ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 276 ไม่คุ้ม

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 276 ไม่คุ้ม

จูหานซวงพุ่งตัวเข้าไปจับมือของอันกั๋วกงฮูหยินไว้แล้วร้องไห้แทบขาดใจ “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไป ท่านพูดสิเจ้าคะ…”

ดวงตาของอันกั๋วกงฮูหยินเบิกโพลง นอนแน่นิ่งอยู่ท่ามกลางสีแดงแอ่งน้ำสีแดง ไร้ซึ่งเสียงใดๆ

ใบหน้าประณีตและขาวสะอาดนั่นถูกอาบย้อมไปด้วยสีเลือด งดงามจนชวนตะลึง

อันกั๋วกงฮูหยินที่สิ้นชีพไปตั้งแต่อายุยังน้อยไม่รู้จนกระทั่งตายว่าความงดงามเกินไปบางครั้งก็เป็นบาปอย่างหนึ่ง

จูหานซวงเรียกอันกั๋วกงฮูหยินที่ไม่ยอมตื่น กลับรู้สึกถึงความลื่นและเหนอะหนะในฝ่ามือ

นางหลุบตาลงเห็นเลือดที่อยู่บนมือ ก้มศีรษะลงอีกครั้งก็เห็นชายกระโปรงสีชมพูจมอยู่ในกองเลือด

เลือดสีแดงนั่นดูไร้ที่สิ้นสุดในสายตานาง ราวกับขุมนรก

จูหานซวงลุกพรวดขึ้นพลางกรีดร้องอย่างเสียสติ

“เลือด เลือด เลือดเต็มไปหมดเลย เลือดของท่านแม่…” นางพุ่งไปที่ประตูก่อนจะผลักแล้ววิ่งออกไปข้างนอกราวกับคนเสียสติ

อันกั๋วกงไม่มีเวลามาสนใจจูหานซวง เขาเดินไปตรงหน้าอันกั๋วกงฮูหยินทีละก้าว

เขาค่อยๆ คุกเข่าลง มือสั่นเทิ้มยื่นออกไปตรวจลมหายใจของอันกั๋วกงฮูหยิน

นอกประตู เสียงกรีดร้องของเหล่าบ่าวเฒ่าและสาวใช้ดังขึ้น

อันกั๋วกงคุกเข่าอยู่บนพื้น ไร้ซึ่งการตอบสนองใด

บ่าวเฒ่านางหนึ่งเดินเข้ามาอย่างกล้าหาญ ถามเสียงสั่นว่า “ท่านกั๋วกง เชิญหมอให้ฮูหยินหรือไม่เจ้าคะ…”

อันกั๋วกงหันขวับไปมองบ่าวเฒ่าเขม็ง

บ่าวเฒ่าตกใจถอยหลังไปสองสามก้าว ร่างกายสั่นเทาราวกับร่อนแกลบ

ท่านกั๋วกง… ท่านกั๋วกงดูน่ากลัวมาก จะฆ่าปิดปากพวกนางหรือไม่นะ

ขณะที่คิดเช่นนี้ บ่าวเฒ่ากลับไม่กล้าวิ่งหนี

สาวใช้เหล่านั้นก็เช่นกัน

จะหนีไปที่ไหนได้เล่า พวกนางเป็นคนรับใช้ของจวนกั๋วกง ที่สามารถเข้ามารับใช้เรือนฮูหยินได้ล้วนเป็นลูกหลานตระกูลผู้รับใช้ของจวนอันกั๋วกงหรือสาวใช้ที่ติดตามฮูหยินแต่งงานมา

อันกั๋วกงไม่ได้เอ่ยปาก เหล่าคนรับใช้ยิ่งมิกล้าพูด ทันใดนั้นบรรยากาศพลันหยุดนิ่งเหมือนกับเลือดที่ค่อยๆ หยุดไหลบนพื้น

เวลาดูเหมือนจะยืดยาวออกไปอย่างไม่สิ้นสุด และทุกช่วงเวลาก็ยาวนานจนหายใจไม่ออก

ไม่รู้ว่าทนทรมานเช่นนี้อยู่นานเพียงใด ในที่สุดอันกั๋วกงก็ชี้ไปที่บ่าวเฒ่าพลางเอ่ยว่า “เจ้าพาคนไปหาคุณหนูรองให้เจอ ส่งนางกลับไปห้องของนางและจับตาดูไว้ให้ดี”

“เจ้าค่ะ” บ่าวเฒ่าขานตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ

อันกั๋วกงสั่งคนอื่นอีกว่า “ไปเรียกซื่อจื่อและคุณชายรองมา”

อันกั๋วกงและอันกั๋วกงฮูหยินถือเป็นคู่รักที่รักใคร่กันดีในสายตาของผู้อื่น ทั้งคู่ให้กำเนิดบุตรชายสองคนและบุตรสาวสองคน

บุตรชายคนโตถูกแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อ ส่วนบุตรสาวคนโตออกเรือนไปแล้ว

คนรับใช้ออกไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงอันกั๋วกงอยู่ในห้อง

ใกล้เข้าต้นฤดูหนาวแล้ว แม้ยังไม่ถึงเวลาต้องใช้เตาไฟ แต่หน้าต่างกลับถูกปิดแน่น

ด้วยเหตุนี้ กลิ่นคาวเลือดในห้องจึงยิ่งส่งกลิ่นฉุนรุนแรง

อันกั๋วกงเฝ้าอยู่ข้างกายอันกั๋วกงฮูหยิน สีหน้าแข็งทื่อ

จนถึงตอนนี้ เขายังคงไม่อยากเชื่อว่าฮูหยินจะตายไปเช่นนี้ กระทั่งความทรงจำในขณะนั้นยังเป็นเพียงภาพเลือนราง

“อาเวย…” จู่ๆ อันกั๋วกงก็เรียกชื่อของอันกั๋วกงฮูหยิน

แน่นอนว่าสตรีที่เขาเรียก ‘อาเวย’ คนนั้นไม่สามารถขานตอบเขาได้อีกแล้ว

น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาจากหางตาของอันกั๋วกงเงียบๆ

อันกั๋วกงพูดกับตนเองอย่างไม่รู้สึกตัวว่า “ปีที่ซวงเอ๋อร์เกิดนั้นเป็นวันที่มีน้ำค้างแข็ง พวกเราคุยกันว่าจะตั้งชื่อให้นาง เจ้าบอกว่า ‘ต้นหญ้าเหี่ยวเฉาดอกไม้เป็นสีขาวมีน้ำค้างแข็ง เงาจันทราใหม่ในคืนหนาวเย็น’ เฉพาะคืนเดือนหงายในฤดูใบไม้ร่วง น้ำค้างจะกลายเป็นน้ำค้างแข็ง เรียกลูกสาวตัวน้อยของเราว่าหานซวงกันเถอะ…”

น้ำตาอีกหยดหนึ่งไหลลงมาจากดวงตาของอันกั๋วกง ราวกับเขาตกอยู่ในความทรงจำ “แล้วยังพูดว่า ‘ต้นไม้หลายพันเปลี่ยนเป็นสีเหลือง มีเพียงดอกพุดตานที่ยังส่งกลิ่นหอม’ ดอกพุดตานมีอีกชื่อหนึ่งว่าดอกจวี้ซวง ตั้งชื่อให้ลูกสาวว่าฝูหรง[1]ก็ดี ข้ายังจำได้ว่าเจ้าลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจตั้งชื่อว่า ‘หานซวง’ ชื่อนี้ ตอนนี้ลองคิดดูแล้ว ชื่อฝูหรงคงจะดีกว่า รูปร่างหน้าตาของหญิงสาวเป็นเพียงเรื่องรอง การมีนิสัยเข้มแข็งดั่งดอกจวี้ซวงต่างหากถึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด…”

ราวกับว่าคิดถึงการกระทำของจูหานซวงแล้วทำให้คิดถึงชายคนหนึ่งที่อันกั๋วกงฮูหยินช่วยเอาไว้และรับเข้ามาทำงานในจวน สีหน้าอ่อนโยนของอันกั๋วกงถูกแทนที่ด้วยความเย็นชาในทันใด เขาพูดเสียงเบาว่า “แล้วเจ้าเล่า เจ้าเคยทำผิดต่อข้าหรือไม่”

คำถามเหล่านี้ก็จะไม่มีวันได้รับคำตอบ

อันกั๋วกงต่อยพื้นอย่างแรงทีหนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

เสียงฝีเท้าอันเร่งรีบดังขึ้น ผู้ที่เข้ามาคนแรกคือซื่อจื่อ

ทันทีที่เห็นสภาพในห้อง อันกั๋วกงซื่อจื่อก็ดวงตาเบิกโพลง “ท่านแม่…”

เขาโถมตัวเข้ามา รองเท้าเปื้อนเลือดอย่างรวดเร็ว

“ท่านพ่อ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นขอรับ” อันกั๋วกงซื่อจื่อคุกเข่าอยู่ข้างกายอันกั๋วกงฮูหยิน กำหมัดถาม

“ข้าพลั้งมือสังหารมารดาของเจ้า” สายตาของอันกั๋วกงไม่ได้มองมาที่อันกั๋วกงซื่อจื่อ เขามองพื้นที่เต็มไปด้วยเลือดแล้วพึมพำ

อันกั๋วกงซื่อจื่อตัวสั่นเทา “เพราะเหตุใดกัน”

“เพราะน้องรองของเจ้า…” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบุตรชายคนโตที่ถูกเลี้ยงมาให้เป็นผู้สืบทอด อันกั๋วกงก็ไม่ได้ปิดบัง เขาบอกความจริงทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง อุบัติเหตุที่สังหารภรรยาของตนโดยไม่ตั้งใจนั้นยากเกินกว่าที่เขาจะทนรับได้ มีเพียงการพูดถึงเรื่องนี้เท่านั้นจึงจะสามารถบรรเทาอาการแน่นหน้าอกของเขาได้

อันกั๋วกงพูดจบแล้ว อันกั๋วกงซื่อจื่อเองก็ฟังจบแล้วเช่นกัน

อันกั๋วกงซื่อจื่อที่ทราบความจริงแล้วกลับนิ่งงัน

โทษท่านพ่อหรือ

ไม่ว่าจะเป็นใครได้ยินว่าบุตรสาวทำเรื่องเช่นนี้ ทั้งยังอาจสร้างความเสียหายให้กับทั้งครอบครัว ล้วนต้องโกรธเกรี้ยวทั้งสิ้น

จวนอันกั๋วกงมีรากฐานยาวนานกว่าร้อยปีแล้ว คนในตระกูลจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนพึ่งพาต้นไม้ใหญ่นี้เพื่อความอยู่รอด หากพวกเขาตกต่ำเพราะน้องรอง พวกเขาจะมีหน้าไปพบบรรพบุรุษของพวกเขาในอีกร้อยปีข้างหน้าได้อย่างไร

เพียงแต่ว่าการตกอับยังถือว่าเป็นเรื่องดี แค่กลัวว่าจะคร่าชีวิตของคนทั้งตระกูลไปด้วย

ท่านพ่อผลักท่านแม่ออกไปเพราะความโมโห หลังจากท่านแม่ล้มลงกลับถูกเศษแจกันดอกไม้บนพื้นปักลงบนลำคอ…

โอ้ สวรรค์ หากจะบอกว่าเป็นการลงโทษ การลงโทษแบบนี้โหดร้ายเกินไปหรือไม่

อันกั๋วกงซื่อจื่อกัดปากแน่นกว่าจะถามขึ้นมาว่า “ท่านพ่อจะทำอย่างไรต่อขอรับ”

ถึงครานี้แล้ว อันกั๋วกงก็ตั้งสติกลับมาได้แล้ว เขาตอบด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ว่า “ระวังปากของพวกคนใช้ให้ดี บอกว่าท่านแม่เจ้าป่วยจากไปกะทันหัน ส่งข่าวงานศพให้แต่ละจวนเถอะ”

“ป่วยหนัก?” อันกั๋วกงซื่อจื่อยิ้มเศร้า “ท่านพ่อ ไม่มีคนบนโลกที่โง่เขลา ท่านแม่อายุเพิ่งสี่สิบ อยู่ดีๆ จะป่วยและจากไปกะทันหันได้อย่างไร ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นจะนินทาจวนกั๋วกงของเราอย่างไร”

เรื่องเหล่านี้อันกั๋วกงจะไม่รู้ได้อย่างไร แต่อุบัติเหตุแบบนี้อยู่เหนือความคาดหมายจริงๆ จู่ๆ นายหญิงประจำจวนจากไปเรื่องใหญ่แบบนี้ จะไม่ตกเป็นขี้ปากคนอื่นได้อย่างไร

สายตาของเขาเคลื่อนผ่าน หยุดลงที่โต๊ะทานข้าว

เกี๊ยวปูจานหนึ่งบนโต๊ะเย็นชืดนานแล้ว

เขาจำได้ว่าฮูหยินและลูกสาวคนรองล้วนชอบกิน

อันกั๋วกงสงบอารมณ์ลง พึมพำว่า “บอกว่าท่านแม่เจ้ารีบกินเกี๊ยวปูเกินไปแล้วเผลอสำลัก”

อันกั๋วกงซื่อจื่อสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุด ในที่สุดก็พยักหน้าอย่างยากเย็น

คนเราก็เป็นเช่นนี้ หากเรื่องแพร่ออกไปว่าอันกั๋วกงฮูหยินจากไปกะทันหันเพราะโรคร้าย เกรงว่าเรื่องน่าอับอายใดๆ ก็จินตนาการได้ ไม่มีทางเชื่อว่านางจากไปเพราะโรคร้ายแน่ๆ หากให้สาเหตุการตายที่ระบุชัดเจน แม้จะเป็นเรื่องประหลาดอย่างการสำลักเกี๊ยวตาย การคาดเดาต่างๆ นานาอาจจะน้อยกว่า

อย่างมากผู้คนก็แค่รู้สึกปลงกับอันกั๋วกงฮูหยินที่จากไปอย่างน่าเวทนา

และในความเป็นจริงแล้ว การจากไปของท่านแม่ก็ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย

อันกั๋วกงซื่อจื่อน้ำตาคลอเบ้า กัดฟันถามว่า “ท่านพ่อจะลงโทษน้องรองอย่างไรขอรับ”

[1] ฝูหรง คือดอกพุดตาน

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย นิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย สิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉาน ท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจ ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน… สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซา ชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำ หลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆ แม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก! “ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง” “ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ” เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท