บทที่ 450 ไม่ได้ผอมลงเพราะอดอยากเสียหน่อย
บทที่ 450 ไม่ได้ผอมลงเพราะอดอยากเสียหน่อย
ในกลุ่มสัตว์ที่เดินตามหลังเสี่ยวเป่าออกมาข้างนอก ผู้ที่ดึงดูดสายตาของใครต่อใครได้มากที่สุดก็คือเจ้านกอินทรีทอง
อย่างไรเสียท่าทางสวมเสื้อผ้าแถมยังพันผ้าพันคอแบบนั้นของมันดูแล้วไม่ธรรมดาเลย เจ้าอินทรีทองยังไม่ยอมบินอีกต่างหาก แต่เลือกที่จะเดินเท้าไปด้วยอย่างโดดเด่นสะดุดตา
แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะเจ้านกสวมชุดอยู่จึงเป็นอุปสรรคต่อการบินด้วยก็เถอะ
“เสี่ยวเป่า ทำไมไก่ของที่บ้านเจ้าถึงสวมเสื้อผ้าด้วยเล่า”
ท่านยายที่สายตาไม่ค่อยดีคนหนึ่งถามขึ้นมา
เสี่ยวเป่าเกือบหลุดขำออกมาแล้ว แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอก อย่างน้อยนางก็ควรไว้หน้าเจ้าอินทรีทองบ้าง
แต่กลั้นหัวเราะแบบนี้มันช่างทรมานจริง ๆ
บ่าวรับใช้ที่ตามมาข้างหลังก็กำลังกลั้นหัวเราะเช่นเดียวกัน
“ท่านยายหลิน ท่านมองผิดแล้วเจ้าค่ะ เสี่ยวไตบ้านข้าไม่ใช่ไก่ แต่เป็นนกอินทรีทองต่างหาก”
ท่านยายหลินเกาศีรษะ “ข้านึกอยู่แล้วเชียวว่าไก่ที่ไหนจะตัวโตขนาดนี้ อ้วนท้วนสมบูรณ์ดีจริง ๆ เลยนะ แต่นั่นมันสวมเสื้อผ้าอยู่หรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ตรงนี้ท่านไม่ได้มองผิด”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “ช่วงนี้เสี่ยวไตบ้านข้าผลัดขน ขนร่วงหนักเอาการเลยทีเดียว อากาศก็หนาวเย็นขึ้นทุกทีจึงตัดชุดให้มันใส่”
สมองของเสี่ยวไตมีความจุไม่มาก จึงไม่เข้าใจคำพูดมากมายเหล่านั้นของเสี่ยวเป่า แต่มันสัมผัสได้ว่าสายตาของทุกคนกำลังจับจ้องมาที่ตนเอง
เสี่ยวไตที่มีอาภรณ์ห่มร่างจึงเชิดหน้ายืดอก เยื้องย่างก้าวเดินจนตัวแทบจะลอยอยู่รอมร่อ
เสื้อผ้าชุดนี้เสี่ยวเป่าให้มันมาเชียวนะ!
แต่ประเด็นก็คือตัวมันใหญ่เกินไป เจ้าอินทรีทองที่สมควรโบยบินอยู่บนฟ้าแต่กลับมาเดินเตาะแตะบนดินแบบนี้จึงแลดูเงอะงะงุ่มง่าม ท่าเดินก็ประหลาดพิกล
เมื่อไปถึงค่ายทหาร เสี่ยวเป่าก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในค่ายทันที
ทหารที่เฝ้าประตูอยู่อาจไม่เคยเห็นเสี่ยวเป่ามาก่อนจึงไม่รู้จักนาง แต่จะต้องรู้จักผองสัตว์ที่ตามหลังนางมาเป็นขบวนอย่างแน่นอน
นี่ก็คือสัญลักษณ์แสดงตัวตนขององค์หญิงของพวกเขา!
เสี่ยวไตยังคงทำตัวเป็นจุดรวมความสนใจต่อไป ไม่ว่าจะเดินไปถึงที่ไหน สายตาของทุกคนล้วนกวาดมองมาที่มันอย่างไม่อาจควบคุม
หลังจากนั้น คนจำนวนไม่น้อยก็นึกถึงเรื่องชวนหัวที่เคยร่ำลือกันในค่ายทหารก่อนหน้านี้ขึ้นมา
นกอินทรีทองกับเหยี่ยวไห่ตงชิงขององค์หญิงต่อสู้กัน อินทรีทองพ่ายแพ้และลงเอยด้วยการกลายเป็นนกขนโกร๋นตัวหนึ่ง
ที่แท้ก็เป็นเรื่องจริงหรือนี่!
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าองค์หญิงจะมีรับสั่งให้ตัดชุดให้นกอินทรีทองสวมใส่
ทุกคน “…”
องค์หญิงท่านกำลังเลี้ยงนกหรือเลี้ยงลูกอยู่กันแน่
เรื่องที่เสี่ยวเป่ามาถึงค่ายทหารถูกนำมารายงานต่อหนานกงสือเยวียนอย่างรวดเร็ว เวลานั้นเขากำลังศึกษาแผนที่อยู่
ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่เกินไป พวกซยงหนูร่วมมือกับหลายชนเผ่าในทุ่งหญ้าแยกย้ายกันเข้ามารุกรานต้าเซี่ย ทั้งยังหลบหนีได้ว่องไวจนชวนให้คนโมโห
ถ้าพวกเขาหาตำแหน่งของสถานที่ตั้งหลักซยงหนูเจอได้ก็ดีน่ะสิ
ตำแหน่งสถานที่ตั้งหลักดั้งเดิมของซยงหนูถูกสละทิ้งไปแต่แรก ตอนนี้มีเพียงชาวซยงหนูที่ทราบว่าสถานที่ตั้งหลักของพวกตนตั้งอยู่ที่ใด ทั้งยังซ่อนตัวได้มิดชิดอย่างยิ่ง
“ฝ่าบาท องค์หญิงมาถึงค่ายทหารแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงสือเยวียนดึงความคิดกลับมาจากเรื่องแผนที่ บีบสันจมูกขณะตรัสว่า
“พานางมาพบข้าที่นี่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่นานหลังจากนั้น เสี่ยวเป่าก็มาถึง นางหิ้วตะกร้าเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางเบิกบานใจ
“ท่านพ่อ ท่านพ่อทำงานหนักจริง ๆ เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านพ่อแล้ว คราวนี้ข้าเอาของกินมาส่งให้ ท่านผอมโซหมดแล้ว สันจมูกดูสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีกแน่ะ”
หนานกงสือเยวียน “…”
ทหารที่เฝ้ายามอยู่ “…”
ผอมลงกับความสูงของสันจมูกเกี่ยวกันตรงไหน
หนานกงสือเยวียนไม่รู้จะพูดอะไรดีไปชั่วขณะ แล้วค่อยอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาบีบจมูกเล็ก ๆ ของนาง
“กลัวว่าข้าจะไม่มีอะไรกินอย่างนั้นหรือ”
เสี่ยวเป่าส่ายหน้า “ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านพ่อเหน็ดเหนื่อยเกินไปต่างหาก”
นางใช้มือเล็กจ้อยลูบ ๆ คลำ ๆ ใบหน้าของบิดาอย่างปวดใจ ดูหล่อขึ้นก็จริง แต่เนื้อบนใบหน้าน้อยลงไปตั้งเยอะ
หนานกงสือเยวียนจับมือเล็ก ๆ ของนาง “ไม่ได้ผอมลงเพราะอดอยากเสียหน่อย”
เขาว่า “แต่เป็นเพราะเนื้อพวกนั้นกลายเป็นกล้ามเนื้อไปแล้วต่างหาก”
ตั้งแต่มาถึงที่นี่ แต่ละวันกิจกรรมที่เขาต้องทำก็มีมากขึ้น มิหนำซ้ำยังต้องไปออกรบสังหารศัตรู สิ่งที่ทำตอนอยู่ในเมืองหลวงไม่อาจนำมาเทียบกับตอนนี้ได้เลยสักนิด เนื้อบนร่างจึงกลายเป็นกล้ามเนื้อที่กระชับแข็งแรง จึงดูเหมือนผอมลงกว่าในอดีต
แต่จิตใจของเขากลับกระปรี้กระเปร่ากว่าเดิมมาก
เสี่ยวเป่าจับกล้ามเนื้อบนแขนของคนเป็นพ่อ แข็งโป๊กเลย
นางวางตะกร้าลงบนโต๊ะ เผยให้เห็นเนื้อแห้งที่อยู่ในนั้น
“อันนี้ให้ท่านพ่อ!”
“เสี่ยวเป่าทำมาเยอะมากเพคะ เอามาฝากแม่ทัพเซี่ยกับพวกพี่ชายด้วยเหมือนกัน ข้าบอกท่านเลยนะว่าเนื้อจามรีพวกนี้ข้าแลกซื้อมาจากพ่อค้าต่างแดนคนหนึ่ง ท่านพ่อ เสี่ยวเป่ากำลังคิดอยู่ว่าควรซื้อจามรีตัวเล็กมาเลี้ยงเองสักหลายตัวดีไหมเพคะ สัตว์พวกนี้เอามาไถนาไม่ได้แต่เลี้ยงไว้กินเนื้อได้…”
เสี่ยวเป่าอิงอยู่บนอกบิดาพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด ราวกับต้องการนำคำพูดที่สะสมเอาไว้ในช่วงหลายวันนี้มาพูดให้เขาฟังจนหมดสิ้น
หนานกงสือเยวียนรับฟังอย่างสงบ
น้ำเสียงของเสี่ยวเป่ายังฟังดูคล้ายเสียงทารก ใสแจ๋วนุ่มนิ่ม พูดยืดยาวเท่าใดก็ไม่ทำให้คนเบื่อหน่าย
หนานกงสือเยวียนส่งน้ำให้นางดื่มเป็นระยะ
เขานึกเวทนาลูกสาวคนนี้ นางสามารถเสพสุขไร้ทุกข์ไร้กังวลอยู่ในเมืองหลวงได้แท้ ๆ แต่กลับต้องการติดตามเขามาลำบากลำบนอยู่ที่ชายแดน
ความจริงแล้วถึงเสี่ยวเป่าจะไม่ได้พูดออกมา หนานกงสือเยวียนก็ทราบว่าเด็กคนนี้ตั้งใจมาเพื่อหายารักษาให้เขา
เสี่ยวเป่ายังเป็นห่วงสุขภาพของเขายิ่งกว่าตัวเขาเองเสียอีก
เด็กน้อยในอ้อมแขนพูดไปพูดมาน้ำเสียงก็แผ่วเบาลงเรื่อย ๆ สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปในอ้อมอกของบิดาที่สนิทสนมและไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด
หนานกงสือเยวียนลูบศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน สายตาที่ทอดลงมาฉายแววรักใคร่ทะนุถนอม
จากนั้นก็นำเด็กน้อยไปวางลงบนเตียงด้านในสุดของกระโจม
เสี่ยวเป่าหลับลึกยิ่ง เสือสองตัวนอนเฝ้าพิทักษ์เด็กน้อยอยู่หน้าเตียงอย่างสงบ
……………………………..