บทที่ 229 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-4
เด็กหนุ่มเงยหน้าพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด
คนผู้นี้อายุไม่น้อยแล้ว
หากเทียบกับสัตว์ป่าในป่าเขาคงอายุน้อยกว่าหมาป่าออกฝูงตัวก่อนหน้านี้ไม่มากนัก
ผู้เฒ่าคนนี้แต่งตัวหรูหราทีเดียว
บนกระบอกแขนและสาบเสื้อล้วนเย็บปักประณีตซับซ้อน
ระหว่างสองขาที่นั่งขัดสมาธิยังวางกระบี่ล้ำค่าสีท้องนภารูปแบบเรียบง่ายโบราณไว้เล่มหนึ่ง
บนฝักกระบี่ฝังไพลินห้าเม็ด
บนด้ามกระบี่เต็มไปด้วยไข่มุก
“ทำไมน้ำนี้ถึงมีพิษ”
เด็กหนุ่มเอ่ยถาม
“เพราะข้าถูกพิษ และข้ายังล้างแผลในน้ำนี้ด้วย”
ผู้เฒ่ากล่าว
เด็กหนุ่มเบะปาก
จุดที่เขากอบน้ำขึ้นมาเตรียมดื่มก่อนหน้านี้เป็นแอ่งน้ำขังใต้ตาน้ำ
เขาคิดว่าหากผู้เฒ่าอยากล้างแผลให้สะอาดจะต้องล้างในแอ่งน้ำขังนี้แน่นอน
ขอแค่ตนไปจุดที่น้ำยังไม่ไหลลงแอ่งใต้ตาน้ำคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร
“ข้าล้างแผลอยู่ข้างบน และพิษนี้ร้ายแรงอย่างยิ่ง…เกรงว่าน้ำทั้งหมดนี้คงใช้ดื่มไม่ได้ประมาณสามถึงห้าวัน”
ผู้เฒ่าเห็นการกระทำของเด็กหนุ่มและกล่าวต่อ
“เหตุใดท่านถึงเห็นแก่ตัวเช่นนี้”
“คนใกล้ตายยากหลีกเลี่ยงไม่เห็นแก่ตัว”
ผู้เฒ่ากล่าว
“ท่านจะตายแล้วหรือ”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างเหลือเชื่อ
แม้เขาเคยฆ่าสัตว์ป่ามากมาย
แต่กลับไม่เคยเห็นคนตาย
“หากถอนพิษไม่ได้ ไม่เกินสามถึงห้าวันต้องตายแน่”
ผู้เฒ่ากล่าว
เด็กหนุ่มยักไหล่
ทำสีหน้าช่วยไม่ได้
ในเมื่อตาน้ำนี้ดื่มไม่ได้
เขาก็เตรียมเดินทางต่อ
อย่างไรความรู้สึกไม่สบายกายก็เอาชนะได้
แต่ถ้าจิตใจเริ่มเฉื่อยชา
ก็เหมือนโคลนเหลวไม่ติดกำแพง เป็นใครก็หมดเรี่ยวแรง
แต่พอมองเช่นนี้ เด็กหนุ่มเห็นแก่ตัวกว่าผู้เฒ่าคนนี้เสียอีก
เพราะเขาพบคนใกล้ตายแต่กลับเฉยชาเพียงนี้
สามารถหันกายเดินจากไปได้โดยไม่ถามไถ่
สิ่งที่เด็กหนุ่มไม่ได้สังเกตคือผู้เฒ่าคนนี้เอียงศีรษะ ลืมสองตาเล็กน้อย
“เจ้าอยากได้เงินหรือไม่”
ผู้เฒ่ากล่าว
“อยากได้เงินหรือ เพื่ออะไรกัน”
เด็กหนุ่มเอ่ยถาม
เขารู้ว่าเงินคืออะไร
แต่ไม่แน่ใจว่าโดยรูปธรรมแล้วเงินใช้ทำอะไรได้
เพราะถึงเขาจะรู้ แต่ก็ไม่เคยใช้มาก่อน
ผู้เฒ่านึกว่าเด็กหนุ่มจงใจ
เขายังไม่เคยเจอคนที่ไม่อยากได้เงินและไม่รู้ต้องเอาเงินไปทำอะไร
ทว่าในยามนี้เอง เด็กหนุ่มนึกขึ้นได้ฉับพลัน
เขาเคยเดินผ่านร้านสุราแห่งหนึ่ง
กลิ่นที่ส่งมาจากในนั้นเหมือนกลิ่นบนกายเซียวจิ่นข่านตอนนั้นไม่มีผิด
แม้เขาจำหน้าตาคนไม่ได้
แต่เขาไวต่อกลิ่นเป็นพิเศษ
เขาเดินเข้าร้านสุราและชี้ไหสุราบอกว่าตนจะเอา
เจ้าของร้านบอกเขาว่าสุราไหหนึ่งราคายี่สิบตำลึง
เด็กหนุ่มไม่มีเงิน
ได้แต่แค้นใจกลับไป
ยามนี้ได้ยินคนผู้นี้ถามตนว่าอยากได้เงินหรือไม่ ใจเด็กหนุ่มคิดว่าหากมีเงินแล้วก็ไปซื้อสุราไหนั้นให้เซียวจิ่นข่านได้
เขาไม่เข้าใจธรรมเนียมเรื่องของขวัญในการพบหน้า
เขาแค่อยากทำเช่นนี้เฉยๆ
“ท่านให้ข้ายี่สิบตำลึงได้หรือไม่”
เด็กหนุ่มเอ่ยถาม
ผู้เฒ่ายิ้ม
ใบหน้ากระตุกเล็กน้อย
เขานึกว่าเด็กหนุ่มจะเรียกราคาสูงและยกเงื่อนไขที่ไม่อาจเอื้อมมากมาย
แต่นึกไม่ถึงเขากลับต้องการเพียงยี่สิบตำลึง
“ข้าให้เจ้าได้ห้าสิบตำลึง”
ผู้เฒ่ากางฝ่ามือเข้าหาเด็กหนุ่มพลางกล่าว
“แต่ข้าต้องการแค่ยี่สิบตำลึง”
เด็กหนุ่มพูดจบก็ก้าวขาเดิน
เขาไม่รู้ว่าห้าสิบตำลึงสามารถแลกเป็นยี่สิบตำลึงสองครั้งกับอีกสิบตำลึงได้
แต่ผู้เฒ่าเพียงคิดว่าตัวเองเจอคนแปลกอย่างยิ่งคนหนึ่ง
“ได้! ยี่สิบตำลึง ข้าให้เจ้า!”
ผู้เฒ่ากล่าว
พูดจบล้วงเอาแท่งเงินก้อนหนึ่งออกจากในกระบอกแขนเสื้อ
“นี่คือยี่สิบตำลึงหรือ”
เด็กหนุ่มมองแท่งเงินในมือผู้เฒ่าด้วยความประหลาดใจยิ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเงิน
“ไม่เกินสักตำลึง ไม่ขาดสักตำลึง”
ผู้เฒ่ากล่าว
“เหตุใดท่านต้องให้เงินข้าโดยไม่มีสาเหตุด้วยเล่า”
เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยความฉงน
หลังจากดีใจก็ถอยหลังสองสามก้าว กล่าวอย่างระวังตัว
“เพราะข้าอยากให้เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง”
ผู้เฒ่ากล่าว
“เรื่องอะไรหรือ”
เด็กหนุ่มเอ่ยถาม
“ฆ่าคน”
ผู้เฒ่ากล่าว
“คนที่ท่านอยากสังหารไม่มีความแค้นกับข้า เหตุใดข้าต้องไปสังหารเขาด้วยเล่า”
เด็กหนุ่มส่ายหน้ากล่าว
“หลายครั้งการฆ่าคนไม่จำเป็นต้องเคียดแค้น ก็เหมือนตอนนี้ เจ้าอยากได้ยี่สิบตำลึง และข้าอยากให้คนหนึ่งตาย เจ้าช่วยข้าสังหารคนผู้นั้น ข้าให้เจ้ายี่สิบตำลึง ต่างฝ่ายต่างได้สิ่งที่ต้องการ สุขใจกันทุกฝ่าย ไม่ใช่ว่าดีงามมากหรอกหรือ”
ผู้เฒ่ากล่าว
“ท่านเป็นบัณฑิตหรือ”
เด็กหนุ่มถามประโยคหนึ่งฉับพลัน
ผู้เฒ่าชะงัก ไม่ได้ตอบกลับ
“คำแปลกๆ อย่าง ‘ดีงาม’ ต้องมีแต่บัณฑิตถึงจะพูดออกมา”
เด็กหนุ่มถามเองตอบเอง
“จริงแท้ๆ ข้าเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง ลำบากเล่าเรียนสามพันปี ท้องอิ่มตำราหนึ่งแสนม้วน”
ผู้เฒ่ากล่าว
ต่อบทสนทนาของเด็กหนุ่ม
เพื่อให้เขายืนยันฐานะบัณฑิตของตนได้
“ในเมื่อท่านเป็นบัณฑิต คิดว่าเงินนี้คงรับไว้ไม่ได้”
เด็กหนุ่มกล่าว
“ทำไมหรือ”
ผู้เฒ่าเอ่ยถาม
เดิมนึกว่าแกล้งยอมรับว่าตนเป็นบัณฑิตแล้วจะหลอกให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีและเชื่อถือได้เล็กน้อย
ไม่นึกว่าจะผิดพลาดแทนสำเร็จ
“เพราะข้าเคยได้ยินประโยคหนึ่ง ‘คนฆ่าสัตว์มักยึดมั่นในธรรม คนศึกษาเล่าเรียนมักคิดคด’ คิดคดก็คือไม่มีสัจจะไม่ใช่หรือ ท่านเป็นบัณฑิต ดังนั้นท่านไม่มีทางให้เงินข้าแน่ ต่อให้ข้าช่วยท่านสังหารคนก็เหมือนกัน”
เด็กหนุ่มกล่าว
คราวนี้เขาไม่มีความอาวรณ์แต่อย่างใด
ตัดสินใจจะเดินทางต่อ
เสียเวลาอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว
นอกจากไม่ได้ดื่มน้ำแล้วยังกล่าวคำไร้สาระไปไม่น้อยอีกต่างหาก
แต่คำพูดไร้สาระเหล่านี้กลับทำให้เขายิ่งหิวน้ำจนทนไม่ไหว
จิตใจเด็กหนุ่มร้อนรนเล็กน้อย
เขาคิดอยากตะโกนเสียงลั่น
แต่กลางภูเขาค่ำคืนเงียบสงัด
ตะโกนเช่นนี้มีแต่จะทำให้สัตว์ร้ายในป่าตกใจตื่น
เขาจึงกลืนความกลัดกลุ้มนี้ลงไปทั้งอย่างนั้น
กลั่นเป็นพลังเคลื่อนมาบนสองขาและมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ไม่รู้เดินเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว
เด็กหนุ่มรู้สึกหิวกระหายและความเหนื่อยล้าบนกายทำให้เขายากจะทนไหวจริงๆ
ตอนนี้เอง เขาบังเอิญเห็นศาลเจ้าร้างแห่งหนึ่งอยู่ข้างหน้าไม่ไกล
เขาคิดว่าถ้าไม่มีน้ำอาหาร ได้มีที่บังลมหลับเต็มที่สักตื่นก็ไม่เลว!
ตอนเขาผลักประตูศาลเจ้าร้างดัง ‘แอ๊ด’ สิ่งที่สะท้อนเข้าม่านตาเป็นอย่างแรกคือโต๊ะบูชาในศาลเจ้า
เพียงแต่บนโต๊ะบูชานี้ไม่มีของเซ่นไหว้และไม่ได้จุดตะเกียงมานานแล้ว
มีเพียงศพร่างหนึ่ง
ศพของผู้เฒ่าที่จะจ้างเขาฆ่าคนด้วยเงินยี่สิบตำลึงก่อนหน้านี้
มีผู้เฒ่าอีกคนยืนอยู่ข้างศพของผู้เฒ่าด้วย
ผู้เฒ่าคนนี้ยืนนิ่งไม่ไหวติง
เหมือนเสาไม้ต้นหนึ่ง
หากไม่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสิ่งมีชีวิตที่ส่งมาจากตัวเขา เด็กหนุ่มก็คิดว่าผู้เฒ่าที่ยืนอยู่เป็นศพร่างหนึ่งเช่นกัน
แต่ในเมื่อเห็นว่าศาลเจ้าถูกคนจองไว้ก่อนแล้ว
เด็กหนุ่มก็หันหน้ากลับไป
เขาไม่คุ้นชินกับการอยู่รวมกลุ่มกับคนอื่น
แต่ไรมาเขาล้วนเดินท่องป่าเขาตัวคนเดียว เดินทางโดยลำพังทั่วสารทิศ
ก่อนหน้านี้เปิดประตูออกอย่างง่ายดาย ยามนี้กลับทำอย่างไรก็เปิดไม่ออก
“อยากไปก็ย่อมได้ แต่ต้องทิ้งของไว้”
ผู้เฒ่าที่ยืนอยู่กล่าว
เด็กหนุ่มไม่มีของมีค่าอะไรแล้วนอกจากเสื้อผ้าบนกายกับกระบี่ผุพังเล่มหนึ่งตรงเอว
มีของอะไรที่ทิ้งไว้ได้
“หากยังดื้อรั้นพูดไม่รู้ความ ตายแล้วก็อย่าโทษข้า”
ผู้เฒ่าเห็นเด็กหนุ่มนิ่งงันอยู่ที่เดิมจึงกล่าวต่อ
เด็กหนุ่มยิ้มเล็กน้อย
ผู้คนนึกว่าคำพูดเบาหวิวของตนน่าเกรงขาม
ไหนเลยจะรู้ว่าตอนเผชิญหน้ากับพยัคฆ์อ้าปากเปื้อนเลือดกว้าง เด็กหนุ่มไม่กะพริบตาสักครั้ง
“หากท่านไม่ให้ข้าไป ข้าก็สังหารท่านทันที”
เด็กหนุ่มกล่าว
เขาไม่ได้ข่มขู่
และไม่ได้ล้อเล่น
แต่จะทำเช่นนี้จริง
“สังหารข้า? ด้วยอะไร ด้วยแท่งไม้ก่อไฟตรงเอวเจ้ารึ”
ผู้เฒ่ากล่าวเยาะหยัน
เด็กหนุ่มพลันเสียใจเล็กน้อย
เขาเสียใจที่เมื่อครู่ไม่ได้รับปากฆ่าคนผู้นี้ให้ผู้เฒ่าที่กลายเป็นศพบนโต๊ะบูชา
แม้เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าให้ตนฆ่าใคร
แต่เขาคิดว่าต้องเป็นคนตรงหน้านี้แน่
“เพียงแต่สังหารท่านตอนนี้ ข้าไม่ได้เงินยี่สิบตำลึงแล้ว”
เด็กหนุ่มส่ายหน้ากล่าว
นี่ถึงจะเป็นจุดที่เขาเสียใจจริงๆ
“หากเจ้าสังหารข้าได้ ข้าก็ให้เจ้ายี่สิบตำลึง”
ผู้เฒ่าควักแท่งเงินก้อนหนึ่งวางไว้บนโต๊ะบูชาพลางกล่าว
แท่งเงินก้อนนี้เหมือนก้อนที่เด็กหนุ่มเห็นก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
“จริงหรือ”
เด็กหนุ่มจ้องแท่งเงินก้อนนั้นพลางกล่าว
เขาเกลียดผู้เฒ่าตรงหน้ายิ่งนัก
เพราะเขาทั้งไม่ให้ตนออกไป แล้วยังบีบให้ตนส่งของบางอย่างที่ไม่เคยเห็นออกมาด้วย
แต่ถ้าสังหารเขาแล้ว เขาก็ให้ตนยี่สิบตำลึง เด็กหนุ่มพลันรู้สึกว่าเขาน่ารักขึ้นมาบ้างแล้ว
“จะ…”
ผู้เฒ่ายังพูดคำว่าจริงไม่จบ
ก็เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์พร้อมรอยยิ้มอยู่ใกล้ตนมาก
นี่คือใบหน้าของเด็กหนุ่ม
เขารู้สึกประหลาดใจ
ทั้งที่เมื่อครู่เด็กหนุ่มยังยืนอยู่ตรงประตูศาลเจ้าร้างกำลังจะจากไป
ทำไมพริบตาเดียวก็เผชิญหน้ากับตนแล้วล่ะ
เขาคิดจะถอยหลังสองสามก้าวตามสัญชาตญาณ
เพราะเขาไม่ชินกับการอยู่ใกล้คนในระยะขนาดนี้
จากนั้นความเจ็บปวดรุนแรงที่ส่งมาจากลำคอทำให้เขารู้ตัวทันทีว่าตนถูกกลืนกินแล้ว
สิ่งที่ใกล้ชิดกว่าใบหน้าของเด็กหนุ่มคือกระบี่ของเด็กหนุ่ม
ใบหน้าของเด็กหนุ่มยังห่างจากเขากว่าหนึ่งฉื่อ
แต่กระบี่ของเด็กหนุ่มกลับแทงเข้ากลางลำคอเขาหนึ่งฉื่อไม่ขาดไม่เกิน
ผู้เฒ่าล้มลงไปด้านหลังเต็มแรงพร้อมความเหลือเชื่อในดวงตา
“ไม่ว่าขั้นตอนเป็นอย่างไร ผลยังคงเป็นตามความปรารถนาของท่าน ท่านก็เดินทางได้อย่างสบายใจ เงินนี้ข้าไม่เกรงใจแล้ว”
เด็กหนุ่มหยิบเงินบนโต๊ะบูชาขึ้นมาและกล่าวกับศพผู้เฒ่าที่นอนแผ่บนโต๊ะบูชา
เงินก้อนนี้ย่อมใช้ซื้อสุราหนึ่งไห
เจ้าของร้านผู้นั้นจิตใจดี เห็นเด็กหนุ่มท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางจึงมอบตาข่ายให้เขา
เขาใส่ไหสุราลงในตาข่ายแล้วแบกตาข่ายไว้ด้านหลัง
ด้วยเหตุนี้จึงทุ่นแรงไปมากทีเดียว
ขึ้นเขาลงห้วยก็ไม่กลัว
………………..
“ทำไมพวกเจ้าสองศิษย์อาจารย์ถึงทำให้มันลำบากเช่นนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดใส่หลังเด็กหนุ่ม
เสียงพูดของเขาดึงความคิดของเด็กหนุ่มกลับสู่ความเป็นจริง
“เขาฆ่าคน แต่ข้าเกือบถูกคนสังหาร แม้ขั้นตอนของการฆ่าคนลำบากอยู่บ้าง ผลลัพธ์กลับสง่าผ่าเผย แต่การถูกฆ่าไม่ว่าผลลัพธ์หรือขั้นตอนล้วนน่าอายยิ่ง”
เซียวจิ่นข่านรัดเข็มขัดตรงเอวพลางกล่าว
……………………………………….