บทที่ 452 สามปี
บทที่ 452 สามปี
สงครามกับซยงหนูยาวนานกว่าที่เสี่ยวเป่าคาดคิดเอาไว้
นางอยู่ที่ชายแดนนานถึงสามปี
ช่วงเวลาสามปีนี้ การสู้รบระหว่างต้าเซี่ยกับซยงหนูผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ แต่ถ้ามองจากภาพรวมแล้วต้าเซี่ยเป็นฝ่ายชนะมากกว่า
เมื่อมีห้องสมุดของเสี่ยวเป่า ความรู้เกี่ยวกับการจัดการกองทัพหลายอย่างก็ถูกหนานกงสือเยวียนนำมาประยุกต์ใช้กับกองทัพของต้าเซี่ยทีละน้อย
ทั้งยังมีการปรับปรุงอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างต่อเนื่อง
ระยะเวลาสามปีเพียงพอให้กองทัพของต้าเซี่ยกลายเป็นสัตว์ร้ายที่น่ากลัวขนาดมหึมาตัวหนึ่ง พวกเขาเข้าโจมตีพวกซยงหนูที่ขึ้นชื่อเรื่องความเหี้ยมหาญจนไม่อาจต่อกรได้
ในที่สุดพวกซยงหนูก็ถูกปราบปรามในช่วงสามปีนี้ทำให้หวาดกลัวเสียแล้ว พวกเขาจึงต้องการเจรจาสงบศึก
แต่ในเวลานี้ ทางฝ่ายต้าเซี่ยกลับไม่เต็มใจเจรจาสงบศึก
“ฝ่าบาท ข่านของพวกซยงหนูส่งทูตมาขอเจรจาสงบศึกอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงสือเยวียนกำลังอ่านตำรา เอ่ยโดยไม่เงยหน้าขึ้นสักนิด
“ให้พวกมันไสหัวกลับไป”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ซึ่งความจริง ไม่ว่าจะเป็นทหารในกองทัพหรือชาวบ้านร้านตลาดของต้าเซี่ยล้วนไม่ต้องการเจรจาสงบศึกกับฝ่ายซยงหนู
ตอนพวกนั้นอยากรบก็บุกมาปล้นชิงเข่นฆ่าย่ำยีต้าเซี่ยเป็นว่าเล่น พอไม่อยากรบแล้วก็มาบอกว่าต้องการเจรจาสันติ คิดว่าชาวต้าเซี่ยรังแกง่ายนักหรือไร!
ตอนนี้กองทัพของต้าเซี่ยแข็งแกร่งห้าวหาญยิ่ง กล่าวได้ว่ามีความพร้อมรอบด้าน
พร้อมกับการปฏิรูปกองทัพของหนานกงสือเยวียน เบี้ยหวัดและเสบียงอาหารของกองทัพต้าเซี่ยได้รับการจัดสรรปันส่วนอย่างเหมาะสม ทุกคนไม่ต้องทนหิว เงินที่ได้รับก็มากขึ้นเรื่อย ๆ การรับใช้กองทัพไม่ใช่อาชีพที่ใครต่อใครอยากจะหลีกหนีอีกต่อไป แต่กลายเป็นชามข้าวเหล็ก*[1] ที่ทุกคนต่างยื้อแย่งกัน!
ทุกวันนี้ คนจากทั่วสารทิศที่มาเข้าร่วมกองทัพด้วยเหตุผลต่าง ๆ มีความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของต้าเซี่ยมากขึ้นทุกที
นอกจากนี้ อาหารการกินในกองทัพยังอุดมสมบูรณ์ ประกอบกับการประชาสัมพันธ์ผ่านหนังสือพิมพ์ ค่าตอบแทนที่สูงรวมถึงนโยบายสนับสนุนต่าง ๆ การเป็นทหารกลายเป็นสิ่งที่ชาวบ้านรู้สึกว่าน่าภาคภูมิใจ บรรดาคนหนุ่มทั้งหลายจึงเต็มใจสมัครเข้าร่วมกองทัพมากขึ้นเรื่อย ๆ
ความจริงแล้วสถานะของทหารในสมัยโบราณนั้นต่ำต้อยยิ่ง ทั้งยังเหมือนจะเอาชีวิตไปทิ้งอยู่ตลอดเวลา โดยทั่วไปไม่มีใครเต็มใจมาเป็นทหารแม้แต่คนเดียว เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นคำสั่งให้เข้าร่วมกองทัพที่ไม่อาจฝ่าฝืนได้
หลังจากหนานกงสือเยวียนอ่านตำรามาหลายเล่มก็ตระหนักถึงระดับความสำคัญของบุคลากรทหารที่มีต่อภาพรวมของอาณาจักร ด้วยเหตุนี้จึงดำเนินการปฏิรูปกองทัพขนานใหญ่โดยพิจารณาถึงปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบันไปจนถึงปัญหาที่ต้าเซี่ยอาจต้องประสบในอนาคต
แน่นอนว่าเงื่อนไขขั้นแรกในการที่เขาจะดำเนินการทั้งหมดนั้นได้ก็คือ ต้องมีเงินและเสบียงที่เพียงพอ
เรื่องเสบียงย่อมไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง เมื่อมีธัญพืชที่ให้ผลผลิตปริมาณสูงเหล่านั้นของเสี่ยวเป่า ไม่เพียงคนในกองทัพ แม้แต่ชาวบ้านก็ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลอีกแล้วว่าปีนั้น ๆ จะมีใครอดตายหรือไม่
ส่วนแหล่งเงินทุนสนับสนุนมาจากรายได้จากการเปิดเส้นทางสายไหมทางทะเล
เป็นดังเช่นที่ในตำราว่าไว้ ดินแดนโพ้นทะเลเหล่านั้นเต็มไปด้วยทองคำ แม้การออกทะเลแต่ละครั้งจะมีความเสี่ยงสูง ทว่าผลตอบแทนที่ได้จากการเดินทะเลแต่ละครั้งล้วนสามารถทำให้ตระกูลใหญ่ในอดีตเหล่านั้นต้องแตกตื่นอัศจรรย์ใจ
การค้าทางทะเลในสองปีที่ผ่านมาอยู่ในการควบคุมของราชสำนัก ปีนี้ค่อยเริ่มอนุญาตให้พ่อค้ารายอื่นทำการค้าทางทะเล แต่จะต้องจ่ายภาษีการค้าทางทะเลโดยการมอบสิ่งของที่นำกลับมาได้ส่วนหนึ่งให้แก่ราชสำนักต้าเซี่ย
เมื่อเป็นเช่นนี้ หนานกงสือเยวียนจึงไม่ขาดแคลนเงินอีกต่อไป ถึงขนาดที่ว่าท้องพระคลังในปัจจุบันไม่มีที่ว่างอีกแล้ว จำเป็นต้องสร้างท้องพระคลังเพิ่มอีกแห่งหนึ่ง
ความมั่งคั่งจนถึงขั้นนี้ทำให้อาณาจักรเพื่อนบ้านทั้งสองต้องอิจฉาตาร้อนเลยทีเดียว
จนเป็นเหตุให้พวกเขาต้องการเปิดเส้นทางสายไหมทางทะเลเลียนแบบต้าเซี่ย
แต่เมื่อเห็นผลประโยชน์อันมหาศาลของต้าเซี่ย ตระกูลใหญ่ผู้มีอิทธิพลของสองอาณาจักรนั้นย่อมไม่ต้องการปล่อยมือจากน้ำแกงหม้อนี้และอยากมีส่วนร่วมด้วย ทำให้ทะเลาะขัดแย้งภายในเรื่อยมา จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่เป็นรูปธรรม
ผลลัพธ์เช่นนี้…
หนานกงสือเยวียนได้แต่บอกว่าไม่อยู่เหนือความคาดหมาย
ต้าเซี่ยในตอนนี้กล่าวได้ว่าราชวงศ์กุมอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่หนานกงสือเยวียนกับรัชทายาทต่างไม่ใช่คนที่ไม่ฟังคำทัดทานทั้งคู่ ประกอบกับขุนนางฝ่ายบุ๋นในราชสำนักและขุนนางฝ่ายบู๊ในกองทัพล้วนเชื่อฟังว่าง่าย หนานกงสือเยวียนประสงค์จะทำสิ่งใดจึงแสนจะราบรื่น
ความกังวลหนึ่งเดียวของเสี่ยวเป่าก็คือโรคของท่านพ่อ!
เวลาสามปีกำลังจะผ่านไปต่อหน้าต่อตา สามปีนี้กลับหาสมุนไพรไม่เจอเลยแม้แต่อย่างเดียว!
ภายในจวนของหนานกงสือเยวียน เสี่ยวเป่าก้มหน้าก้มตาศึกษาแผนที่อย่างจริงจัง
ถึงสามปีมานี้จะหาสมุนไพรไม่พบ แต่นางก็ได้ทราบเส้นทางไปยังเผ่าเทียนกู่น่าแล้ว รอให้ท่านพ่อไปจัดการกับพวกซยงหนูค่อยออกเดินทาง
“องค์หญิง พ่อค้าหลิวมาแล้วเพคะ”
พ่อค้าหลิวที่สาวใช้กล่าวถึงก็คือพ่อค้าที่ขายเขี้ยวสัตว์ขนาดใหญ่ให้เสี่ยวเป่าในตอนนั้นเอง
แม้สุดท้ายแล้วจะไม่ได้ไปหาคนของเผ่าเทียนกู่น่า แต่พ่อค้าหลิวกลับช่วยหาข่าวให้เสี่ยวเป่าอย่างกระตือรือร้นมาโดยตลอด อีกทั้งเส้นทางไปเผ่าเทียนกู่น่าก็ได้มาจากเขานี่เอง
สุดท้ายเสี่ยวเป่าจึงขายตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่เหลืออยู่ให้เขา
พ่อค้าหลิวยังเป็นคนฉลาด อาศัยตุ๊กตากระเบื้องเคลือบชุดนั้นจนทุกวันนี้ได้กลายเป็นพ่อค้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในชายแดนไปแล้ว
ตอนนี้เขายิ่งกอดขาใหญ่ของเสี่ยวเป่าแน่นไม่ปล่อย
แม้เขาจะไม่รู้ว่าเสี่ยวเป่าเป็นองค์หญิง แต่ทราบว่าคนในครอบครัวของนางอยู่ในกองทัพ ทั้งยังมีตำแหน่งไม่ต่ำต้อย
ไม่เห็นหรือว่าคนเสเพลที่เย่อหยิ่งพวกนั้นไม่มีใครกล้ามาตอแยนางสักคน
แต่พ่อค้าหลิวก็เป็นคนรู้กาลเทศะคนหนึ่ง แม้จะสร้างเนื้อสร้างตัวได้แล้วก็ยังรู้จักควบคุมคนของตน ทั้งยังไม่แอบอ้างนามของเสี่ยวเป่าไปกระทำเรื่องต่าง ๆ
ทางด้านบิดายังเคยส่งคนมาตรวจสอบพ่อค้าหลิวผู้นี้ เมื่อพบว่าเบื้องหลังและความประพฤติล้วนไม่มีปัญหา ช่วงสามปีนี้เสี่ยวเป่าจึงมีการติดต่อกับเขาอยู่ไม่ขาด
แน่นอนว่ายังเป็นเพราะพ่อค้าหลิวผู้นี้เป็นพ่อบุญทุ่ม ทราบว่าเสี่ยวเป่าโปรดปรานนกนักล่า เขายังมีเส้นสายกว้างขวางจึงหาซื้อนกนักล่าสายพันธุ์ต่าง ๆ มากำนัลให้นางจำนวนไม่น้อย
ยามนี้นกนักล่าเหล่านั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพต้าเซี่ยไปแล้ว หนานกงสือเยวียนยังฝึกฝนนกกลุ่มหนึ่งโดยขนานนามให้ว่า หน่วยเสินอิง*[2] ซึ่งเป็นหน่วยที่เชี่ยวชาญด้านการสอดแนมสถานการณ์ฝ่ายศัตรูและนำร่องเดินทัพโดยเฉพาะ
ทำให้ฝ่ายซยงหนูไม่มีข้อได้เปรียบในเรื่องนี้อีกต่อไป
[1] ชามข้าวเหล็ก หมายถึง อาชีพที่มั่นคง ไม่มีความเสี่ยงว่าจะถูกไล่ออก มีรายได้สม่ำเสมอ
[2] หน่วยเสินอิง คือ หน่วยวิหคเทวะ