ตอนที่ 374 ขอพระราชโองการพระราชทานงานอภิเษกให้ข้า
เซียวอี้มาหาเซียวเฉิงเหวิน เขาเอ่ยขออย่างตรงไปตรงมาทันทีที่พบหน้า “ขอพระราชโองการพระราชทานงานอภิเษกให้ข้า ข้าจะรับใช้ท่าน!”
พู่!
เซียวเฉิงเหวินเกือบพ่นน้ำชาในปากออกมา
เขาไม่เคยปิดบังเรื่องที่ไม่อยากเห็นเซียวอี้แม้แต่น้อย
เขาหัวเราะเสียงเย็น “พระราชโองการพระราชทานงานอภิเษก? เจ้าอยากสู่ขอผู้ใด”
“เหตุใดจึงต้องถามทั้งที่รู้ดีแก่ใจ! ท่านแค่บอกว่ารับปากหรือไม่”
เซียวอี้นั่งลงอย่างสง่าผ่าเผย ท่าทางราวกับไม่บรรลุเป้าหมายจะไม่ยอมถดถอย
เซียวเฉิงเหวินวางแก้วชาลง “ข้าไม่เชื่อใจเจ้า ดังนั้นเจ้าเชิญกลับไปเถิด อีกทั้งข้าก็ไม่ได้ต้องการเกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าจากไปตอนนี้ ข้าไม่ฆ่าเจ้า หากช้า ข้าอาจเปลี่ยนใจออกคำสั่งให้กำจัดเจ้าเสีย”
เซียวอี้หัวเราะออกมา “ในเมื่อข้ากล้ามา ข้าย่อมไม่กลัวท่านฆ่า ท่านอยากฆ่าข้ารอชาติหน้าเถิด! ตามที่ข้ารู้ ท่านกำลังตามหาผู้สืบทอดผู้พิทักษ์สิบเก้า ไม่ต้องลำบากเพียงนั้น ข้าจะเป็นผู้สืบทอด ข้าจะปกป้องแผ่นดินต้าเว้ยแทนท่าน ขอแค่ท่านทูลขอพระราชโองการพระราชทานงานอภิเษกให้ข้า”
เซียวเฉิงเหวินขมวดคิ้วมุ่นพลันถอนหายใจ
สิ่งนี้คือสาเหตุที่เขาเกลียดเซียวอี้อย่างมาก
ไม่มีเรื่องใดปิดบังชายตรงหน้าได้
ผู้พิทักษ์สิบเก้าในสายตาของผู้อื่นเป็นเพียงตำนาน
แต่ในสายตาของเซียวอี้ มันไม่ใช่ความลับแม้แต่น้อย
เขาอยากจะกำจัดเซียวอี้ทิ้งเสียจริง!
กำจัดเขา ปัญหาย่อมหมดไป
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเซียวอี้ เขาก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน
“ฮ่าๆ…ไม่คิดเอาเสียเลย คนที่มีอิสระอย่างเจ้าจะพ่ายแพ้อยู่ในมือของเยียนอวิ๋นเกอ ดูท่าทาง คนที่สามารถจัดการเจ้าได้บนโลกนี้มีเพียงเยียนอวิ๋นเกอ ดียิ่งนัก!”
มีคนจัดการเซียวอี้ได้ย่อมเป็นเรื่องดียิ่งกว่าเรื่องใด
คนมีชีวิตอยู่บนโลก เรื่องที่น่ากลัวที่สุดก็คือไม่มีผู้ใดควบคุมได้
อาทิกษัตริย์ชราที่โหดเหี้ยมเหล่านั้นล้วนเป็นเพราะไม่มีผู้ใดควบคุมได้
ผู้ที่สามารถควบคุมกษัตริย์ชราส่วนใหญ่ล้วนตายไปก่อนแล้ว
ขุนนางที่ถูกเลื่อนขั้นภายหลังทำได้เป็นเพียงกระบอกเสียงหรือผู้ปฏิบัติตามคำสั่ง
ไม่มีผู้ใดกล้าสงสัย!
ผู้ใดสงสัยผู้นั้นตาย!
มันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้กษัตริย์ส่วนใหญ่เป็นกษัตริย์ที่ปรีชาตอนยังอายุน้อย
แต่เมื่อผ่านไปยี่สิบ สามสิบปี คนเริ่มแก่ลง แต่นับวันยิ่งไร้ความสามารถ
ล้วนเป็นเพราะขุนนางเก่าแก่ที่สามารถควบคุมกษัตริย์ได้นั้นล้วนตายไป
ทั้งราชสำนักมีแต่คนที่ฮ่องเต้ให้การสนับสนุน ผู้ใดจะกล้าพูดว่า “ไม่”
ที่ผ่านมา ข้างกายเซียวอี้ก็ขาดแคลนคนที่สามารถควบคุมเขาได้ ดังนั้นเขาจึงทำสิ่งใดตามใจอย่างไร้ความเกรงกลัว
หากผู้ใดพูดจาไม่เข้าหูก็ลงมือกำจัดผู้นั้นทิ้ง
เขาไม่สนใจวิธีการ ขอเพียงแค่บรรลุเป้าหมาย
ไม่สนใจว่าจะเป็นผู้ใด มีฐานะอย่างไร เขาก็กล้าที่จะกำจัดทิ้งทั้งหมด
แม้แต่ฮ่องเต้ยังกล้าสังหาร
คนเช่นนี้อันตรายเกินไป
เขาอาจนำกองกำลังก่อกบฏได้ทุกเวลา
หากเซียวอี้ก่อกบฏ เขาจะอันตรายกว่าโจรกบฏอย่างซือหม่าโต่วสิบเท่า ร้อยเท่า…
มีความเป็นไปได้ที่จะพลิกแผ่นดินต้าเว้ย
หลักการของเซียวเฉิงเหวินต่อปัจจัยอันตรายที่ไม่แน่นอนมีแต่การกำจัดเท่านั้น
หากเซียวอี้ไม่ได้กำจัดยากมาก หลายครั้งแล้วก็ยังกำจัดเขาไม่ได้ มิฉะนั้นหญ้าบนสุสานเขาคงจะสูงเท่าคนสองคนแล้ว
เวลานี้ในที่สุดก็มีคนที่ปราบเขาได้ อีกทั้งยังบังคับให้เขายอมจำนน ยอมแพ้ได้ เซียวเฉิงเหวินหัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา
สวรรค์มีตา!
ในที่สุดก็ส่งเยียนอวิ๋นเกอมาจัดการเซียวอี้
“หัวเราะพอหรือยัง”
สายตาของเซียวอี้เยือกเย้นด้วยความไม่พอใจอย่างมาก
มีเรื่องใดน่าตลกกัน
เขามาเสนอความจริงใจด้วยตนเอง แต่ยังกล้าหัวเราะเขาอีกหรือ
เชื่อหรือไม่ ทันทีที่ออกไป เขาจะไปหาซือหม่าโต่ว นำคนของซือหม่าโต่วบุกเข้าเมืองหลวง
เซียวเฉิงเหวินพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ “ความจริงใจที่เจ้าอยากจะสู่ขอเยียนอวิ๋นเกอ ข้าเห็นด้วยตาของตัวเองแล้ว ข้าเชื่อเจ้า! แต่เหตุใดข้าจึงต้องมอบผู้พิทักษ์สิบเก้าให้เจ้า เจ้ามีคุณสมบัติใดสืบทอดผู้พิทักษ์สิบเก้า”
เซียวอี้หัวเราะเย้ยหยัน “ท่านยังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี ตอนนั้นนักพรตทำนายดวงชะตาให้ท่าน เขาพูดไว้ว่าอย่างไร”
สีหน้าของเซียวเฉิงเหวินเย็นชาลง ดวงตาของเขาฉายแววอันตราย
เซียวอี้หัวเราะ สีหน้าเสียดสี “ท่านส่งคนมาสืบข้า แทรกแซงคนไว้ข้างกายข้า แต่ข้าสืบท่านไม่ได้หรือ ผู้อื่นไม่รู้เรื่องของท่าน แต่ข้ารู้เรื่องของท่านอย่างดี มิฉะนั้น ข้าก็คบมามาหาท่าน มาเจรจากับท่าน
ท่านมักจะจนปัญญาเพราะสุขภาพของท่าน มีเรื่องมากมายไม่อาจทำได้ ท่านส่งผู้พิทักษ์สิบเก้าให้ข้า ข้าปกป้องแผ่นดินต้าเว้ยแทนท่าน ผู้ใดกล้าบั่นทอนต้าเว้ย ข้าจัดการแทนท่าน! เพียงแค่ท่านหาทางทูลขอพระราชโองการพระราชทานงานอภิเษกให้ข้า พระราชทานเยียนอวิ๋นเกอให้ข้า”
เซียวอี้กลอกตา “อย่าพูดจาเหลวไหล! ผู้ใดเป็นคนทรยศคงจะพูดยาก ท่านถามว่าข้ามีคุณสมบัติใด เพียงแค่ข้าตามสืบเรื่องของท่าน รู้ว่าท่านเป็นผู้บัญชาการผู้พิทักษ์สิบเก้า รู้ว่าท่านกำลังตามหาผู้สืบทอด ข้าก็มีคุณสมบัติที่จะสืบทอดผู้พิทักษ์สิบเก้ากว่าผู้ใด
ไม่ปิดบังท่าน ข้าไม่ได้ต้องการผู้พิทักษ์สิบเก้า หาไม่ใช่เพื่อสู่ขอสะใภ้ ข้าเต็มใจที่จะไม่เกี่ยวข้องกับคนของผู้พิทักษ์สิบเก้าไปชั่วชีวิต พวกคนที่บ้าคลั่งเสียยิ่งกว่างองครักษ์จินอู่ ไม่มีความน่าสนใจเอาเสียจริง
แน่นอน หากท่านไม่ต้องการให้ข้าสืบทอดผู้พิทักษ์สิบเก้า ข้าจะปิดปากของตัวเอง ถือว่าข้าไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ ท่านสามารถเสนอเงื่อนไขอื่น เพียงแค่ข้าทำได้ ข้าจะทำ”
เซียวเฉิงเหวินยิ้มอย่างมีนัย “ข้าต้องการให้เจ้ากำจัดท่านอ๋องอูเหิง เจ้าทำได้หรือไม่”
เซียวอี้พูดอย่างหนักแน่น “ได้! แต่อย่างน้อยต้องใช้เวลาเตรียมการสามปี ข้ารอไม่ไหว เวลาสามปี เยียนอวิ๋นเกอคงออกเรือนมีบุตรไปนานแล้ว ให้ข้าได้แต่งงานกับเยียนอวิ๋นเกอก่อน จากนั้นข้าจะกำจัดท่านอ๋องอูเหิงให้ท่าน”
“สามปี? เจ้าล้อเล่นหรือ ราชสำนักไม่อาจทนถึงสามปีได้ อย่าเห็นว่าสถานการณ์ของสำนักเส้าฝู่ดีขึ้นไม่น้อย แต่มันเป็นเพราะยังไม่ได้คำนวณหนี้สินที่ติดค้างก่อนหน้านี้ อีกทั้งหากทำสงครามอีกสามปี พลทหารแนวหน้าเกรงว่า…จะมีกำลังพลไม่เพียงพอ ทำให้ความสามารถในการสู้รบของกองทัพลดลงอย่างมาก”
หากทำสงครามต่ออีกสามปี อย่าว่าต่อฮ่องเต้ทนไม่ไหว
พลทหารด่านหน้าก็คงต้องเสียสติ
จำเป็นต้องมีกองกำลังเฝ้าระวังผลัดเปลี่ยน
ให้พลทหารที่ทำสงครามมาสองปีถอยลงมาพักผ่อน อย่างน้อยต้อพักผ่อนครึ่งปีจึงจะลงสนามรบใหม่อีกครั้งได้
เวลานี้ สิ่งที่ขาดก็คือกองกำลังเฝ้าระวังผลัดเปลี่ยน
เพื่อจัดหากองกำลังเสริม ราชสำนักบังคับเกณฑ์ประชาชนเข้าร่วมกองทัพ ส่งผลให้ผู้คนโกรธเคืองอย่างเดือดดาลแล้ว
เมื่อบังคับเกณ์ไม่ได้ ก็ทำได้เพียงรับสมัคร
รับสมัครพลทหารก็ไม่อาจเพียงพอต่อความต้องการของสงครามด่านหน้า
พลทหารใหม่ลงสนามรบมีแต่ต้องตาย แต่มันก็เป็นขั้นตอนที่จำเป็นต้องประสบ
ทหารใหม่แต่ละนายหลังจากผ่านการฝึกฝนเบื้องต้นแล้ว ล้วนต้องลงสนามรบ
ตายก็ตาย!
คนที่มีชีวิตรอดจะเติบโตเป็นพลทหารที่มีคุณสมบัติอย่างรวดเร็ว
พลทหารใหม่สิบนายอาจมีแค่สามสี่คนที่มีชีวิตรอดและเติบโตเป็นพลทหารผู้เชี่ยวชาญ
การสูญเสียของพลทหารใหม่สูงถึงร้อยละหกสิบถึงเจ็บสิบ สงครามมักจะโหดร้ายเช่นนี้เสมอ!
จะมีพลทหารใหม่มากมายเช่นนี้ไปตายได้อย่างไร
จะมีเสบียงมากมายเช่นนี้ให้สิ้นเปลืองได้อย่างไร
สามปี?
สามเดือนก็ทำให้สำนักเส้าฝู่หายใจไม่ทันแล้ว
หากไม่ใช่พระราชบุตรเขยจ้งมีความสามารถ ราชสำนักต้าเว้ยคงล้มละเลยไปนานแล้ว
เซียวอี้ทำหน้าจริงจัง “หากพูดถึงเรื่องการลอบสังหาร ท่านเป็นแค่คนนอก หากต้องการสังหารท่านอ๋องอูเหิง ก่อนอื่นข้าต้องทำให้ตนเองกลายเป็นคนอูเหิงอย่างแท้จริง จึงจะหลอกตาคนอูเหิงทั้งหมดได้ จึงจะมีโอกาสเข้าใกล้ท่านอ๋องอูเหิง เพียงแค่กระบวนการนี้ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งปีขึ้นไป หลังจากนั้นสองปีคือการเข้าใกล้ สุดท้ายโจมตีให้ถูกจุดเพียงครั้งเดียว จากนั้นถอยกลับมาอย่างปลอดภัย…
ท่านคิดว่าการลอบสังหารท่านอ๋องอูเหิงที่มีทหารคุ้มกันนับหมื่นคนง่ายดายนักหรือ เพียงแค่การเข้าใกล้ท่านอ๋องอูเหิงก็ต้องเสียสละมือสังหารที่ดีที่สุดอย่างน้อยร้อยคน จึงจะแลกกับโอกาสที่ข้าจะเข้าใกล้ท่านอ๋องอูเหิงได้ นอกจากนี้ข้ายังต้องรับรองว่าจะโจมตีอีกฝ่ายได้ภายในครั้งเดียว จึงจะไม่ทำผิดต่อคนที่เสียสละไปนับร้อย
หากท่านบอกว่าใช้ฐานะของทูตเขาใกล้ตัวของท่านอ๋องอูเหิง จากนั้นหาโอกาสลอบสังหารเขาเสีย เรื่องก่อนหน้านั้นก็ถือว่าข้าไม่เคยพูด แต่ข้าต้องเตือนท่าน แม้ท่านอ๋องอูเหิงจะมีพระโอรสสามสิบกว่าองค์ แต่เวลานี้มีเพียงโอรสคนโตสุดที่เริ่มนำทัพทำสงคราม
ท่านอ๋องอูเหงิตาย บางทีอาจสร้างความวุ่นวายให้ราชวงศ์อูเหิงได้ แต่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์สงครามได้ โอรสองค์โตของท่านอ๋องอูเหิงจะสืบทอดราชย์บัลลังก์อย่างราบรื่นเพื่อกอบกู้สถานการณ์ นอกเสียจากจะสร้างความขัดแย้งให้โอรสทั้งหลายของราชวงศ์อูเหิงได้ แต่มันก็ต้องการเวลาเช่นเดียวกัน หากไม่มีสามถึงห้าปี ไม่อาจทำได้สำเร็จ วิธีที่เร็วที่สุดคือการเอาชนะอูเหิงโดยตรง!”
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะเสียงเย็น “พูดไปพูดมา เจ้าก็ช่วยข้าไม่ได้ เหตุใดข้าต้องช่วยเจ้า”
เซียวอี้กลอกตา “ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะหาคนที่เหมาะสมในการสืบทอดผู้พิทักษ์สิบเก้าได้มากกว่าข้า หากท่านไม่ช่วยข้า ข้าจะขัดขวางผู้พิทักษ์สิบเก้าอย่างเต็มกำลัง”
“เจ้ากล้า!”
“ท่านลองดูได้ว่าข้ากล้าหรือไม่”
เมื่อเซียวอี้ใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผล เขาจึงเริ่มใช้ไม้แข็ง
ขี้เกียจจะพูดไร้สาระกับเซียวเฉิงเหวินแล้ว
เซียวเฉิงเหวินหรี่ตาลง “เหตุใดเจ้าจึงไม่ไปเจรจากับฮ่องเต้”
เซียวอี้หัวเราะ “หากข้าเข้าวังได้ ข้าย่อมไม่ต้องมาหาท่าน แน่นอน หากต้องการเข้าวังจริง ข้าย่อมหาทางได้ เพียงแค่กลัวว่าจะไปกระตุ้นพระพันปีและฝ่าบาท หากไม่ทันระวัง ทั้งสองคนได้รับความกระทบกระเทือนจนถึงตาย พวกเขาเป็นมารดาและพี่น้องของข้า ข้าย่อมต้องกังวลเล็กน้อย”
“ช่างลำบากเจ้าเสียจริงที่รู้จักกังวล” เซียวเฉิงเหวินเสียดสี
เซียวอี้หัวเราะ “ไม่ต้องเกรงใจกับข้า ไม่ว่าอย่างไร พวกเราต่างแซ่เซียว แม้กระดูกจะหัก แต่เอ็นก็ยังเชื่อมอยู่”
เซียวเฉิงเหวินดื่มชาหนึ่งคำ จากนั้นครุ่นคิดเล็กน้อย “ข้าต้องการเวลาไตร่ตรอง!”
“ได้! นานเพียงใด”
เซียวเฉิงเหวินยิ้มอย่างรู้ทัน “ให้เวลาข้าสามวัน สามวันหลัง ข้าจะให้คำตอบเจ้า!”
“ข้าจะรอท่านสามวัน! ขอตัว!”
เซียวอี้ยกมือ ลุกขึ้นจากไป
เดิมทีสวีกงกงที่เหมือนวิญญาณคิดจะขัดขวาง
แต่ทันทีที่เขามีเจตนานี้ เขาก็ถูกเซียวอี้ถลึงตาใส่กลับไป
สวีกงกงที่หลบซ่อนตัวอยู่ในที่มืดเสมอถูกเซียวอี้หาที่ซ่อนตัวเจอตั้งแต่ทีแรกนั้นก็พ่ายแพ้แล้ว
หากเซียวอี้คิดจะฆ่าเขาจริง คิดว่าเขาคงตายจนไม่อาจตายได้อีก
เมื่อรอจนเซียวอี้ สวีกงกงเดินออกมาจากที่มืดโน้มตัวขออภัย “ข้าน้อยไร้ความสามารถ ไม่อาจขัดขวางนายน้อยอี้ได้”
เซียวเฉิงเหวินโบกมือ “ไม่ใช่ความผิดของเจ้า! บนโลกนี้คนที่สามารถรั้งเซียวอี้เอาไว้ได้ เกรงว่าจะมีเพียงเยียนอวิ๋นเกอเท่านั้น นอกจากนางแล้ว คนอื่นล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเซียวอี้”
สวีกงกงขมวดคิ้วมุ่น “ท่านอ๋องจะรับปากเขาหรือ จะให้เขาสืบทอดผู้พิทักษ์สิบเก้าจริงหรือ”
เซียวเฉิงเหวินไม่ตอบ เวลานี้ เขารู้สึกขัดแย้งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
หลายปีนี้ เขาอยากจะกำจัดเซียวอี้แม้แต่ในความฝัน
แต่สติเตือนเขา การให้เซียวอี้สืบทอดผู้พิทักษ์สิบเก้าอาจเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง