๆ ก็มีข้อสรุปแล้ว

ทว่าก่อนออกไป

หลิวรุ่ยอิ่งวางไหสุราและจอกอีกครั้ง

เขาฉีกเนื้อหาในหนังสือทางการสิบกว่าหน้าใส่ไว้ในอ้อมอกรวมไว้กับ ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ เล่มนั้น

ส่วนที่เหลืออยู่นอกเหนือการควบคุมของเขา

ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งจึงจะจัดเรียงหนังสือทางการเหล่านี้ให้เป็นโครงร่าง

รอกลับไปถึงกรมสอบสวนกลางแล้วส่งมอบโครงร่างและหนังสือทางการทั้งหมดเหล่านี้ ภารกิจนี้จึงนับว่าเสร็จสิ้น

“หอทรงปัญญา…”

หลิวรุ่ยอิ่งพึมพำบางอย่าง

เขาไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ คำว่าหอทรงปัญญาสามคำนี้หลุดออกมาจากปากของตน

ทว่าเขาก็ยังหวังว่าจะสามารถกลับไปเมืองหลวง กลับไปกรมสอบสวน

ไม่ใช่เพราะสิ่งอื่นใด เพียงเพราะสิ่งที่พบเห็นรับรู้ในคราวนี้มากมายจนเกินไป

เขาอยากจะโอ้อวดชายชราเลี้ยงม้านั่นเสียหน่อย

สิ่งนี้ช่วยทำให้เขาไม่มองว่าตนเป็นเด็กหนุ่มเสมอ

เดาว่าแม้เรื่องราวเหล่านี้จะมีสีสันไม่เท่าสิ่งที่เขาประสบมา แต่ก็ไม่ทำให้เขาดูถูกตนอีกต่อไป

ครั้นคิดถึงตรงนี้

แผ่นหลังของหลิวรุ่ยอิ่งมีเหงื่อผุดขึ้นเล็กน้อย

หยาดเหงื่อไหลออกจากรูขุมขนพร้อมกับกลิ่นสุราก่อนหน้านี้

เขาในตอนนี้ดูเหมือนยังไม่ได้ดื่มสุรา

สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ฝีเท้าของหลิวรุ่ยอิ่งก็รวดเร็วขึ้นมากเช่นกัน

เขาคิดว่าอีกเดี๋ยวดวลดื่มสุรากับเซียวจินข่านก็ไร้ความเกรงกลัวแล้ว

เพียงแต่เขาคิดไม่ถึง

เซียวจินข่านไม่ได้อยู่ในเรือน

และไม่อยู่ในหอทรงปัญญา

เขายังประลองมีดกับดรุณสกัดจุดในร้านอาหารที่เมืองจิ่งผิงอยู่

……………………..

มองแวบแรก เซียวจินข่านดูจนตรอกอย่างยิ่ง

ผมเผ้าที่ผูกไว้ยุ่งเหยิง

อาภรณ์บนร่างกายถูกพลังมีดจนเกือบจะขาดรุ่งริ่ง

“ดูเหมือนว่าจะร้อนวิชานัก หรือไม่ก็ฝึกฝนให้เชี่ยวชาญจะดียิ่งกว่า!”

ดรุณสกัดจุดกล่าวอย่างภาคภูมิใจเล็กน้อย

“ร้อนวิชาก็เป็นความสดใหม่ร้อนแรงใช้ได้ในคราวเดียว! ไม่เหมือนฝึกฝนให้ชำนาญที่ต้องกระทำซ้ำ”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“แต่วิชานี้ของข้า ดูเหมือนว่าเจ้าจะทำได้ไม่ดีนัก”

ดรุณสกัดจุดกล่าว

“แม้ทำไม่สำเร็จมิตรภาพยังอยู่ ยิ่งกว่านั้นข้อตกลงนี้เสร็จสิ้นเกรงว่ายังเร็วเกินไปนัก!”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

ดรุณสกัดจุดร้อนรนใจเล็กน้อย

ทั้งๆ ที่เขาใช้พลังไปถึงเพียงนั้น และเซียวจินข่านก็ทรมานจากมีดของตนไปไม่น้อยจริงๆ

เหตุใดจึงพูดจาได้อย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม ทั้งยังเหลือแรงโต้เถียงและเหน็บแนมตนอีก

หากเป็นผู้อื่นก็คงตายไปมากกว่าสามหน

หรืออวัยวะของคนผู้นี้จะทำขึ้นมาจากเหล็ก?

ครั้นสังเกตเห็นอารมณ์แปรปรวนของอีกฝ่าย

เซียวจิ่นข่านก็นึกขำเช่นกัน

แม้สีหน้าจะออกอาการยิ่งนัก แต่กลับหัวเราะโดยไม่ส่งเสียงรบกวนใดๆ

“เหตุใดจึงจงใจหัวเราะไร้เสียง”

ดรุณสกัดจุดถาม

“หัวเราะไร้เสียงคือหัวเราะในใจ ข้าใช้ใจหัวเราะเยาะเจ้า!”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“หัวเราะเยาะข้าทำไม”

ดรุณสกัดจุดถาม

ยามนี้เขาไม่เพียงร้อนรนใจเท่านั้น แต่ยังโกรธเล็กน้อย

“หัวเราะเยาะเจ้า เพิ่งจะผ่านไปเท่าใด ออกมีดไปกี่เล่ม เจ้าก็ไม่อาจระงับโทสะและอ่อนไหวเสียเอง”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

กล่าวจบ งอนิ้วดีดหลังมีด

…………………………………………………..

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน