บทที่ 29 อย่าดูถูกคนที่มาจากครอบครัวที่อบอุ่น
มีหรือที่ซิวเจียจะไม่ได้ยินคำพูดเยาะเย้ยเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเจอคนแบบนี้ ใครบางคนเรียกที่จะแกล้งโง่ เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่รอดในสังคม
และซิวเจียก็เป็นหนึ่งในนั้น
ซิวเจียเองก็สะดุดไปเล็กน้อยเหมือนกันเมื่อได้ยินคำพูดเมื่อครู่ เธอจึงตัดสินใจตอบโต้ไปเล็กน้อย
“ว้าวววว พี่สาวเม่ยนี่ตาถึงจัง”
“คุณเจียงคนนั้นเป็นคนหนุ่มแน่นที่รวยจริงๆด้วย เขาตัดสินใจซื้อบ้านของจิงไท่ที่ราคา 5.16 ล้านด้วยล่ะ”
ซิวเจียได้พูดขึ้นมาก่อนที่จะนำบัตรระดับเพชรมาโบกให้ดูราวกับว่าต้องการแสดงตอกหน้า
“ดูนี่สิคะ นี่เป็นบัตรระดับเพชรของคุณเจียง”
“แค่นี้ก่อนนะคะ คุณเจียงรอฉันอยู่ข้างนอก ฉันต้องนำกุญแจและสัญญาไปให้เขาก่อน”
เมื่อพูดจบ เธอได้รีบหันกลับไปด้วยรอยยิ้มสุขใจที่ได้ตอกหน้ากลับ
นี่ทำให้หญิงสาวที่ชื่อเม่ยและหญิงสาวอีกคนแสดงสีหน้าที่โง่งม
หลังจากผ่านไปนาน ทั้งสองก็กลับมาได้สติ พร้อมใบหน้าที่ยังคงดูถูก แต่ก็ไม่กล้าที่จะแสดงออกถึงความไม่พอใจมากนัก
“จะเป็นไปได้ยังไง ไอ้คนอย่างนั้นเนี่ยนะมีบัตรระดับเพชร”
“5.16 ล้านเหรอ” “ค่าคอมมิชชั่นจำได้สักเท่าไหร่กัน”
“เป็นไปได้ยังไงที่คนมีบัตรระดับเพชรจะแต่งตัวอย่างนั้น”
“….”
ในตอนนี้เอง เจียงฮ่าวกลับรู้สึกทึ่งกับสาวน้อยคนนี้
“เธอนี่ไม่เลวเลยแหะ”
“อย่างที่คิดเลยจริง ไม่มีใครเลยที่ฉันจะประมาทได้”
“……”
ซิวเจียนั้นได้นำกุญแจและสัญญามาอย่างมีความสุข ที่รีบออกจากศูนย์อสังหาและไปที่ประตู เธอในตอนนี้คิดว่าเจียงฮ่าวเป็นคนรวยที่ขับรถหรูหราแน่ๆ
แต่เธอเองไม่คิดฝันเลยได้เมื่อออกมาแล้วจะได้เห็นเจียงฮ่าวไปหยุดรออยู่ที่จุดจอดรถแท็กซี่ นี่ทำให้เธอต้องสะดุดไปเล็กน้อยอีกครั้ง
และเมื่อเธอนึกถึงเจียงฮ่าวที่มีเงินซื้อบ้านแต่กลับแต่งตัวอย่างนี้ ในที่สุดทำให้เธอตัดสินเจียงฮ่าวว่าเป็นคนหนุ่มที่รวยแต่มีงานอดิเรกแปลกๆ
เจียงฮ่าวเมื่อได้ไปดูบ้านกลับซิวเจียแล้ว เมื่อกลับมาถึง เขาได้ลงนามในสัญญาซื้อขายบ้านและให้ซิวเจียรูดบัตรของเขาในทันที
ในตอนนี้ หญิงสาวสองคนยังไม่เชื่อว่าเจียงฮ่าวนั้นเป็นคนรวยจริงๆ แต่เมื่อเห็นว่าเจียงฮ่าวรูดบัตรผ่านอย่างไม่สะดุด นี่ทำให้ทั้งสองต้องตัวแข็งทื่อ
เป็นตอนนี้ที่ทั้งสองได้ทำการเข้ามาตีสนิทกับเจียงฮ่าวในทันที แต่ก็ถูกตอบรับด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขยะแขยง
เจียงฮ่าว ได้นำกุญแจและเอกสารต่างๆ ก้าวออกไปจากศูนย์อสังหาฯอย่างองอาจ
“ได้เวลาซื้อรถแล้วสินะ”
แต่ทันทีที่เขาคิดว่ากำลังจะไปซื้อรถ นี่ทำให้เขานั้น นึกถึงอะไรบางอย่างได้จนต้องเผลอสบถออกมา
“ไอ้ฉิบ… ฉันยังไม่มีใบขับขี่เลยนี่หว่าแล้วจะไปขับรถได้ยังไง”
“เฮ้ออออ เอาเถอะ เอาไว้ค่อยหาเวลาไปทำก็แล้วกัน”
เจียงฮ่าวบ่นใสตัวเองก่อนที่จะตรงกลับบ้านไป
เมื่อถึงบ้าน พ่อแม่ของเขายังไม่กลับมา น้องสาวของขาวที่อยู่คนเดียว ในตอนนี้กำลังคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือและทบทวนตำรา
ถึงแม้จะไม่ค่อยถูกกันแต่เจียงฮ่าวนั้นภูมิใจในตัวน้องสาวของเขา
ดังคำกล่าวที่ว่า อย่าได้เกรงกลัวคนที่ฉลาดมากกว่า แต่จงเกรงกลัวคนที่ฉลาดน้อยกว่าแต่ทำงานหนักกว่า
คำกล่าวนี้เองมีความหมายตรงตัวตามนั้น นั่นก็เพราะถึงแม้คนอื่นๆจะอิจฉาที่เจียงไซหยวนนั้นมีผลการเรียนที่ดีเด่น แต่คงไม่มีใครคิดว่าน้องสาวของเขานั้นต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้พวกมันมาครอง
แน่นอนว่าสำหรับตัวเขานั้นในตอนนี้คือตัวแหกกฎอย่างแท้จริง
“….”
ในตอนเย็นวันนั้นมีลูกค้าเข้าร้านมากมาย ทำให้เจียงฮ่าวนั้น เตรียมที่จะออกไปช่วยพ่อแม่ของเขา
“เจียงไซหยวน ฉันจะออกไปช่วยพ่อแม่นะ เธอเฝ้าบ้านไปล่ะ”
“หืม ทำไมเราไม่ไปด้วยกันล่ะ ถ้านายไปคนเดียวเดี๋ยวตอนพักเที่ยงแม่ก็ต้องเสียเวลากลับมาบ้านมาทำข้าวให้ฉันกินแล้วก็ต้องกลับไปอีก”
เจียงฮ่าวเข้าใจในทันที
“เอ้อ ก็จริงแหะ”
หรือจะให้พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือการเป็นเด็กที่เกิดในครอบครัวที่ยากจนนั้นจะได้รับการเอาใจใส่จากพ่อแม่ของตนเป็นพิเศษ และนี่เองก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เจียงไซหยวนได้รับรู้และสำนึกเอาไว้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้ทำให้ทั้งสองตรงไปยังร้านรถเข็นของพ่อแม่ตนพร้อมกัน
เจียงฮ่าวและน้องสาว เมื่อไปถึงที่ตั้งของร้านรถเข็นพ่อของตนนั้นก็เป็นไปอย่างที่คาด ตอนนี้ลูกค้าเริ่มทยายเข้ามาแล้ว นี่ทำให้พ่อแม่ของเจียงฮ่าวเริ่มหัวหมุนกันเลยทีเดียว
สองพี่น้องที่เห็นก็รีบเข้าไปช่วยอย่างไว
พ่อของเจียงฮ่าวนั้นเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวรถเข็น ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันอาทิตย์ แต่ลูกค้าก็ยังเนืองแน่น