ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 233 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-8

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 233 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-8

ว่ากันว่าดาบที่เร็วและแหลมคมที่สุดในใต้หล้าชื่อว่าดาบไร้ลักษณ์

ดาบออกไร้รูป สลายเป็นอากาศ

จึงได้ชื่อนั้นมา

หากได้ครองดาบเล่มนี้แล้วฝึกพลังปราณโลหะเสี้ยมคมก็จะกลายเป็นอาวุธรบอันดับหนึ่งในใต้หล้า

แต่ไม่มีใครเคยเห็นดาบนี้มาก่อน

และไม่รู้ว่าตำนานนี้เริ่มจากที่ไหน

เรื่องเล่าที่ไม่มีที่มาที่ไปย่อมหยุดความคิดคนได้ง่ายดายยิ่ง

แต่ไม่รู้ทำไม

ยิ่งตำนานดาบไร้ลักษณ์แพร่ออกไปมันยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ไม่เพียงยุทธภพ แม้กระทั่งราชวงศ์สมัยนั้นยังแอบส่งยอดฝีมือแฝงตัวเข้าไปในสถานที่อันตรายเพื่อตามหาร่องรอยของดาบไร้ลักษณ์

“อาจารย์ข้าเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าเขาคือผู้สืบทอดดาบไร้ลักษณ์ หรือต้องบอกว่าข้อพิพาทเรื่องดาบไร้ลักษณ์ก็เกิดจากเขานี่ละ”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มเจื่อนครู่หนึ่ง

แม้ชีวิตราบเรียบทำให้คนหมดอาลัยตายอยากได้ง่าย

แต่ถ้าเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในวังวนแห่งการโต้แย้งอันยุ่งเหยิงซับซ้อนทุกวัน ไม่มีความสุขสงบเลยสักชั่วเวลา ชีวิตย่อมลำบากกว่าเดิม

ตี๋เหว่ยไท่จำได้

ตอนนั้นอาจารย์มอบดาบที่เหมือนไม้พลองท่อนหนึ่งให้เขาสองคน

และบอกว่านี่ก็คือแบบหลอมของดาบไร้ลักษณ์

ให้เขาสองคนไปขึ้นรูปด้วยสิ่งนี้ มันจะได้กลับมาโชติช่วงอีกครั้ง

สูงแค่ไหน ยาวเพียงใด

ไกลแปดหมื่นลี้หรือจากร้านขายดาบนี้ถึงข้างบ่อน้ำตรงทางเข้าเมือง

“แน่นอนว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่เจริญตาที่สุดเท่าข้าที่เคยเห็นมาทั้งชีวิต”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นมุมปากเขากระตุกเบาๆ ทีหนึ่ง

นี่ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งประหลาดใจอย่างยิ่ง

เป็นดาบหน้าตาแบบไหนกันที่ผ่านมาหลายสิบปีก็ยังทำให้ตี๋เหว่ยไท่รังเกียจยามนึกถึงเช่นนี้

น่าเสียดายตี๋เหว่ยไท่ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม

แต่ตอนนั้นเขารู้ดีว่าอาจารย์ของตนกำลังพูดเกินจริง

ส่วนทำไมต้องสร้างข่าวลือนี้

ตี๋เหว่ยไท่คิดว่าก็แค่อยากทำให้กิจการร้านขายดาบดีขึ้นเท่านั้น

ขายดาบได้มากขึ้นสองสามเล่ม

ต่อให้เป็นมีดหั่นผักหรือมีดพร้าก็ดีทั้งนั้น

อย่างไรคนก็ต้องกินข้าว

ตอนมีข้าวพอกินก็อยากกินเนื้อทุกมื้อ

พอมีเนื้อทุกมื้อสมใจแล้วก็อยากเพิ่มสุรากลั่นอีกสองตำลึง

แต่ความจำเป็นทั้งหมดนี้ก็คือร้านขายดาบต้องขายดาบได้จำนวนมาก

“ในเมื่อเป็นคำสั่งของอาจารย์ พวกเราย่อมต้องทำสุดกำลัง แม้รู้ดีว่าไม่มีอะไรเป็นไปได้ แต่เราสองคนก็ตั้งใจทำอย่างยิ่ง”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“แล้วผลเป็นอย่างไรหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“ใช้เหล็กกล้าเสียเปล่า เกรงว่าคงทำมีดหั่นผักได้ร้อยกว่าเล่ม…แต่อาจารย์กลับไม่เปลี่ยนใจ พวกเราก็ได้แต่ทำต่อไป”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

หากเศษเหล็กกล้าเหล่านั้นตีเป็นมีดหั่นผักหรือมีดพร้าได้ คิดว่าคงหาเงินได้เต็มอ่างเต็มโถและใช้ชีวิตอย่างในหม้อมีเนื้อมีสุราทุกมื้อไปนานแล้ว

แต่บางคนก็ทำเช่นนี้

ต่อให้พันคนหมื่นคนขัดขวาง เขาก็จะมุ่งมั่นทำจนถึงที่สุด

ไม่ถึงสุดทางเขาสุดปลายน้ำ ย่อมไม่มีทางถอดใจ

แม้คนเช่นนี้ดูเหมือนโง่เขลา แต่เขาก็มีส่วนที่น่าเอ็นดูจริงๆ

ดูท่าอาจารย์ของตี๋เหว่ยไท่ก็เป็นคนเช่นนี้

“แต่ต่อมามีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินผ่านร้านขายดาบ เขาจ้องแบบหล่อดาบนั้นไม่วางตา ดวงตาโตเป็นประกาย ถามเราสองคนว่าอยากขายเท่าไร”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

‘หรือว่าแบบหล่อดาบนั้นเป็นของล้ำค่าหายากจริงๆ’

หลิวรุ่ยอิ่งคิดในใจ

ความสงสัยเขียนไว้บนหน้าทั้งหมด

ทว่าตี๋เหว่ยไท่ไม่ได้พูดต่อ

แต่หยิบสุราไหเล็กออกมาจากใต้โต๊ะ

หลิวรุ่ยอิ่งถึงได้เห็นว่าที่แท้ในบ้านตี๋เหว่ยไท่ก็มีสุราเช่นกัน

เพียงแต่เขาไม่ค่อยดื่ม

“สุราไหนี้ก็คือสิ่งที่สหายข้ามอบให้ข้าตอนนั้น”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นผนึกดินตรงปากไหสุราสภาพสมบูรณ์

ยังเป็นของใหม่

คิดว่าตี๋เหว่ยไท่เก็บรักษาไว้ตลอด ต้องมีความหมายพิเศษบางอย่างแน่นอน

“ที่จริงเจ้าได้เจอเขานานแล้ว”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

จากนั้นตบเปิดผนึกดินในหนึ่งฝ่ามือ

หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าตี๋เหว่ยไท่หมายถึงใคร

แต่ในหัวกลับปรากฏเงาร่างของคนเฝ้าแดนสุขสัญจรผู้นั้น

ตี๋เหว่ยไท่พยักหน้าให้หลิวรุ่ยอิ่ง

เหมือนกำลังยืนยันความคิดในใจหลิวรุ่ยอิ่ง

“แต่เขาไปแล้ว”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“เขาไปไหนแล้ว”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“ข้าก็ไม่รู้ ตอนนั้นเขาบอกว่าก่อนไปอยากดื่มสุราไหนี้กับข้าให้หมด แต่เขากลับจากไปโดยไม่ได้ดื่มสักอึก”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

เขาหยิบจอกออกมาอีกสองจอก

เป็นจอกชา

ใหญ่กว่าจอกสุราไม่น้อย

ตี๋เหว่ยไท่รองไหสุรา รินให้ตัวเองกับหลิวรุ่ยอิ่งคนละครึ่งจอก

“ท่านประมุขหอตี๋บอกว่าตอนเช้าดื่มชาดีกว่าไม่ใช่หรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งมองจอกสุราพลางเอ่ยเย้าเล่น

แต่เขาไม่รู้เลยว่าตี๋เหว่ยไท่อยากบอกอะไรกันแน่

เหตุใดถึงเล่าอดีตช่วงหนึ่งของเขาเช่นนี้

อดีตเหล่านี้เกี่ยวอะไรกับเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหอทรงปัญญาในปัจจุบัน

หลิวรุ่ยอิ่งคิดไม่ตก

………………..

ขณะเดียวกัน

ณ สถานที่ซึ่งห่างจากที่พักของตี๋เหว่ยไท่ไม่ไกล

จิ่วซานปั้นกำลังฝึกกระบี่

เขาแนบกระบี่ชิงเอ๋อเล่มนี้ไว้บนแก้มของตน

สัมผัสความเย็นเยียบที่ส่งมาจากฝักกระบี่

จากนั้นเลื่อนฝักกระบี่ขึ้นทีละชุ่น

เขาอยากอุ่นฝักกระบี่ทั้งอันด้วยใบหน้าของตน

จากนั้น เขาชักกระบี่ออกมา

ดูเหมือนเชื่องช้า

แต่ก็เชื่องช้าจริงๆ

ชักออกจากฝักกระบี่ทีละนิดเหมือนสาวรังไหมบางๆ

โอวหย่าหมิงเห็นฉากนี้เข้า

ตำแหน่งที่จิ่วซานปั้นฝึกกระบี่อยู่ตรงหน้าต่างที่พักของโอวหย่าหมิงพอดี

ระหว่างกลางไม่มีสิ่งกำบังใด

“เจ้ารู้จักสหายคนนี้จากที่ไหน”

โอวหย่าหมิงเอ่ยถาม

โอวเสี่ยวเอ๋อยืนอยู่ข้างหลังเขา

คำถามนี้ย่อมพุ่งมาที่นาง

“เขาเป็นสหายของหลิวรุ่ยอิ่ง ข้าไม่รู้เขาสองคนรู้จักกันได้อย่างไร แต่จากคำพูดไม่กี่คำดูเหมือนจะบังเอิญเจอกันบนถนน”

โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว

“บังเอิญเจอถึงกับได้พบคนมีฝีมือระดับนี้…ดูท่านายกองหลิวผู้นี้ก็เป็นคนมีโชคไม่น้อย”

โอวหย่าหมิงกล่าวถอนใจ

“ท่านผู้นำตระกูลดูจากตรงไหนหรือว่าเขาเป็นคนมีฝีมือ”

โอวเสี่ยวเอ๋อเอ่ยถาม

แม้นางรู้ว่าทักษะกระบี่จิ่วซานปั้นสูงไม่เบา ขั้นฝึกยุทธ์ก็ไม่ต่ำ กระทั่งฝีมือด้านการประพันธ์ก็ไม่เลว

แต่ถึงขั้นได้รับคำชมจากผู้นำตระกูลเช่นนี้ คิดว่าในตัวเขาต้องมีส่วนที่ไม่ธรรมดาอีกเป็นแน่

“เจ้าดูท่าทางที่เขาใช้กระบี่”

โอวหย่าหมิงไพล่สองมือไว้ข้างหลัง บุ้ยปากกล่าว

โอวเสี่ยวเอ๋อไม่เข้าใจ

แต่นางก็ดูออกว่าจิ่วซานปั้นทะนุถนอมกระบี่เล่มนี้อย่างยิ่ง

“ตอนเขาชูกระบี่ขึ้นมา ในมือ ในดวงตาและในใจเขามีเพียงกระบี่ คนเช่นนี้ถึงจะเหมาะเรียกว่า ‘แก่นกระบี่’ ที่แท้จริง!”

โอวหย่าหมิงกล่าว

“หรือว่าท่านผู้นำตระกูลตั้งใจจะดึงเขาเข้าตระกูลโอว”

โอวเสี่ยวเอ๋อตกใจเอ่ยถาม

“โอกาสผ่านไปแล้ว…คนก็บรรลุแล้ว ตอนนี้นอกจากตัวเขายินดี เกรงว่าใครก็บังคับเขาไม่ได้ และคนที่มี ‘แก่นกระบี่’ ที่แท้จริงเช่นนี้จะไม่หวั่นไหวเพราะผลประโยชน์เช่นกัน”

โอวหย่าหมิงกล่าว

“แต่ยามปกติเขาไม่ได้เป็นเช่นนี้”

โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว

“ยามปกติ? เจ้าหมายถึงยามปกติที่เขาไม่ห่างสุราน่ะหรือ”

โอวหย่าหมิงเอ่ยถาม

“เจ้าค่ะ”

โอวเสี่ยวเอ๋อพยักหน้ากล่าว

“ตอนถือกระบี่มีเพียงกระบี่ ตอนดื่มสุรามีเพียงสุรา ใต้หล้ายังมีกี่คนที่บริสุทธิ์ได้ถึงเพียงนี้”

โอวหย่าหมิงกล่าว

เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง

“หนำซ้ำ เขายังใส่ใจสหายมากด้วย”

โอวหย่าหมิงทิ้งช่วงและกล่าว

เหมือนเขารู้ตัวว่าเมื่อครู่ค่อนข้างเสียกิริยา

โดยเฉพาะเวลาเผชิญหน้ากับผู้น้อยอย่างโอวเสี่ยวเอ๋อ

แม้วันปกติตนก็ไม่ได้วางท่าอะไร แต่ยังต้องสุขุมหน่อย มีท่าทีอย่างผู้นำตระกูลจึงจะดี

โอวเสี่ยวเอ๋อไม่ได้ตอบ

เพราะใจนางรู้ดีว่าความรู้สึกที่จิ่วซานปั้นมีต่อตนไม่ได้เรียบง่ายเป็นเพียงสหายเช่นนั้น

ใช้เวลานานขนาดนี้

ในที่สุดจิ่วซานปั้นก็ชักกระบี่ออกมาแล้ว

เขาถือกระบี่ชิงเอ๋อไว้นิ่งๆ

ยกแขนขวาขึ้นเล็กน้อย กระบี่อยู่ตรงหน้า พินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด

แสงอาทิตย์ส่องบนตัวกระบี่ สะท้อนกลับเข้านัยน์ตาของเขา

แสงอาทิตย์ที่แยงตาทำให้โอวหย่าหมิงหรี่ตาลงเล็กน้อย

แต่จิ่วซานปั้นกลับไม่หวั่นกลัวแม้แต่น้อย

เขายังคงจ้องแสงที่สะท้อนมาจากตัวกระบี่

เหมือนแสงเหล่านี้มอบพลังให้เขาได้ไม่จำกัด

จิ่วซานปั้นหายใจถี่ขึ้น บนใบหน้าเผยเลือดฝาดที่จะปรากฏตอนดื่มจนเมา

เมื่อลมหายใจของเขาใกล้ถึงขีดสุด

จิ่วซานปั้นวางกระบี่ลง

เขาหลับตา

ก้มศีรษะ

มือขวาถือกระบี่

ปลายกระบี่หย่อนลง

กระบี่ห้อยตก

คนก็ก้มอยู่

ไม่สนใจสี่ฤดูหมุนเวียนหรือฝนตกแดดออก

ราวกับจะยืนนิ่งเช่นนี้จนคมกระบี่ทำลายนิรันดร์กาล

เซียวจิ่นข่านก็ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง

แม้กั้นด้วยหน้าต่างและมีระยะห่างช่วงหนึ่ง

แต่เขายังคงรับรู้ถึงกลิ่นสุราและเจตจำนงแห่งกระบี่ที่แผ่บนกายจิ่วซานปั้นได้อย่างชัดเจน

กลิ่นสุราฉุนจมูก

องอาจปณิธานกว้างไกล

เจตจำนงแห่งกระบี่ท่วมท้น

ความเย็นเยียบรินรดกาย

………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท