ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 241 เผชิญหน้า

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 241 เผชิญหน้า

วังอ๋องเงียบเหงา

ลมกลางคืนเย็นสบาย

พัดเคลื่อนกลุ่มเมฆดำบนท้องฟ้า

ทว่าพัดความน่าเกรงขามที่ปกคลุมอยู่ในวังอ๋องไปไม่ได้

วังติ้งซีอ๋องต้องน่าเกรงขาม

หากน่าเกรงขามไม่พอผู้คนก็จะไม่เคารพ

แม้ฮั่ววั่งไม่ค่อยชอบใจอำนาจผิวเผินเหล่านี้เท่าไรนัก แต่เขาก็ต้องยอมรับจุดนี้เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ประตูของวังอ๋องจึงใหญ่โตมาก

แม้คราวก่อนถูกหลานชายของเริ่นหยางทำพัง แต่อันที่ซ่อมแซมใหม่ก็ยังเป็นเช่นนี้

ยามนี้มือกระบี่ขี้เหล้ายืนอยู่หน้าประตูวังติ้งซีอ๋อง

เขามองแผ่นป้ายที่แขวนอยู่บนประตูวังอ๋อง

ยิ้มอย่างสบายๆ

เดินเข้าไปผลักประตูออก

ประตูวังติ้งซีอ๋องจะถูกเขาเปิดง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร

คิดว่าคงเป็นเรื่องที่คนเดินผ่านหน้าประตูวังอ๋องในคืนนี้ฉงนที่สุดเป็นแน่

แต่มือกระบี่ขี้เหล้าเปิดออกแล้วจริงๆ

ไม่เพียงเปิดออก เขายังก้าวเท้าเดินเข้าไปด้วย

ประตูวังอ๋องแง้มเหลือช่องเล็กๆ

สุดท้าย

พวกเขายื่นคอพยายามมองด้านใน

ทันใดนั้น

แสงดาบหลายสายสว่างวาบ

ร่างกายของพวกชอบแส่หาเรื่องเหล่านี้ก็อ่อนยวบลง

จากนั้นถูกลากโยนเข้าไป

แต่สุดท้ายก็สมใจพวกเขา

ได้เข้ามาดูด้านในวังอ๋อง

เพียงแต่ถ้าหัวขาดออกจากร่างกายแล้ว ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นจะส่งไปถึงในใจอีกหรือไม่

คนเหล่านี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับมือกระบี่ขี้เหล้า

เขาเดินตรงเข้าไปโดยไม่สนใจรอบข้าง

ขึ้นบันไดทีละขั้น

ทะลุผ่านระเบียงตามทางเดินทีละสาย

เขายืนอยู่หน้าประตูพระตำหนักวังอ๋องแล้ว

ประตูของพระตำหนักเปิดกว้างอยู่

มือกระบี่ขี้เหล้าเห็นแสงเทียนวูบไหวด้านใน

เขาไม่รู้ฮั่ววั่งอยู่ที่ไหน

และก็ไม่รู้ว่าฮั่ววั่งอยู่ในวังอ๋องหรือไม่

แต่ในเมื่อเขามาแล้วก็ต้องลองไปดูในพระตำหนัก

ดังคาด

มนุษย์ล้วนมีจิตใจใคร่รู้

แต่มือกระบี่ขี้เหล้าไม่เคยคิดว่าเหตุใดตนถึงเข้ามาได้ราบรื่นเช่นนี้

ความรู้สึกนี้ก็เหมือนกลับบ้าน

แม้ตอนนี้จิตใจเขาไม่ผ่อนคลาย

แต่ท่าทางที่เดินตรงเข้ามาเรื่อยๆ เช่นนี้เหมือนกลับบ้านโดยแท้

เขาเดินถึงกลางพระตำหนัก

เห็นคนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์

ใบหน้าของคนผู้นี้ทำให้เขารู้สึกคุ้นเล็กน้อย

ฮั่ววั่งนั่งอยู่บนบัลลังก์

กระบี่ดาราเล่มหนึ่งวางพาดอยู่บนสองขา

มือขวายันจุดไท่หยาง

คล้ายกำลังงีบหลับ

ได้ยินความเคลื่อนไหวในพระตำหนักถึงได้ลืมตาเล็กน้อย เหลือบมองลงมา

ฮั่ววั่งในตอนนี้ไม่ใช่ลูกค้าที่ดื่มสุรากินน้ำแกงปลาในร้านอาหารตอนกลางวันอีกแล้ว

เขาเป็นผู้ปกครองอาณาจักรติ้งซีอ๋อง

เขาคือติ้งซีอ๋อง

ดูได้จากการชำเลืองตามองนี้

นอกจากผู้ปกครอง ใครก็ไม่อาจมีแววตาเช่นนี้ได้

ต่อให้ขั้นฝึกยุทธ์ของเจ้าสูงเพียงใดก็ทำไม่ได้

เราอาจเห็นความรักที่มีต่อยุทธภพและความใส่ใจที่มีให้ประชาชนจากแววตาของเริ่นหยาง

แต่ในดวงตาของฮั่ววั่ง

มีแต่ความเงียบเหงา

เย็นเยือกจนเย็นชาถึงที่สุด

เงียบเหงาจนอ้างว้าง

ในดวงตาของเริ่นหยาง เราจะได้เห็นทางสีเขียวผืนหนึ่งกลางทะเลทราย

แต่ชั่วขณะที่มือกระบี่ขี้เหล้าสบตากับฮั่ววั่ง สิ่งที่เห็นมีเพียงทรายเหลืองบดบังท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ รวมถึงคลื่นทะเลสาดซัดดังก้องไม่หยุด

“นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเป็นเจ้า”

มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว

“ข้าก็ไม่นึกว่าเจ้าจะมาจริงๆ”

ฮั่ววั่งกล่าว

จิตใจเขาฮึกเหิมอย่างยิ่ง

แม้ยังนั่งอยู่บนบัลลังก์ แต่เขาก็ปรับท่าทางให้นั่งตรงๆ

ไม่ว่าในมืออีกฝ่ายมีอุบายใด

แต่ในเมื่อเขากล้าเดินมาถึงที่นี่ เช่นนั้นก็เป็นผู้กล้าและผู้มีกำลังที่แท้จริง

ควรค่าให้ฮั่ววั่งปรับท่านั่งมาต้อนรับเขา

แม้ยังไม่ถึงขั้นเคารพ แต่อย่างน้อยก็มีความนับถือหลายส่วน

เพราะในใต้หล้ามีคนเช่นนี้ไม่เยอะแล้ว

ได้เจอคนหนึ่งล้วนน่าชื่นชม

คุยโวไม่ยาก

ที่ยากคือทำให้คำที่พูดออกไปเป็นจริงทีละอย่าง

ก็เหมือนมือกระบี่ขี้เหล้าผู้นี้เริ่มจากผลักประตูใหญ่ของวังอ๋องแล้วเดินเข้าพระตำหนักทีละก้าว

“แต่เจ้ารอข้าอยู่”

มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว

ฮั่ววั่งยิ้มเล็กน้อย

ไม่ได้ปฏิเสธคำกล่าวนี้

เขารออยู่จริงๆ

อยากลองดูว่ามือกระบี่ขี้เหล้าจะมาหรือไม่

โชคดี

เขาไม่ได้ทำให้ฮั่ววั่งรู้สึกผิดหวัง

นอกพระตำหนักมีทัพอีกาดำกระจายอยู่ทั่ว

แต่ไม่มีคำสั่งของฮั่ววั่ง พวกเขาไม่มีใครกล้าเข้ามา

เพียงแต่ทัพอีกาดำเหล่านี้อ่านอารมณ์เบิกบานได้จากบนหน้าผู้บังคับบัญชาของตน

ยามนี้ฮั่ววั่งตื่นเต้นอยู่จริงๆ

ถึงขั้นอยากดื่มสุรากับมือกระบี่ขี้เหล้าผู้นี้สักสองสามจอก

ดื่มสุราที่อุ่นบนเตาดินเผาของเขา

หากเขายินดี ฮั่ววั่งถึงขั้นสามารถลงครัวเองและตุ๋นน้ำแกงปลาหม้อหนึ่งมากินด้วยกันได้

นอกจากตัวฮั่ววั่งแล้วคงไม่มีใครเข้าใจได้ว่าความคิดแปลกประหลาดของเขาเกิดขึ้นได้อย่างไร

ดื่มสุรากินน้ำแกงกับคนที่มาฆ่าตัวเอง

เปลี่ยนเป็นคนอื่น ต่อให้ใช้ชีวิตมาสิบชาติก็ไม่กล้าคิดเช่นนี้

แต่ฮั่ววั่งกลับคิดเช่นนี้

และคิดจริงจังด้วย

ถึงขั้นคิดว่าตนควรเดินลงไปยืนประจันหน้ากับเขา

“คิดว่าเมืองติ้งซีอ๋องข้าเป็นอย่างไร”

ฮั่ววั่งเอ่ยถาม

แม้มือกระบี่ขี้เหล้าไม่ใช่คนในเขตติ้งซีอ๋อง แต่คิดว่าวันนี้ต้องเดินทั่วเมืองอ๋องแล้วเป็นแน่

“ใช้ได้”

มือกระบี่ขี้เหล้าโพล่งออกมาสองคำ

“ท่าทางเจ้าจะประเมินเมืองอ๋องข้าต่ำนัก”

ฮั่ววั่งกล่าว

“เพราะในใจมีสถานที่ที่งดงามยิ่งและดียิ่งอยู่แล้ว ดังนั้นเวลามองสิ่งอื่นใดล้วนเทียบหนึ่งในสิบส่วนของที่นั่นไม่ได้ ‘ใช้ได้’ ถือเป็นการประเมินที่สูงมากแล้ว”

มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว

ตอนพูดประโยคนี้เขาก็นึกถึงสวนดอกไม้ที่ยังคงบานสีสดงดงามในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงเมื่อสามปีก่อน

ในโลกย่อมไม่มีที่ใดเทียบเคียงที่นั่นได้

“เช่นนี้นี่เอง มีโอกาสข้าก็อยากไปดูสถานที่ที่งดงามยิ่งและดียิ่งในใจเจ้า”

สายตาของฮั่ววั่งมองทอดไกล

ฉับพลันนั้นรู้สึกเศร้าอยู่ในใจ

มือกระบี่ขี้เหล้าผู้นี้ดูเหมือนสิ้นหวังไร้จุดหมาย แต่ในใจกลับมีสถานที่ให้จิตวิญญาณได้พักพิง

ฮั่ววั่งดูเหมือนมีทั้งอาณาจักรติ้งซีอ๋อง แต่ในใจล้วนว่างเปล่าตลอดเวลา ไม่มีที่ใดให้พักพิง

ไม่ใช่พระตำหนักนี้

ไม่ใช่วังอ๋อง

ไม่ใช่ทั้งอาณาจักรติ้งซีอ๋องหรือแห่งหนใดในใต้หล้า

หากต้องพูดเหตุผลสักอย่างละก็

ก็มีแค่ร้านอาหารของเยี่ยเหว่ยในเมืองจิ่งผิงที่ทำให้เขารำลึกความหลังได้เล็กน้อย

แต่ก็ได้แค่รำลึกเท่านั้น

“พอข้าสังหารเจ้าแล้ว ข้าจะพาร่างของเจ้าไป เช่นนั้นทั้งยืนยันได้ว่าข้าสังหารเจ้าแล้ว และยังให้เจ้าเห็นสถานที่ที่งดงามยิ่งและดียิ่งในใจข้าได้ด้วย”

มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว

“ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”

ฮั่ววั่งกล่าว

มือกระบี่ขี้เหล้าพยักหน้า

“แต่เจ้าเอาอะไรมาคิดว่าจะสังหารข้าได้”

ฮั่ววั่งพลันเปลี่ยนหัวข้อและเอ่ยถามต่อ

“ไม่รู้”

มือกระบี่ขี้เหล้าส่ายหน้า

“ไม่มีความมั่นใจเลยหรือ”

ฮั่ววั่งเอ่ยถามต่อ

“ไม่รู้”

มือกระบี่ขี้เหล้ายังคงส่ายหน้า

พูดสองคำเช่นเดิม

ฮั่ววั่งเริ่มโมโหในใจแล้ว

เดิมนึกว่าเขาเป็นผู้กล้ามีกำลังที่แท้จริง นึกไม่ถึงกลับเป็นคนตื้นเขินที่อยากได้ชื่อเสียงลาภยศ

หากเขาบอกว่าตัวเองมีความมั่นใจหลายส่วน ฮั่ววั่งคงไม่เดือดดาลเช่นนี้

แต่ดูจากสองประโยค ‘ไม่รู้’ ของเขา ตนแค่เสียเวลาเปล่ากับเขาเท่านั้น

ถึงขั้นอยากโบกมือให้ทัพอีกาดำด้านนอกกรูเข้ามาสับเขาเป็นเนื้อบดโยนให้สุนัขกิน

แต่เขายังอดกลั้นไว้ได้

เพราะอย่างไรคนผู้นี้ก็ยังยืนอยู่ตรงหน้าตน

ต่อให้เป็นแค่คนตื้นเขินที่แสวงหาชื่อเสียงลาภยศ อย่างน้อยก็ทำได้ถึงขีดสุดของคนประเภทนี้แล้ว!

ไม่ว่าเรื่องใด ขอเพียงทำถึงที่สุดแล้วก็ทำให้คนนับถือทั้งสิ้น

เพราะจุดนี้ ฮั่ววั่งถึงได้อดกลั้นไว้

“ในเมื่อเจ้าอยากฆ่าข้า เช่นนั้นก็เข้ามา”

ฮั่ววั่งกล่าวอย่างไม่ยี่หระ

เขาไม่มีความคาดหวังใดต่อมือกระบี่ขี้เหล้าแล้ว

ขอแค่อีกเดี๋ยวเขาไม่เสียสติมากเกินจนพ่นเลือดกระเด็นไปทั่วก็พอ

หน้าต่างของพระตำหนักล้วนปิดคลุมด้วยผ้าไหม

พอเปื้อนเลือดแล้วก็ได้แต่เปลี่ยนทิ้งทั้งหมด

นี่เป็นเรื่องยุ่งยากอย่างยิ่ง

แม้ฮั่ววั่งไม่ได้ไปทำเอง

แต่แค่คิดก็รู้สึกยุ่งยากมากแล้ว

เขาไม่มีห้องพัก

ดังนั้นเวลากว่าครึ่งในหนึ่งวันก็อยู่ในพระตำหนัก

มีใครชอบนั่งอยู่ในบ้านที่หน้าต่างโล่งโจ้งบ้าง

บ้านที่หน้าต่างโล่งโจ้งคงเรียกว่า ‘บ้าน’ ไม่ได้แล้ว

เรื่องรำคาญใจเหล่านี้ทำให้ฮั่ววั่งหลับตาอีกครั้ง

กลับมาอยู่ในท่าก่อนหน้านี้

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร

ฮั่ววั่งยังคงไม่รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวใด

“ทำไมยังไม่ลงมืออีก”

ฮั่ววั่งเอ่ยถาม

“ข้ารออยู่”

มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว

“เจ้ารออะไรอีก”

ฮั่ววั่งเอ่ยถาม

“ข้ากำลังรอเจ้าเผชิญหน้า”

มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว

ฮั่ววั่งก้มหน้าลง

มือกระบี่ขี้เหล้าเห็นสองไหล่เขาเริ่มสั่นอย่างรุนแรง

กระเทือนไปทั่วร่างจนเริ่มสั่นรุนแรงทั้งกาย

“ฮ่าๆๆ!”

ในที่สุดฮั่ววั่งก็ระเบิดเสียงหัวเราะเบิกบานใจออกมา

เคยมีคนหนึ่งพูดประโยคนี้กับฮั่ววั่งเหมือนกัน

คนผู้นั้นก็คือเยี่ยเหว่ย

สาเหตุที่ฮั่ววั่งหัวเราะก็เพราะคำพูดของเยี่ยเหว่ยดันพูดออกมาจากปากคนตื้นเขินที่อยากได้ชื่อเสียงลาภยศเช่นนี้

คนเช่นไรพูดเช่นนั้น

ฮั่ววั่งแอบหยามเยี่ยเหว่ยในใจอีกครั้ง

นี่ทำให้เขาเบิกบานยิ่ง

เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้น

เดินลงมาจากบัลลังก์

เผชิญหน้าตามที่มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว

“เช่นนี้ถือว่าเผชิญหน้าหรือยัง”

ฮั่ววั่งกล่าว

เขาหยุดอยู่ตรงหน้ามือกระบี่ขี้เหล้าในระยะหนึ่งจั้ง

มือซ้ายถือกระบี่

สองแขนยืดตรง ทรวงอกผึ่งผาย

“เจ้านับว่าใช่หรือไม่”

มือกระบี่ขี้เหล้าเอียงศีรษะย้อนถาม

“ไม่รู้”

ฮั่ววั่งตอบสองคำด้วยน้ำเสียงของมือกระบี่ขี้เหล้าก่อนหน้านี้

“เอาเถอะ…”

มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าวอย่างจนใจ

“เพราะข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าเช่นไรถึงจะนับว่าเผชิญหน้า ในเมื่อเจ้าคิดว่าตัวเองเผชิญหน้าแล้ว เช่นนั้นก็ตามนี้แล้วกัน”

มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว

เขามองกระบี่ในมือ

มือซ้ายจับด้ามกระบี่ไว้สบายๆ

ยามนี้ฮั่ววั่งถึงได้รู้ว่าเขาเป็นคนถนัดซ้าย

แม้ในใต้หล้ามีคนถนัดซ้ายอยู่มาก

แต่คนที่ใช้กระบี่ด้วยมือซ้ายกลับน้อยนัก

และทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือ

หนึ่งในสามของยอดฝีมือเหล่านี้ถูกสำนักใหญ่ต่างๆ ดึงตัวไป

อีกหนึ่งในสามยังคงท่องยุทธภพอย่างอิสระเสรี

หนึ่งในสามส่วนสุดท้ายกลับถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินวังติ้งซีอ๋อง

อยู่ใต้พระตำหนักนี้

แต่ฮั่ววั่งกล้าสาบานว่าตนไม่เคยเห็นมือกระบี่ขี้เหล้าผู้นี้มาก่อน และไม่เคยได้ยินชื่อแม้แต่น้อย

“เป็นกระบี่ดีจริงๆ!”

มือกระบี่ขี้เหล้าดึงกระบี่ออกจากฝักช้าๆ

เห็นลวดลายงดงามกับแสงเย็นเป็นระยะบนตัวกระบี่แล้วอดชื่นชมไม่ได้

“ข้าเพิ่งเคยเห็นคนชื่นชมกระบี่ของตัวเองเป็นครั้งแรก”

ฮั่ววั่งกล่าวด้วยความสนใจยิ่ง

“ของดีก็ต้องชื่นชม!”

มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว

“ชื่นชมควรทำครั้งแรก ไม่ใช่ชื่นชมมันทุกครั้ง!”

ฮั่ววั่งกล่าว

“นี่ก็เป็นครั้งแรก ไม่อย่างนั้นข้าจะชื่นชมทำไม”

มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าวขอไปที

มองกระบี่ล้ำค่าในมือของตนพลางพลิกไปมา

…………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน