ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 234 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-9

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 234 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-9

ตอนคนคนหนึ่งโดดเดี่ยวที่สุดไม่ใช่ยามเศร้าโศกเสียใจแล้วไม่มีใครให้ระบาย

แต่เป็นตอนสุขใจจนอิ่มเอมและมีเพียงยามไปส่องกระจกถึงจะมีใบหน้าแย้มยิ้มตอบกลับมา

ทว่าศิษย์ของเซียวจิ่นข่านโดดเดี่ยวกว่านั้นอีก

เพราะเขาไม่มีแม้แต่กระจก

จะว่าไป เซียวจิ่นข่านยังไม่รู้เลยว่าศิษย์ของเขาชื่ออะไร

แต่เขาทำอะไรล้วนไม่มีทางทำตามใจอยาก

ในเมื่อบอกว่าจะรับเขาเป็นศิษย์ก็ต้องมีจุดประสงค์บางอย่าง

“ข้าตั้งชื่อให้เจ้าสักชื่อดีหรือไม่”

เซียวจิ่นข่านเอ่ยถาม

เขาให้เด็กหนุ่มนั่งตรงข้ามกับตน

ทั้งยังรินสุราให้เขาจอกหนึ่ง

ใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขาตามลำพังไม่จำเป็นต้องมีชื่อ

ชื่อเป็นเพียงรหัสและคำเรียกอย่างหนึ่ง

จะว่าไปก็แค่ทำให้คนอื่นเรียกได้สะดวกขึ้นเท่านั้น

แต่สัตว์และต้นไม้ในป่าเขาพูดไม่ได้

ย่อมไม่มีสิ่งใดเรียกชื่อของเด็กหนุ่ม

เขาจึงไม่มีชื่อ

เด็กหนุ่มพยักหน้า

นัยน์ตาเปี่ยมความหวัง

แต่ในเมื่อคนอื่นมีกันหมด เขาก็อยากมีสักชื่อเหมือนกัน

“เรียกเจ้าว่าหวาหนงดีหรือไม่”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

เด็กหนุ่มพยักหน้ากล่าว

“ต่อไปข้าก็ชื่อหวาหนง”

“หวาหนง เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงรับเจ้าเป็นศิษย์”

เซียวจิ่นข่านเอ่ยถาม

หวาหนงมองเซียวจิ่นข่านตาปริบๆ

ไม่เอ่ยคำและไม่ได้เคลื่อนไหว

“ที่จริงข้าเองก็ไม่รู้ แต่ตอนข้าได้พบเจ้าในใจมีเพียงความคิดเดียว นั่นคือไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าตายและต้องรับเจ้าเป็นศิษย์ด้วย”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“เหตุใดท่านอาจารย์ถึงไม่รับข้าเป็นศิษย์เสียตั้งแต่ตอนนั้น แต่ต้องรออีกห้าปีด้วยเล่า”

หวาหนงเอ่ยถาม

“เพราะตอนนั้นมีเพียงความคิดเช่นนี้ หนำซ้ำความคิดนี้ก็ไม่ได้เด่นชัด ห้าปีข้าแค่พูดไปอย่างนั้น”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“แล้วเหตุใดท่านอาจารย์พูดโพล่งออกมาเป็นห้าปี แทนที่จะเป็นสิบปี ยี่สิบปีเล่า”

หวาหนงเอ่ยถาม

เขามีความดื้อรั้นเฉพาะตัวอย่างหนึ่ง

ขอแค่เจอปัญหาที่ตนคิดไม่ตกจะต้องถามจนรู้เรื่องให้ได้

เพียงแต่ความดื้อรั้นเช่นนี้ทำให้คนอื่นมองว่าค่อนข้างผิดแปลกจริงๆ

ไม่ว่าท่องยุทธภพหรือเข้าวัดวาอารามคงทำให้คนยากเข้าใกล้ทั้งสิ้น

แต่เซียวจิ่นข่านรู้

แม้รังสีรอบตัวหวาหนงเย็นดุจน้ำค้างแข็ง

แต่หัวใจเขาร้อนดั่งไฟ

หัวใจของเขาเจิดจ้ากว่าแสงอาทิตย์ยามบ่ายกลางฤดูร้อน อบอุ่นกว่ากองไฟหน้าประตูในคืนหิมะตก

เขาแค่ไม่รู้ว่าควรแสดงออกอย่างไร

“เพราะถ้าเก็บความคิดหนึ่งไว้ได้ตลอดห้าปี เช่นนั้นก็ยืนยันว่าข้าอยากทำเช่นนี้จริง ไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ”

เซียวจิ่นข่านอธิบาย

พูดจบยกจอกสุราขึ้นบอกเป็นนัยกับเด็กหนุ่มเล็กน้อย จากนั้นเงยหน้าดื่มรวดเดียวหมด

“เจ้าดื่มสุราไม่เป็นหรือ”

เซียวจิ่นข่านเอ่ยถาม

เขาเห็นหวาหนงไม่ได้ยกจอกสุรา แต่เหม่อมองน้ำสุราในจอก

แม้จอกสุราเล็ก น้ำสุราก็ขุ่นยิ่ง

แต่หวาหนงยังคงเห็นใบหน้าของตนได้จากในนั้นรางๆ

แม้เห็นจมูกปากไม่ชัด แต่ดวงตาคู่นั้นสว่างไสวเป็นพิเศษ

“ข้าดื่มสุราไม่เป็นขอรับ”

หวาหนงถอนสายตาจากจอกสุราและเงยหน้ามองเซียวจิ่นข่านพลางกล่าว

“แต่เจ้ากลับรู้จักซื้อสุราให้ข้า”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“เพราะตอนนั้นข้าได้กลิ่นเช่นนี้จากบนตัวท่านอาจารย์ เมื่อก่อนไม่รู้คืออะไร แต่ต่อมาก็รู้ว่านี่คือกลิ่นสุรา”

หวาหนงกล่าว

“อย่างนี้นี่เอง…ที่จริงบนตัวเจ้าก็มีกลิ่นอย่างหนึ่ง”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“กลิ่นอะไรหรือ”

หวาหนงรีบยกแขนเสื้อของตนเข้าใกล้จมูกแล้วลองดม

“กลิ่นคาวเลือด”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

หวาหนงหัวเราะ

พอได้ยินคำว่ากลิ่นคาวเลือด ในหัวเขาพลันปรากฏภาพมากมาย

ล้วนเป็นเหตุการณ์ตอนเขาล่าสัตว์กลางป่าเขา

ตอนเหยื่อล้มตรงหน้าเขามักจะมีเลือดนองเต็มพื้น

แต่ไม่นานเลือดเหล่านี้ก็จะซึมลงพื้นดิน

กลายเป็นสารอาหารของต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้น

สำหรับคนอื่นกลิ่นคาวเลือดมักสื่อถึงการฆ่าและความน่ากลัว

แต่สำหรับหวาหนงกลับเป็นความรู้สึกปลอดภัยที่ไม่มีสิ่งใดทดแทนได้

เลือดเต็มพื้นหมายถึงล่าสัตว์สำเร็จ

ล่าสัตว์สำเร็จก็กินอิ่มหลายมื้อ

สำหรับเขาที่ร่อนเร่อยู่กลางป่าเขา ยังมีเรื่องใดสุขใจกว่ากินอิ่มแล้วนอนหลับได้อีกหรือ

“แต่เจ้าฆ่าคน”

เซียวจิ่นข่านพลันกล่าวเปลี่ยนประเด็น

“ตอนแรกข้าไม่ได้อยากฆ่าเขา”

หวาหนงกล่าว

แม้ความหมายในคำพูดน่าสลดใจเล็กน้อย

แต่น้ำเสียงกลับไม่มีความเสียใจใดๆ

ในความรู้สึกเขาการฆ่าคนกับเชือดกระต่ายตัวหนึ่งอาจไม่ได้แตกต่างกัน

“เช่นนั้นเป็นความจนใจหรือ”

เซียวจิ่นข่านเอ่ยถาม

หวาหนงครุ่นคิดอยู่นานและพยักหน้า

เขาอาจไม่เข้าใจความหมายของคำว่าจนใจ

แต่เขาคิดว่าสิ่งที่อาจารย์พูดออกมาย่อมถูกเสมอ

“ต่อไปอย่าฆ่าคนอีกจะดีกว่า”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“ตราบใดที่ไม่มีคนฆ่าข้า ข้าจะไม่ฆ่าคนแน่นอน”

หวาหนงกล่าว

ความคิดของเขาเฉียบแหลมขึ้นมาอีกครั้ง

เซียวจิ่นข่านฟังแล้วตกตะลึง

เขาพลันเริ่มสงสัยตัวเอง

สงสัยว่าทำไมตอนแรกต้องรับเด็กหนุ่มเป็นศิษย์ ทำไมความคิดรับศิษย์เกิดขึ้นแล้วห้าปีก็ยังไม่หายไป

เซียวจิ่นข่านสงสัยเช่นนี้ไม่ใช่เพราะหวาหนงไม่ดี ไม่คู่ควรเป็นศิษย์ของเขา

แต่รู้สึกว่าตนไม่มีอะไรสอนเขาได้แล้ว

กระบี่ของหวาหนงเร็วยิ่ง

แม้ไม่รู้ว่าเก่งกาจแค่ไหน แต่ก็พอให้ปกป้องตัวเอง

แม้ไม่เข้าใจการเข้าสังคม

แต่ใครบอกได้ว่าใต้หล้านี้ไม่เหมือนกลางป่าเขา

ถ้าเปรียบห้าอ๋องเป็นสิงห์พยัคฆ์ เช่นนั้นผู้คนที่เหลือก็เหมือนกวางเหมยฮวา (กวางซิกา) กับลูกกระต่ายขาวไม่ใช่หรือ

โดยรวมไม่มีอะไรต่างกัน

ทันใดนั้น นัยน์ตาเซียวจิ่นข่านพลันสว่างไสว

เขานึกออกแล้วว่าตนควรสอนอะไรหวาหนง

“ดื่มสุราจอกนี้ก่อน นี่คือบทเรียนแรกของเจ้า”

เซียวจิ่นข่านกล่าวพลางชี้จอกสุราตรงหน้าหวาหนง

เขาจะสอนหวาหนงดื่มสุรา

หวาหนงย่อมเรียนรู้เร็วยิ่ง

ไม่ว่าเซียวจิ่นข่านให้เขาดื่มติดกันกี่จอก เขาก็ทำตามได้หมด

ไม่นานนักก็ดื่มสุราไหใหญ่ไปกว่าครึ่ง

“ยังไหวหรือไม่”

เซียวจิ่นข่านเอ่ยถาม

“ท่านอาจารย์ ข้าบอกไม่ถูกว่านี่คือความรู้สึกอะไร”

หวาหนงกล่าว

“รู้สึกบอกไม่ถูก เช่นนั้นยังแสดงออกมาได้กระมัง”

เซียวจิ่นข่านยิ้มกล่าว

หวาหนงพยักหน้า

เขาดึงกระบี่ชำรุดเล่มนั้นออกจากเอวตนอย่างรวดเร็ว

โยนจอกสุราบนโต๊ะขึ้นและใช้กระบี่รับน้ำสุราน้อยนิดที่ยังเหลืออยู่ก้นจอกไว้ทั้งหมด

เมื่อจอกสุราตกลงบนโต๊ะอีกครั้ง เขาพลันเอียงกระบี่ หยดสุราทั้งหมดบนนั้นกลิ้งดุจไข่มุกกลับเข้าจอกอีกครั้ง

“กระบี่ไม่เลว!”

เซียวจิ่นข่านกล่าวชม

เขารู้สึกได้ว่าแม้เด็กหนุ่มไม่เคยฝึกวิถียุทธ์อย่างเป็นระบบ

เหมือนจิ่วซานปั้นยิ่งนัก ไม่รู้ทำไม แต่กลับเข้าใจเส้นทางที่ไม่เหมือนใครได้ด้วยตัวเอง

“ไม่ขอรับท่านอาจารย์ ไม่ดีเลยสักนิด”

หวาหนงกล่าว

เขากล่าวพลางชี้จุดหนึ่งบนโต๊ะ

แม้เซียวจิ่นข่านเป็นคนตาบอด

แต่เขามองเห็นด้วยใจว่าจุดที่หวาหนงชี้มีน้ำสุราหยดเล็กกว่าเมล็ดงา

หยดอยู่บนโต๊ะ

เขาใช้กระบี่เมื่อครู่รับไว้ไม่ได้

“นั่นเพราะกระบี่ของเจ้าช้า”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“ไม่ใช่กระบี่ข้าช้า ตาของข้า ใจของข้า มือของข้าล้วนช้าทั้งหมด กระบี่เพียงถ่ายทอดมันออกมาเท่านั้น”

หวาหนงกล่าว

เขานั่งลงอีกครั้ง

“เจ้าคิดว่าช้าหรือเร็วดีกว่าเล่า”

เซียวจิ่นข่านเอ่ยถาม

“หากยังอยู่ในป่าเขาแน่นอนว่าเร็วเป็นดี หากช้าก็ไม่รอด ข้าจึงอยากให้ตัวเองเร็วหน่อย เร็วขึ้นอีกหน่อยเสมอ”

หวาหนงกล่าว

“แสดงว่าเจ้าไม่เคยสัมผัสความรู้สึก ‘ช้า’ เช่นนี้”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“ขอรับท่านอาจารย์ ข้าจึงกลัวเล็กน้อย”

หวาหนงกล่าว

เขากำกระบี่ในมือแน่น

ยามนี้มีเพียงกระบี่ชำรุดเล่มนี้ที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยอย่างยิ่ง

“ที่นี่ไม่ใช่ป่าเขา และไม่มีใครจะฆ่าเจ้า วางกระบี่ของเจ้าไว้ด้านข้างก่อน ตั้งใจฟังบทเรียนให้จบดีกว่า”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

หวาหนงมองกระบี่ของตนและมองกระบี่ของเซียวจิ่นข่าน

“ท่านอาจารย์อาบอกว่าท่านอาจารย์เป็นคนตาบอด ท่านเป็นคนตาบอดจริงหรือ”

หวาหนงเอ่ยถาม

…………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน