บทที่ 411 ฝ่าบาทเสียพระทัยยิ่งนัก
บทที่ 411 ฝ่าบาทเสียพระทัยยิ่งนัก
งานเลี้ยงฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฮ่องเต้ต้าเซี่ยในปีนี้ บรรดาตระกูลขุนนางชั้นสูงมาเข้าร่วมเหมือนเช่นทุกครั้ง เพียงแต่ไร้ซึ่งความน่าเกรงขามอย่างที่เคยมี
ไม่เว้นแม้แต่ซ่งไท่ซือผู้ดวงแข็ง เหล่าขุนนางชั้นสูงที่มาร่วมงานล้วนมีสีหน้าย่ำแย่ แต่ก็ยังต้องฝืนยิ้ม
มิรู้ว่าอยากสร้างความรำคาญให้พวกเขาหรือไม่ คนจัดตำแหน่งถึงได้จัดให้พวกเขานั่งตรงข้ามกับเด็กหนุ่มที่ออกจากตระกูลและได้มีการงานมั่นคงในราชสำนัก
ชนิดที่ว่าเงยหน้าขึ้นมาก็เจอทันที
โดยเฉพาะคนที่มักกลั่นแกล้งและดูถูกทั้งยังไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา บัดนี้เมื่อได้เห็นภาพลักษณ์อันสูงส่งของพวกเขาแล้ว ก็รู้สึกราวกับหัวใจกำลังถูกแผดเผาก็มิปาน
“ไอ้ลูกอกตัญญู ไอ้ลูกอกตัญญู!”
บรรดาผู้นำตระกูล พ่อและแม่ใหญ่แทบอยากลุกมาฉีกหน้าพวกเขาเสียตรงนั้น
และที่รับไม่ได้ที่สุดก็คือพวกลูกชายและลูกสาวที่เกิดจากภริยาเอกที่เคยเหยียบย่ำพวกเขาให้จมดิน บัดนี้ฐานะกลับสลับสับเปลี่ยน ต้องเรียกว่าท่านใต้เท้าด้วยความเคารพเมื่อพบหน้ากัน นี่ไม่ต่างอะไรกับตบหน้าแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ ไอ้ชั้นต่ำนั่นมันยั่วโมโหข้า!”
ซ่งฮวนถลึงตาใส่ซ่งชิงอย่างดุร้าย “มันถือสิทธิ์อะไร เป็นแค่เศษสวะ เมื่อก่อนก็เป็นแค่หมาตัวหนึ่งเท่านั้นแหละ!”
“เงียบปาก!”
ซ่งไท่ซือหลับตาลง นึกเสียใจที่มิได้อบรมสั่งสอนลูกหลานให้ดี พวกเขาถึงได้ตะโกนโหวกเหวกโวยวายโดยไม่เลือกโอกาสเช่นนี้ ช่างเป็นการแสดงให้เห็นว่าความจริงแล้วพวกตนโง่เขลาเพียงใด
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ทำเอาเขารู้สึกเหนื่อยล้าไปทั้งกายใจ
หลายตระกูลร่วมมือกันหวังจะลอบกัดบรรดาเด็กหนุ่มพวกนี้ แต่ก็ถูกจัดการไปทีละคน
ต้องบอกเลยว่าสายตาของฮ่องเต้ช่างร้ายกาจอย่างยิ่ง คนที่เขาเลือกล้วนแต่มีความสามารถ ทั้งยังถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
ภายหลังที่ปรับตัวได้แล้วก็รวบรวมพรรคพวกของตนเองอย่างรวดเร็ว สิ่งที่พวกเขาทำสร้างความลำบากให้แก่พวกคนหนุ่มไม่น้อยก็จริง แต่ก็เป็นการฝึกฝนด้วยเช่นกัน
สิ่งนี้เป็นจุดที่ทำให้ซ่งไท่ซืออยากกระอักเลือดมากที่สุด
เขาเองก็อยากบีบคอไอ้คนทรยศซ่งชิงให้ตายไปเสีย แต่หลังจากที่สืบจนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายและแม่ของซ่งชิง เขาก็ระบายความโกรธไปที่ลูกสะใภ้กับหลานชายของตนแทน
“หากไม่ใช่เพราะความริษยาของเจ้า ทั้งยังไม่รู้จักอบรมสั่งสอนลูกชายให้ดี เรื่องราวก็คงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้หรอก!”
ซ่งไท่ซือจ้องลูกสะใภ้ของตนด้วยสายตาดุร้ายเย็นชา
หญิงสาวถูกตำหนิก็หน้าถอดสีในทันใด ในยุคนี้ การถูกด่าทอว่าเป็นพวกอิจฉาริษยา ไม่รู้จักอบรมสั่งสอนลูก สำหรับคนเป็นนายหญิงแห่งตระกูลขุนนางแล้วถือเป็นเรื่องน่าอับอายและหยามศักดิ์ศรีอย่างที่สุด
มิหนำซ้ำยังออกมาจากปากผู้เป็นพ่อตาของนาง เช่นนั้นแล้วสามีของนางก็อาจละทิ้งนางไปได้ทุกเมื่อ
นางมิกล้ากล่าวโทษผู้เป็นสามีและพ่อตาของตน ทั้งยังมิอยากยอมรับว่าเป็นความผิดของตัวเอง ดังนั้นจึงโทษซ่งชิงกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
เหตุใดมันถึงไม่ตาย ๆ ไปเสีย! ตอนนั้นน่าจะโหดเหี้ยมอีกสักหน่อยแล้ววางยาให้มันตายไปพร้อมกัน หากว่ามันตายเรื่องก็คงจะไม่เป็นแบบนี้!
ซ่งชิงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ล้วนเห็นสีหน้าและท่าทางของคนตระกูลซ่งอยู่ในสายตา
เขายกจอกสุราขึ้นจิบเพื่อปกปิดรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก
ถึงแม้จะไม่ได้ยิน แต่ซ่งชิงก็พอจะเดาออกได้ไม่ยากว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน
แต่ทว่าตอนนี้ ไม่ใช่เขาที่กลัว แต่เป็นพวกเขาที่เป็นฝ่ายหวาดกลัวตนต่างหาก
เขาลดสายตาลงเพื่อซ่อนความเย็นชาที่หนาวเสียดกระดูก พวกตระกูลซ่งที่ทำให้พี่ชายและแม่ของเขาต้องตาย เขาจะไม่ปล่อยไว้แม้แต่คนเดียว
ฮ่องเต้ยังมิทันเสด็จมาร่วมงานเลี้ยง พายุก็เริ่มก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ เสียแล้ว
เมื่อหนานกงสือเยวียนมาถึง ก็ราวกับไม่สังเกตเห็นสิ่งใด เขากินดื่มอย่างเพลิดเพลิน ดูอารมณ์ดีไม่เบา ทั้งยังกล่าวชื่นชมผลงานของบรรดาขุนนางที่ตนเพิ่งเลื่อนขั้นให้
เหล่าตระกูลขุนนางที่ได้ฟังสีหน้าก็ยิ่งมัวหมองกว่าเก่า
แน่นอนว่าย่อมนึกเสียใจเป็นธรรมดา อย่างไรเสียหากว่าเจ้าตัวยังอยู่ในตระกูล พวกเขาก็ยังได้อานิสงส์จากเกียรติยศเหล่านี้อยู่บ้าง
แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรก็สายไปเสียแล้ว
“คนของต้าเซี่ยอายุยังน้อยแต่กลับมีความสามารถโดดเด่น ฮ่องเต้ต้าเซี่ยช่างโชคดียิ่งนัก แต่ได้ยินว่าท่านมิเพียงปลดขุนนางเก่าแก่ที่ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อท่าน แต่ยังดึงตัวขุนนางใหม่มาจากครอบครัวพวกเขา ทำเช่นนี้ฝ่าบาทมิกลัวว่าบรรดาขุนนางเก่าแก่จะรู้สึกเจ็บปวดเพราะผิดหวังอย่างนั้นหรือ”
หลังจากที่เพลิดเพลินกับการเต้นรำ องค์ชายจากต้าหาน ก็ถือเหยือกสุราเดินโซซัดโซเซออกมา ท่าทางหยิ่งผยอง อีกทั้งยังเอ่ยถามหนานกงสือเยวียนด้วยความมั่นอกมั่นใจ
ทันใดนั้นงานเลี้ยงที่กำลังครื้นเครงก็ดูราวกับจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
ทูตจากต้าหานโกรธจัดจนหน้าแดง เจ้าโง่ โง่จริง ๆ!
เขาโง่คนเดียวมันก็แล้วไป แต่นี่ดันลากต้าหานให้เดือดร้อนไปด้วย หากว่าฮ่องเต้ต้าเซี่ยไม่พอใจขึ้นมาแล้วบุกโจมตีต้าหานจะทำเช่นไร!
หนานกงสือเยวียนวางจอกสุราลง นัยน์ตาลุ่มลึกจ้องมองคนที่อยู่เบื้องล่าง
ท่ามกลางสายตาของเขาที่จ้องมองมา ในที่สุดองค์ชายต้าหานผู้โง่เขลาและอวดดีก็รู้สึกกลัวขึ้นมา แต่เขาก็เย่อหยิ่งเกินกว่าจะยอมแพ้
ในที่สุดหนานกงสือเยวียนก็พูดขึ้น “องค์ชายห้าแห่งต้าหานมิสู้ถามขุนนางของข้าสิว่าพวกเขาผิดหวังหรือไม่”
สิ้นเสียงของเขาก็มีคนลุกขึ้นยืน
“องค์ชายห้าแห่งต้าหานล้อเล่นแล้ว ท่านเป็นคนต้าหานอาจจะยังไม่รู้ กระหม่อมซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อฝ่าบาท มิเคยคิดเป็นอื่น”
“ถูกต้องแล้ว องค์ชายห้า นี่ท่านกำลังยุยงให้ข้ากับขุนนางของฝ่าบาทแตกคอกันต่อหน้าต่อตาเช่นนี้เชียวหรือ ต้าหานหมายความว่าอย่างไรกันแน่”
บรรดาขุนนางหนุ่มที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งไม่ยอมน้อยหน้าเช่นกัน
“ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นขุนนางใหม่ที่ฝ่าบาททรงเลื่อนขั้นให้ แต่ความสามารถก็มิด้อยไปกว่าขุนนางเก่า และจะถวายการรับใช้ฝ่าบาทอย่างสุดความสามารถ”
“ตั้งแต่ที่องค์ชายห้าแห่งต้าหานมาถึงเกรงว่าจะสนใจแต่เรื่องกินดื่มเที่ยวเล่น คงจะไม่รู้สถานการณ์ในราชสำนักกระมัง? ฝ่าบาทมิได้ทำอันใดบรรดาขุนนางเก่าแก่เหล่านั้น
พวกที่ถูกฝ่าบาทจับกุมล้วนแต่เป็นพวกคดโกงทำผิดกฎหมาย รังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง พวกเขาทำทุกอย่างที่กฎหมายของต้าเซี่ยบัญญัติไว้ว่าห้ามฝ่าฝืน คนเช่นนี้ ฝ่าบาทปลดออกจากตำแหน่งและจับเข้าคุก ล้วนแต่เป็นความชอบธรรมของฝ่าบาท
ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจฝ่าฝืนกฎหมายของต้าเซี่ย ต่อให้เป็นขุนนางก็ตาม ฝ่าบาทขจัดภัยร้ายให้แก่ราษฎร แล้วเหตุใดท่านจึงพูดราวกับเป็นความผิดของฝ่าบาทเสียเล่า ท่านพูดเช่นนี้จะถูกประชาชนต้าเซี่ยขว้างปาข้าวของใส่เอาได้นะ อีกอย่างก็เห็นได้ชัดว่ากฎหมายของต้าหานดูจะไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่าไร”
“ส่วนขุนนางคนอื่น ๆ คงเพราะพวกเขามีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน บรรดาหัวหน้าตระกูลของพวกที่กระทำความผิดจึงโศกเศร้าจนกินไม่ได้นอนไม่หลับถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ ย่อมไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้
ฝ่าบาทได้ส่งคนไปเชิญพวกเขาแล้ว แต่ว่าพวกเขา ‘ป่วย’ หนักมากจริง ๆ ฝ่าบาททุกข์ใจและรู้สึกผิดอย่างมาก พระองค์คิดว่าตัวเองกดดันพวกเขามากเกินไป ให้ ‘อดีต’ ใต้เท้าโหมงานอย่างหนัก ด้วยเหตุนี้ฝ่าบาทจึงพระราชทานอนุญาตให้พวกเขาพักรักษาตัว แล้วให้พวกเรามารับหน้าที่แทน องค์ชายห้ามิได้รับรู้ความทุ่มเทและทุกข์ใจของฝ่าบาท แล้วเหตุใดถึงได้กล้าวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้”
หนานกงหลี : มีความสามารถไม่ธรรมดาจริง ๆ ใช้วาจาได้ดีกว่าเขาเสียอีก!
แม้แต่หนานกงสือเยวียนก็ยังอดมองไม่ได้
ผู้พูดมิใช่ใครอื่นนอกจากเจ้ากรมพิธีการคนใหม่ เขามิเพียงแต่ใช้คำพูด ไม่ว่าสีหน้าหรือว่าน้ำเสียงล้วนเข้าถึงอารมณ์ หากเขามิได้เป็นตัวละครในเรื่องนี้ก็คงจะคิดว่าเจ้ากรมพิธีการผู้นี้รู้สึกปวดใจจริง ๆ ที่ขุนนางเก่าแก่พวกนั้นต้องตรากตรำทำงานอย่างหนัก
ทุกคนในที่นั้น “…”
บรรดาใบหน้าของพวกขุนนางชั้นสูงล้วนแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ สีหน้าเรียกได้ว่าขยะแขยงราวกับกลืนแมลงวันลงท้องทีเดียว