ตอนที่ 1394 คาดเดาไปเรื่อยเปื่อย
หลู่ไท่เว่ยรออยู่ที่จวนตั้งนานก็ไม่เห็นหลู่หยวนเผิงกลับมาเสียทีจึงรู้สึกร้อนใจมาก ขณะที่กำลังจะสั่งให้คนไปดูสถานการณ์ที่ค่ายทหารว่าเกิดเรื่องสิ่งใดขึ้นจนหลานชายเขาปลีกตัวมาไม่ได้หรือไม่ หลู่จิ่นเสียนในชุดขุนนางเดินเข้ามาด้านในพอดี
หลู่จิ่นเสียนเดินข้ามาด้านในด้วยชุดขุนนางที่ไม่มีเวลาเปลี่ยนด้วยความรีบร้อน เขาถอดหมวกขุนนางส่งให้บ่าวรับใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องหนังสือ โบกมือไล่ให้คนเหล่านั้นจากไป จากนั้นเดินเข้าไปในห้องหนังสือของบิดาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ท่านพ่อ…”
หลู่ไท่เว่ยกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ใต้แสงไฟ เมื่อเห็นบุตรชายเดินเข้ามาด้านในอย่างร้อนรนจึงขมวดคิ้วยุ่ง
“วิญญูชนไม่แสดงความหวาดกลัวหรือดีใจออกมาให้ผู้อื่นเห็น เจ้าอายุปูนนี้แล้วเหตุใดยังคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้อีก ร้อนรนเช่นนี้ใช้ได้ที่ใดกัน!”
หลู่จิ่นเสียนเตรียมกล่าวขึ้น ทว่า เมื่อได้ยินคำกล่าวของบิดาซึ่งยืนอยู่กลางห้องหนังสือจึงรีบโค้งกายทำความเคารพ จากนั้นคุกเข่าลงตรงหน้าบิดาของตัวเองแล้วกล่าวขึ้น
“ท่านพ่อ เสี่ยวลิ่วของพวกเราไปคุกเข่าอยู่หน้าประตูอู่เต๋อกับพวกแม่ทัพเฉิงหย่วนจื้อของกองทัพไป๋ กล่าวว่าไม่ยอมรับการแข่งขันกับต้าเยี่ยน ต้องการเปิดศึกกับต้าเยี่ยนและทูลขอให้ฝ่าบาทยึดอำนาจทางทหารคืนจากหานเฉิงอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”
“ว่าอย่างใดนะ!”
หลู่ไท่เว่ยตกใจมาก
หลู่จิ่นเสียนกล่าวอย่างรวดเร็ว เขาขยับเข้าไปใกล้หลู่ไท่เว่ยกว่าเดิม
“ขุนนางมากมายเห็นเหตุการณ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีข้าอยากพาเสี่ยวลิ่วกลับมา ทว่า ท่านพ่อก็รู้นิสัยของเสี่ยวลิ่วดี หากข้าเข้าไปเอาตัวเขาออกมาเสี่ยวลิ่วอาจทำให้เรื่องใหญ่ขึ้นกว่าเดิมได้! ตอนนี้ฝ่าบาทอาจยังประทับอยู่ที่จวนไป๋ไม่ได้กลับวังหลวง ข้าสั่งห้ามไม่ให้คนบอกพวกเขากลัวว่าพวกเขาจะไปอาละวาดที่จวนไป๋ ทว่า คนในวังอาจส่งข่าวให้ฝ่าบาททราบแล้ว หากฝ่าบาททราบเรื่องต้องเสด็จกลับวังหลวงแน่นอน ตอนนี้ท่านพ่อและข้าล้วนเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก การที่เสี่ยวลิ่วทำเช่นนี้อาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าท่านพ่อก็คิดเช่นเดียวกันได้ เกรงว่าเรื่องนี้คงจัดการไม่ได้ง่ายๆ ขอรับ”
หลู่ไท่เว่ยได้ยินถึงตรงนี้ก็นั่งไม่ติดที่อีกต่อไป เขาผุดลุกขึ้นยืนด้วยความรวดเร็ว จากนั้นแทบวิ่งออกไปด้านนอก
“ฉางอัน ฉางอัน! ไปหยิบชุดขุนนางมาให้ข้าเร็ว ให้คนเตรียมรถม้าให้พร้อม ข้าจะเข้าวังหลวง เร็วเข้า!”
“ท่านพ่อ…”
หลู่จิ่นเสียนรีบวิ่งตามหลังบิดาออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นบิดาเกือบสะดุดล้มธรณีประตูจึงรีบวิ่งเข้าไปประคองไว้ได้ทันท่วงที
“วิญญูชนต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้นะขอรับท่านพ่อ!”
หลู่ไท่เว่ยไม่มีเวลาควบคุมอารมณ์ของตัวเองอีกต่อไป เขาแทบอยากติดปีกบินไปหาหลู่หยวนเผิง จากนั้นบิดหูของเขาและลากตัวกลับมาที่จวนโดยเร็วที่สุด ไอ้เด็กโง่ ไม่รู้เรื่องอันใดแล้วยังก่อความวุ่นวายเช่นนี้อีก!
ไม่นานหลู่ไท่เว่ยจึงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดขุนนางเสร็จ เขานั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังวังหลวงพร้อมหลู่จิ่นเสียนทันที
มือของหลู่ไท่เว่ยสั่นระริกไม่หยุด เขาเอาแต่ก่นด่าหลานชายไม่ได้เรื่องของตัวเองอยู่ในใจว่าเป็นเด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะลงโทษหลู่หยวนเผิงสถานเบาเพราะเห็นแก่ที่เขามีความดีความชอบในกองทัพ ไม่ว่าอย่างไรหลานของเขาคนนี้ก็เป็นเพียงเด็กไร้เดียงสาไม่รู้ความเท่านั้น ผู้อื่นอาจเข้าใจผิดไปเอง
ทว่า ตอนนี้เขารู้แล้วว่าหลู่หยวนเผิงไม่ได้ไร้เดียงสา เขาต่างหากที่ไร้เดียงสาเกินไป!
เขารู้นิสัยหลานชายผู้นี้ของตัวเองดี หากไม่สร้างปัญหาให้ปู่อย่างเขามันคงอยู่อย่างไม่สบายใจ มันจึงสร้างปัญหาให้เขาปวดหัวได้ทุกวันเช่นนี้!
“ท่านพ่ออย่าโมโหไปเลยขอรับ หยวนเผิงเป็นเด็กใจร้อนและรักพวกพ้อง บางทีเขาแค่อาจทำตามแม่ทัพเฉิงเท่านั้น ที่สำคัญแม่ทัพเฉิงคือแม่ทัพที่เหลืออยู่ไม่มากของกองทัพไป๋ ฝ่าบาทต้องเห็นแก่หน้าแม่ทัพเฉิง ไม่มีทางลงโทษเขาสถานหนักแน่ขอรับ!”
หลู่จิ่นเสียนกล่าวปลอบ
“เสี่ยวลิ่วคงพลอยโชคดีไปด้วยขอรับ”
แสงจากโคมไฟที่แขวนอยู่ตรงสี่มุมของตัวรถม้าไม้หรูส่องสะท้อนเข้าไปในตัวรถม้าจนเห็นด้านในอย่างริบหรี่ เขาเข้าใจตรรกะนี้ดี เขาไม่ได้กลัวว่าไป๋ชิงเหยียนจะลงโทษหลู่หยวนเผิง ทว่า เป็นดั่งที่หลู่จิ่นเสียนกล่าวว่าหลู่หยวนเผิงคือหลานชายแท้ๆ ของเขา การที่หลู่หยวนเผิงออกมาแสดงจุดยืนในตอนนี้อาจทำให้คนหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นได้
ผู้อื่นยังไม่เท่าใดนัก ทว่า ไป๋ชิงเหยียนเชื่อใจไท่เว่ยอย่างเขามาก ตอนนี้ขุนนางในราชสำนักต้าโจวควรพยายามเพื่อให้ต้าโจวชนะการแข่งขันครั้งนี้ถึงจะถูก
ตระกูลหลู่จะไม่ปล่อยให้ผู้อื่นสร้างปัญหาให้การแข่งขันด้วยระบอบการปกครองที่ฝ่าบาทของพวกเขาตั้งใจจะทำแน่นอน
ตระกูลหลู่ของพวกเขาต้องยืนอยู่ข้างฝ่าบาทถึงจะสมกับความไว้วางใจที่ฝ่าบาทมีต่อพวกเขา เช่นนี้ตระกูลหลู่จึงจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์…
เมื่อคิดได้ดังนี้หลู่ไท่เว่ยก็เริ่มก่นด่าหลานชายที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เขาผู้นั้นขึ้นมาอีกครั้ง ตอนไม่กลับมาเขาก็คิดถึงมันอยู่หรอก ทว่า หากกลับมาแล้วจะสร้างปัญหาให้เขาเช่นนี้ไม่สู้อยู่ที่ชายแดนไม่ต้องกลับมาเลยเสียยังดีกว่า
หลู่ไท่เว่ยด่าหลู่หยวนเผิงอยู่ในใจจนรถม้ามาถึงหน้าวังหลวง หลู่จิ่นเสียนประคองหลู่ไท่เว่ยลงจากรถม้า ทหารที่ยืนเฝ้าประตูอู่เต๋อจำคนทั้งสองได้จึงรีบเปิดประตูให้พวกเขาเข้าไปด้านใน
เมื่อเห็นหลู่จิ่นเสียนประคองหลู่ไท่เว่ยเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในด้าน ทหารเฝ้าประตูอู่เต๋อซึ่งกำดาบที่เอวอยู่จึงหันไปกล่าวกับสหายของตัวเอง
“หลู่ไท่เว่ยคงรู้เรื่องที่หย่งติ้งปั๋วแม่ทัพเฉิงหย่วนจื้อแห่งกองทัพไป๋พาเหล่าทหารมาคุกเข่าที่หน้าประตูอู่เต๋อแล้วถึงได้รีบร้อนมาเช่นนี้…”
“ดูเหมือนว่าแม่ทัพหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ทางด้านหลังเยื้องไปทางขวาของแม่ทัพเฉิงหย่วนจื้อจะคือหลู่หยวนเผิงหลานชายแท้ๆ ของหลู่ไท่เว่ยนะ…”
“มิน่า…”
ซือหม่าผิงหันไปเห็นหลู่จิ่นเสียประคองหลู่ไท่เว่ยเดินเข้ามาด้านในอย่างรีบร้อนจึงหันไปกระซิบหลู่หยวนเผิงเสียงเบา
“หลู่หยวนเผิง ท่านปู่และท่านลุงใหญ่ของเจ้ามาแล้ว”
เมื่อหลู่หยวนเผิงได้ยินว่าท่านปู่ของตัวเองมาถึงจึงขมวดคิ้วแน่น เขารีบหยัดแผ่นหลังขึ้นทันที เขาแอบหันไปมองจึงเห็นร่างของท่านปู่และลุงใหญ่ของตัวเองจริงๆ เขากล่าวกับซือหม่าผิงเสียงเบา
“เจ้าช่วยข้าดูทีว่าสีหน้าของท่านปู่ของข้าเป็นเช่นใดบ้าง”
ซือหม่าผิงหันไปมองแวบหนึ่ง จากนั้นหันกลับมากล่าวกับหลู่หยวนเผิงเสียงเบา
“สีหน้าเคร่งขรึมเต็มไปด้วยโทสะ”
หลู่หยวนเผิงสูดหายใจเข้าปอดลึก เขารู้สึกเริ่มเจ็บตามร่างกายของตัวเองแล้ว
“จบแล้ว…ข้าต้องถูกท่านปู่ตีตายแน่นอน!”
ซือหม่าผิงไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น เขาพยายามทำทุกวิถีทางแล้ว เขาหลอกให้คนเหล่านี้อ้อมเข้าเมืองทางประตูทิศตะวันออกแล้ว ทว่า แม่ทัพเว่ยจ้าวเหนียนกลับส่งคนมาห้ามพวกแม่ทัพเฉิงหย่วนจื้อไม่ทันอยู่ดี
ตอนนี้หลู่ไท่เว่ยมาถึงแล้วซือหม่าผิงจึงเริ่มคลายความกังวลลง ขอเพียงเรื่องนี้ไม่รู้ถึงหูฝ่าบาทและขุนนางทุกคนในเมืองหลวงก็ยังพอมีทางแก้ไข
หากเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ การที่เหล่าแม่ทัพมารวมตัวกันที่ประตูอู่เต๋อเพื่อขอให้ฝ่าบาทถอนราชโองการ หากคนมีใจเป็นอื่นหยิบยกเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหลู่ไท่เว่ยและหลู่หยวนเผิงขึ้นมาเป็นประเด็นราชสำนักอาจเกิดความวุ่นวายครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นได้
ต่อให้ซือหม่าผิงบอกเรื่องเหล่านี้กับหลู่หยวนเผิงที่ใจร้อนวู่วามและไม่ใช่คนเจ้าแผนการฟังหลู่หยวนเผิงก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี…ดังนั้นตอนนี้เขาคงทำได้เพียงร่วมทุกข์ร่วมทุกข์ไปกับหลู่หยวนเผิงแล้ว